เล่ม 9 เล่มที่ 9 ตอนที่ 245 ลาก่อน จิ่นซี...

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ นางยื่นมือขวาออกไป ใช้สองนิ้วค่อยๆ จับมีดพกในมือของไหวหยางจวิ้นจู่ และโยนลงบนพื้นด้วยท่าทีเหยียดหยาม

“จับตัวประกันด้วยมีด วิธีเดิมๆ ตอนนี้ทุกคนวางยาพิษไร้รูปกันแล้ว ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านOUT (แพ้) แล้ว”

ไหวหยางจวิ้นจู่ไม่เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของซูจิ่นซี นางถามซูจิ่นซีด้วยท่าทีสงสัยว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถวางยาพิษได้ เหตุใดถึงไม่ลงมือตั้งแต่ตอนที่ข้าบีบบังคับเจ้าหลังภูเขาจำลอง แต่กลับรอจนถึงตอนนี้? ”

ซูจิ่นซีโบกไม้โบกมือ นางเดินไปยังข้างกายเยี่ยโยวเหยาด้วยความกล้าหาญ จากนั้นก็หันกลับมายืนนิ่ง พลางพูดว่า “ในตอนนั้น หากข้ารีบกำราบเจ้า พูดว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับแม่นมคนสนิทขององค์ไทเฮาเพื่อวางแผนทำร้ายข้า หรือพูดว่าเจ้าเกือบจะลักพาตัวข้า ผู้ใดจะเชื่อ! ในเมื่อหลักฐานไม่เพียงพอ บางทีข้าอาจถูกเจ้าแว้งกัดได้ ทว่าตอนนี้สามารถยืนยันความผิดของเจ้าที่จับตัวพระชายาเป็นตัวประกัน ดูสิว่าพวกเจ้าจะหนีไปที่ใดได้อีก เจ้าควรไปสารภาพเรื่องที่สมรู้ร่วมคิดกับองค์ไทเฮาแต่โดยดี ตอนนี้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนคือหวาหรงจวิ้นจู่ ความผิดของเจ้ายังน้อยกว่าการวางแผนทำร้ายพระชายาอย่างข้าเสียอีก”

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าหลังจากนั้น ตำหนักว่านโซ่วเกิดเรื่องขึ้น

“ซูจิ่นซี เจ้าช่างชั่วร้ายยิ่งนัก” ไหวหยางจวิ้นจู่นึกไม่ออกว่าจะตอบโต้คำพูดของซูจิ่นซีอย่างไร จึงได้แต่กัดฟันกรอด

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงท่าทางเป็นผู้บริสุทธิ์ “นี่จะนับว่าไร้ยางอายได้อย่างไร? ข้าเพียงใจกว้างมากกว่าเจ้าก็เท่านั้น หากกล่าวหาว่าข้าชั่วร้าย เช่นนั้นเจ้ากับไทเฮาที่ร่วมมือกัน ใช้วิธีวางยาพิษเพื่อมาจัดการกับข้าเล่า นับว่าเป็นอันใด? ”

ไหวหยางจวิ้นจู่จ้องซูจิ่นซีด้วยใบหน้าดุดัน ทว่าน่าเสียดาย แม้นางจะเกลียดชังซูจิ่นซีมากเพียงใด ในเวลานี้นางก็ทำอันใดไม่ได้ เพราะซูจิ่นซีได้วางยาพิษนางแล้ว บัดนี้นางไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว

“ทหาร คุมตัวไหวหยางจวิ้นจู่ออกไป” เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่ง

องครักษ์รีบเดินมาคุมตัวไหวหยางจวิ้นจู่

“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกท่าน”

ซูจิ่นซีกำลังจะบอกเรื่องที่หวาหรงจวิ้นจู่ถูกรังแกให้เยี่ยโยวเหยาฟัง ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับชิงบอกนางก่อนว่า ไทเฮาและหวาหรงจวิ้นจู่เสียชีวิตแล้ว

“ทหาร ส่งพระชายากลับจวน” เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่ง

ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว นางคว้าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยาและพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ”

ไทเฮาและหวาหรงจวิ้นจู่เสียชีวิตแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในใจของนางรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“เชื่อข้า กลับไปก่อน ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังในภายหลัง” เยี่ยโยวเหยาพูด

ประโยคที่บอกว่า “เชื่อข้า” ได้เอาชนะความกังวลใจทั้งหมดในใจของซูจิ่นซี

วันนี้ เยี่ยโยวเหยาใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงอำนาจอิทธิพลของตนต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ในเวลานี้เขามีอำนาจควบคุมบริหารทั้งราชสำนัก อีกทั้งตอนนี้ไทเฮาและหวาหรงจวิ้นจู่ได้เสียชีวิตแล้ว ดังนั้นภายในพระราชวังต้องมีเรื่องราวมากมายที่ต้องให้เขาไปจัดการอย่างแน่นอน นางไม่ควรเพิ่มความยุ่งยากให้เขา

“ได้ เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันจะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัยที่จวน” ซูจิ่นซีพูด

เยี่ยโยวเหยาจัดองครักษ์ฝีมือดีสองสามนายให้อารักขาซูจิ่นซีกลับจวน

แท้จริงแล้วไม่มีผู้ใดรู้ว่า ในเวลานี้ คนผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสง่างามเย็นชา กำลังยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาจับจ้องด้านหลังของซูจิ่นซีซึ่งเดินลับออกไปอย่างไม่ละสายตา

คนผู้นั้นคือเยี่ยเซิน

ตอนอยู่ที่ตำหนักว่านโซ่ว ขณะที่เยี่ยโยวเหยาใช้งานฉลองเพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจในราชสำนัก เขามองออกว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนีออกมา

ในเวลานี้ เขายืนมองซูจิ่นซีเดินจากไป นับเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย

หนทางอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ใครจะอยู่หรือตาย ยากจะมองออกนัก

ลาก่อน จิ่นซี หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล บางทีครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นเจ้า ขอบฟ้าแสนไกล แต่นี้ต่อไปเจ้าจะอยู่ในใจของข้าเสมอ

หากตอนนั้นข้าไม่ผลักไสเจ้าให้กับโยวอ๋อง ทุกอย่างอาจไม่เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ คงไม่มีค่ำคืนที่ข้าต้องกลับมานึกเสียใจ เศร้าโศกนับครั้งไม่ถ้วนใช่หรือไม่

ทว่าในชีวิตคนนั้น ไม่มีคำว่าถ้าหาก…

เมื่อสูญเสียไปแล้ว ก็ไม่มีทางหวนกลับได้อีก

ลาก่อน จิ่นซี…

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาเห็นว่าซูจิ่นซีเดินลับสายตาไปแล้ว เขาก็หันหลังกลับมาด้วยอำนาจที่ทรงพลัง “ตามข้ามา… ”

เยี่ยโยวเหยาเดินพาคนไปยังตำหนักเฉิงเฉียน

ตลอดทั้งคืน

ซูจิ่นซีรอเยี่ยโยวเหยาที่เรือนอวิ๋นไคตลอดทั้งคืนเช่นกัน

แม้ซูจิ่นซีจะเห็นอำนาจของเยี่ยโยวเหยาในราชสำนักตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งยังทราบดีว่าเยี่ยโยวเหยาต้องไม่เป็นอันใด ทว่าภายในใจของนางยังเป็นกังวล

จนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง พ่อบ้านก็นำข่าวในพระราชวังเข้ามารายงาน

“พระชายา เรื่องน่ายินดี เรื่องน่ายินดีจริงๆ ! ”

ยินดี?

ซูจิ่นซีคิดเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืน ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงจนได้

“เรื่องน่ายินดีอันใด” ซูจิ่นซีถาม

“หลังจากผ่านเรื่องราวที่ตำหนักว่านโซ่วเมื่อคืนนี้ ขุนนางในราชสำนักได้ทราบว่า ฮ่องเต้แย่งชิงบัลลังก์มาจากอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นจึงงดการประชุมของเหล่าขุนนางในเช้านี้ และกราบทูลให้ท่านอ๋องขึ้นครองราชย์ตามพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ตอนนี้เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างอยู่ที่ด้านนอกประตูตำหนักเฉิงเฉียนแล้ว”

“ท่านอ๋องพูดว่าอย่างไร? ”

พ่อบ้านขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง… จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กล่าวอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่นมฮวา ไปเตรียมสำรับเที่ยงเถิด! ” ซูจิ่นซีพูด

แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้าง ได้ฟังเรื่องที่พ่อบ้านรายงานซูจิ่นซีมาตลอด นางดีใจจนออกนอกหน้า “พระชายา ยังจะเตรียมสำรับเที่ยงอันใดอีก! ขุนนางผู้ใหญ่ในพระราชวังต่างกราบทูลร้องขอ เพียงท่านอ๋องตอบตกลง แผ่นดินนี้ก็จะตกเป็นของท่านอ๋อง หากท่านอ๋องขึ้นครองราชย์ก็ต้องเปลี่ยนฐานะเป็นฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าอีกสักครู่ ท่านอ๋องอาจให้คนมารับพวกเราเข้าวังไปรับประทานอาหารนะเพคะ”

ซูจิ่นซีทำเพียงยกยิ้มมุมปากแผ่วเบา ไม่ได้พูดอันใด “ไปเถิด! ท่านอ๋องยุ่งมาทั้งคืน เมื่อวานยังไม่ได้ทานอันใดเลย คงจะหิวแย่ เจ้าไปทำอาหารที่ท่านอ๋องชอบทานที่สุดเถิด”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็หันหลังเดินไปที่เรือนอวิ๋นไค เหลือเพียงแม่นมฮวาและพ่อบ้านที่มีใบหน้างุนงง

พระชายาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อใกล้เวลาเที่ยง เยี่ยโยวเหยาก็ให้คนมาส่งข่าวว่าได้ออกจากวังหลวงแล้ว และให้คนในจวนจัดเตรียมสำรับมื้อเที่ยงเอาไว้

“เหตุใดท่านอ๋องยังกลับมาอีกเพคะ ในเมื่อจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ก็ต้องอยู่ในพระราชวังไม่ใช่หรือเพคะ หากมีความต้องการอันใดก็ให้พวกเราเข้าไปหาก็ได้ อีกอย่าง ในพระราชวังก็มีทุกอย่างเพียบพร้อมสำหรับท่านอ๋องอยู่แล้ว”

แม่นมฮวามีใบหน้าขุ่นเคือง

นางมาจากในพระราชวัง ย่อมเข้าใจเรื่องพวกนี้ชัดเจนที่สุด

ซูจิ่นซีเพียงยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอันใด

ตอนที่เยี่ยโยวเหยากลับมา สำรับอาหารได้จัดเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีนั่งรออยู่ข้างโต๊ะอาหาร

พอเยี่ยโยวเหยาเดินเข้าประตูมา จะได้รับประทานอาหารทันที

“ท่านอ๋อง จัดการเรื่องราวได้ราบรื่นดีหรือไม่เพคะ? ” แม่นมฮวาถาม

“ราบรื่นดี” เยี่ยโยวเหยาตอบรับเสียงแผ่วเบา

แม่นมฮวากัดริมฝีปาก แม้มีความลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ยังถามต่อว่า “เรื่องเกี่ยวกับพิธีขึ้นครองราชย์ ท่านอ๋องได้สั่งการให้กรมพิธีการไปดำเนินการหรือยังเพคะ? ต้องเลือกฤกษ์มงคลที่ดีในการสักการะฟ้าดิน ทั้งยังต้องเตรียมของอีกมากมาย เรื่องเสด็จขึ้นครองราชย์ค่อนข้างยุ่งยาก คนของกรมพิธีการต้องเตรียมการล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทันแล้ว ทว่าจะขาดชุดมังกรไม่ได้นะเพคะ! ต้องเร่งทำออกมาก่อนพิธีขึ้นครองราชย์ ฝีมือของบ่าวก็นับว่าไม่เลว เช่นนั้น ช่วงไม่กี่วันนี้ ให้บ่าวไปช่วยจัดการที่กองพิธีการภายในดีหรือไม่เพคะ? ”

“ครองราชย์? ครองราชย์อันใด? ” เยี่ยโยวเหยาถามด้วยใบหน้าเย็นชา

ทันใดนั้นแม่นมฮวาก็เข้าใจ นางพูดด้วยใบหน้าตกตะลึงว่า “ท่านอ๋อง มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านต้องทำตามเจตจำนงของประชาชน ขึ้นครองราชย์ตามความประสงค์ของสวรรค์ ท่านยังจะรออันใดอีกเพคะ? ”

“หากผู้ใดยังพูดจาเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ละเว้น” เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ถึงเวลานี้แล้ว อำนาจของฮ่องเต้ตกอยู่ในมืออย่างชัดเจน ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่คิดขึ้นครองราชย์ เขาคิดจะทำอันใด?