ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 149 มุ่งไปด้านหน้าอย่างโง่เง่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พลังของหมัดทะลวงศึกผ่านทะลุออกไป รวมกันมิได้แตกแยก จนกระทั่งได้สัมผัสคู่ต่อสู้หรือว่าสิ่งอื่นถึงจะเปล่งพลังออกมา สามารถรักษาพลังตั้งแต่แรกเริ่มได้สมบูรณ์แบบที่สุด พลังในการทำลายน่าเกรงกลัวสูงสุด ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่ชำระล้างกระดูกได้สมบูรณ์แบบที่สุด ก็ไม่อาจใช้ร่างกายต้านทานได้ จะต้องหาหนทางในการหลบหลีก หรือไม่ก็ต้องขับพลังปราณแท้ที่แข็งแกร่งมาบดขยี้

พลังหมัดชนิดนี้ยังมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง หมัดออกไปประหนึ่งสายลม สายลมรวมกันเป็นหมัด เริ่มจากเจ้าของหมัด ณ ตรงนั้น พุ่งออกไปประหนึ่งสายฝนเทกระหน่ำบ้าคลั่ง ปกคลุมไปยังทุกทิศทุกทาง หนึ่งหมัดสามารถโจมตีศัตรูได้หลายสิบคนหรือมากกว่านั้น ใช้ในสนามรบยิ่งเหมาะสมที่สุด ในตำนานกล่าวว่าหากฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดจะทะลวงกองทัพข้าศึกได้นับพัน ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าหมัดทะลวงศึก

ในการต่อสู้สนามแรก เฉินฉางเซิงแสดงความเร็วระดับที่ยากจะจินตนาการได้ออกมา แต่หมัดทะลวงศึกไม่หลงเหลือช่องว่างให้เขาแสดงความเร็วออกมา อีกทั้งทุกคนต่างมองออก จำนวนพลังปราณแท้ของเขาธรรมดาอย่างยิ่ง หากเทียบกับบรรดาผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าร่วมในการสอบใหญ่แล้ว ก็ยิ่งน้อยจนน่าเวทนา ถ้าหากเขาไม่มีวิธีอื่น เกรงว่าจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย

ในตำหนักประจักษ์อักษรเงียบเชียบอย่างยิ่ง ผู้คนต่างจ้องมองภาพบนกระจก มองพลังหมัดสีฟ้าอ่อนหลายสิบสาย มุ่งจากทุกทิศทุกทางมายังเฉินฉางเซิง ด้วยท่าทางแปลกประหลาด

ด้านข้างที่นั่งตำแหน่งของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา มีเก้าอี้เพิ่มขึ้นอีกสองตัว ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองชัดเจนว่ายังวัยเยาว์ ทว่าหากมองจากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้วก็นับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับเหมยหลี่ซา ไม่ทราบได้ว่าเป็นผู้นำของกรมศักดิ์สิทธิ์แห่งไหนของนิกายหลวง

มุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์สองท่านนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงมาตำหนักประจักษ์อักษรสายเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกคล้ายกับว่าต้องการมาดูการต่อสู้ของเฉินฉางเซิงโดยเฉพาะ

ท่าทางของผู้คนในตำหนักประจักษ์อักษรนั้นแปลกประหลาด ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองท่านนั้นกลับเงียบสงบ

เพราะว่าพวกเขาชัดเจนในระดับวิทยายุทธ์ของฮั่วกวงยิ่งนัก หรือจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ ฮั่วกวงเดิมทีเป็นคู่ต่อสู้ที่พวกเขาจงใจเลือกให้กับเฉินฉางเซิง

การจับฉลากของการต่อสู้เป็นพวกเขาจัดการอย่างเงียบๆ พลังและรายละเอียดที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมาในรอบแรก ก่อนหน้านี้ได้บอกผ่านนักบวชบางคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา แอบบอกเรื่องเหล่านี้ให้กับสำนักต้นไหวล่วงรู้ ด้วยเหตุนี้ฮั่วกวงเพียงชั่วครู่ก็สามารถขับพลังปราณแท้นำหมัดทะลวงศึกออกมา เพื่อไม่ให้โอกาสใดๆ ต่อเฉินฉางเซิง

ทั้งหมดทั้งมวล เพียงต้องการมั่นใจในบางเรื่อง เฉินฉางเซิงจะต้องพ่ายแพ้

ม่ออวี่จ้องมองเฉินฉางเซิงที่ประหนึ่งถูกผลักให้ห้อยอยู่บนหน้าผา คิ้วละเอียดขมวดเล็กน้อย มือทั้งคู่ที่วางอยู่บนพนักแขนจับกันแน่นยิ่งขึ้น

เฉินหลิวอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ลอบสังเกตนาง ความรู้สึกสงสัยภายในจิตใจยิ่งนานยิ่งมากขึ้น เขาไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นตัวแทนของพลังอำนาจใหม่ที่ต้องการบดละเอียดสำนักฝึกหลวง สายตาที่เห็นว่าเฉินฉางเซิงจะต้องพ่ายแพ้ในเวลานี้ เพราะเหตุใดนางกลับตึงเครียดเช่นนี้ เป็นห่วงสถานการณ์ในสนามรึ หรือว่านางจะเป็นห่วงเฉินฉางเซิงเล่า นี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

เพียงชั่วครู่ เขาจู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งได้ คิดว่าตนคาดเดาความคิดของม่ออวี่ได้

ในการชุมนุมไม้เลื้อย เมื่อนั้นองค์หญิงลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ต่อสู้กัน เคยแสดงย่างก้าวหยั่งเทวาแบบฉบับง่ายออกมา ตอนนั้นถูกโก่วหานสือมองออก ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งสนาม เพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงรู้วิชาย่างก้าวหยั่งเทวาที่ลับสุดยอดของเผ่ามารได้ นี่เป็นเรื่องราวคลุมเครือที่ไม่อาจเข้าใจได้มาตลอด ถึงแม้ว่าอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย องค์หญิงลั่วลั่วจะใช้วิชาย่างก้าวของย่างก้าวหยั่งเทวาที่ไม่สมบูรณ์ แต่อยู่ในการต่อสู้ระดับการสอบใหญ่หรือการชุมนุมไม้เลื้อย แบบฉบับง่ายหรืออาจจะกล่าวว่าเป็นย่างก้าวหยั่งเทวาที่เปลี่ยนรูปก็เพียงพอที่จะใช้ในสถานการณ์สำคัญได้ ดังเช่นเผชิญหน้ากับเหตุการณ์วันฝนกระหน่ำ หรือว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหมัดทะลวงศึก…

ม่ออวี่ก็คงจะคิดไปถึงภาพในการชุมนุมไม้เลื้อย นางคงมิได้กังวลว่าเฉินฉางเซิงจะพ่ายแพ้ แต่เครียดที่เฉินฉางเซิงจะใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาแบบฉบับง่ายอย่างนั้นใช่หรือไม่ ได้สลัดออกจากวงล้อมของหมัดทะลวงศึก แล้วทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด เฉินหลิวอ๋องคิดเช่นนี้

เขาคิดไปถึงย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับง่ายของเฉินฉางเซิงได้ คนที่เหลือในตำหนักประจักษ์อักษรย่อมคิดได้เป็นธรรมดา ท่าทางของสวีซื่อจีเคร่งขรึม เซวียสิ่งชวนกลับมานั่งกลางเก้าอี้ใหม่อีกครา บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบไร้เสียง กลุ่มผู้คนต่างก็ชัดเจน อย่างน้อยเฉินฉางเซิงก็คงจะไม่พ่ายแพ้ในทันที การต่อสู้สนามนี้ก็คงจะดำเนินต่อไปอีกสักพัก

ใต้เท้ามุขนายกแห่งโถงศักดิ์สิทธิ์สองท่านนั้นสีหน้ายังคงไร้ความรู้สึก เป็นตัวแทนของขุมพลังอำนาจใหม่ของนิกายหลวง เรื่องราวที่พวกเขาล่วงรู้ก็ไม่น้อย

ในเมื่อต้องการบดขยี้สำนักฝึกหลวง ในเมื่อต้องหยิบยืมมือของสำนักต้นไหวให้เฉินฉางเซิงถูกคัดออกในการต่อสู้รอบที่สอง แล้วจะพลาดข่าวสารเรื่องนี้ได้อย่างไรเล่า

ระดับวิทยายุทธ์ของเฉินฉางเซิง คู่ต่อสู้ของเขาก็คงจะทราบดี

หรือว่า เวลานี้ฮั่วกวงกำลังรอคอยให้เฉินฉางเซิงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับง่าย ทะลวงออกจากหมัดทะลวงศึกที่เปลี่ยนลมฝนคลุ้มคลั่ง

ฮั่วกวงจะต้องซุกซ่อนฝีมือที่แข็งแกร่งกว่า รอจังหวะที่เขาออกมาเพียงชั่วพริบตา

เพียงชั่วครู่ ในตำหนักประจักษ์อักษรมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น

ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองภาพในกระจก รู้สึกตกตะลึงไม่เข้าใจ

เฉินฉางเซิงมิได้ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับง่าย มิได้คิดวางแผนที่จะตีวงล้อมจากหมัดทะลวงศึกออกไป

จะกล่าวให้ถูกต้อง เขาไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น เท้าทั้งสองเหยียบอยู่บนพื้นทราย มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มั่นคงดุจถูกตอกอยู่ตรงนั้น

เขาห่างจากพลังหมัดปราณแท้สีฟ้าน่าหวาดกลัวหลายสิบจั้ง จ้องมองฮั่วกวงที่อยู่ตรงหน้า เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขารอคอยไม่นาน ผู้ยิ่งใหญ่ในตำหนักรวมถึงพวกนักบวชพระราชวังหลีที่ชมการต่อสู้ก็มองได้ไม่นาน พลังที่น่าหวาดกลัวของหมัดทะลวงศึกสุดท้ายแล้วก็มาถึงยังด้านหน้าของเขา ดุจลมฝนคลุ้มคลั่งจริงๆ ต่างเติมเต็มซอกมุมว่างเปล่าที่อยู่รอบร่างกายเขา

คนจำนวนมากที่มองเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นสวีซื่อจีหรือว่าม่ออวี่ หรือกระทั่งนักบวชที่อยู่บนชั้นสองผู้มีใจเอนเอียงไปทางสำนักฝึกหลวง ล้วนแต่ไม่เข้าใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจะต้องทำอะไร นี่เป็นการต่อสู้ของการสอบใหญ่ ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต หากกล่าวตามเหตุผล คงจะไม่ได้เห็นภาพที่จนตรอกมัดมือมัดเท้า อีกทั้งในเมื่อเขาไม่อาจต้านทานได้ เพราะเหตุใดต้องยืนอยู่บนพื้นยอมรับการโจมตีของหมัดทะลวงศึกด้วยเล่า

ไม่เข้าใจและงงงวย เป็นความรู้สึกส่วนมากของคนที่ชมการต่อสู้ มีบางคนที่กลุ้มใจ ดังเช่นเฉินหลิวอ๋องกับม่ออวี่

เมื่อมาถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงก็คงจะพ่ายแพ้เป็นแน่แล้ว

หมัดทะลวงศึกของฮั่วกวงได้เตรียมพร้อมอยู่ด้านหน้าของเฉินฉางเซิง เปลี่ยนเป็นก้อนกลมแห่งลมฝนสีฟ้าอ่อนยาวประมาณสองจั้ง ด้านในมีสายลมสายฝนจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่เป็นพลังหมัดที่น่าเกรงกลัว

เวลานี้ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาแบบง่ายก็ไร้หนทางจะทะลวงหมัดที่รวมตัวกันเป็นก้อนสายลมสายฝนนี้ได้

นอกเสียว่าเขาสามารถแสดงย่างก้าวหยั่งเทวาที่แท้จริงและสมบูรณ์แบบได้

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ฤดูใบไม้ผลิล่วงเข้ามายังจิงตู เป็นนักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวงในรอบสิบกว่าปีมานี้ นำพาสายลมสายฝนความวุ่นวายมานับไม่ถ้วน ต้องการจะเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ เรื่องราวทั้งหมดนี้จะสิ้นสุดลงเวลานี้หรือ

เวลาต่อมา เฉินฉางเซิงขยับแล้ว

เมื่อทุกคนคิดว่าเขาจะขยับ เขากลับยืนนิ่งเงียบอยู่บนพื้น มิได้ขยับเขยื้อน

เมื่อทุกคนคิดว่าเขาไม่อาจขยับได้ จู่ๆ เขาก็ขยับ

เขาไม่ได้ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา แต่ชนถลาไปยังหมัดทะลวงศึกที่ก่อตัวกันเป็นห่าลมห่าฝนโดยตรง

การกระทำของเขามองแล้วไม่ชำนาญ รู้สึกว่าโง่เง่า แต่ว่าแน่วแน่ยิ่งนัก

บนชั้นสองของหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนส่งเสียงร้อง พวกนักบวชพระราชวังหลีมีบางคนที่ตกตะลึง มีบางคนที่เป็นห่วง

เวลานี้อากาศรอบตัวเขา อย่างน้อยก็มีพลังหมัดหลายสิบหมัด ประหนึ่งลมพายุลูกใหญ่ที่พัดหมุนเวียน ปลายหน้าสุดของพลังหมัดทุกหมัด ต่างก็มีแสงสว่างเอ่อล้นออกมา

หมัดเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเท็จ

แต่พลังที่น่าหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในหมัดนั้นเป็นความจริงจนไม่อาจจะจริงอย่างไรได้อีกแล้ว

หมัดทะลวงศึกเหล่านั้นที่ก่อตัวเป็นสายลมสายฝนแน่นขนัดอย่างยิ่ง ราวกับว่ามิได้มีช่องว่างแม้แต่น้อย นอกจากย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับสมบูรณ์ที่หยิบยืมพลังการกระโดดจากธรรมชาติ วิชาย่างก้าวอย่างอื่นไม่ว่าจะล้ำเลิศอย่างไร เมื่อสัมผัสหมัดเหล่านั้นจะก่อให้เกิดพละกำลังหมัดอันน่าหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้ใช้วิชาย่างก้าวใดๆ เพียงแค่พุ่งถลาโจมตีออกไปข้างหน้าง่ายดาย

เสียงเปรี้ยงดังขึ้น รองเท้าใหม่ข้างขวาของเขาฉีกกระจุยประหนึ่งหิมะ

ทรายสีเหลืองแผ่กระจาย เผยให้เห็นพื้นที่ทำจากหิน ปรากฏเป็นรอยประหนึ่งตาข่าย

ร่างกายกับอากาศเสียดสีกันก่อให้เกิดเป็นเสียงแหลมเศร้าระทม เขาเปลี่ยนเป็นเงาร่างที่ไม่สมบูรณ์ มังกรดำได้ปรากฏอีกคราหนึ่ง

หลังจากนั้นในเวลาอันสั้น เงาที่ไม่สมบูรณ์หยุดชะงักเล็กน้อย

เพราะว่าพลังหมัดที่แข็งแกร่งได้โจมตีไหล่ขวาของเขา

เสื้อผ้าสำนักสีเข้มประหนึ่งดอกไม้เบ่งบานส่งเสียงแควกๆ กระจายปลิวไปตามแรงลม พลังหมัดปะทะร่างกาย ผิวหนังบนหัวไหล่เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที คล้ายเป็นแผลแตกออก

เวลานี้ เขาจึงทำได้เพียงยกเท้าไปข้างหน้าสองก้าว

คล้ายกับว่าจะหยุดลงเสียตรงนั้น

แล้วถูกสายลมสายฝนคลุ้มคลั่งของหมัดทะลวงศึกปะทะล้มลงกับพื้น

บนชั้นสองเงียบลงฉับพลัน

ในตำหนักประจักษ์อักษรกลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ผสมปนเปไปด้วยความเยาะหยัน

ม่ออวี่มิได้ยิ้มออกมา นางจ้องมองภาพในกระจก จิตใจสลับซับซ้อน

นางคล้ายกับว่ามองเห็นแวบหนึ่ง ไหล่ขวาของเฉินฉางเซิงแตกเป็นแผล กระดูกหักโลหิตไหล แล้วถูกหมัดทะลวงศึกจำนวนมากโจมตี กระอักโลหิตพ่นออกมาบนพื้น พ่ายแพ้แล้วถูกคัดออกจากการสอบใหญ่เพียงเท่านี้

นางถึงขนาดมองได้ยาวไกลกว่านั้น เห็นเบื้องหลังที่เศร้าสร้อยของหนุ่มน้อยผู้นี้เมื่อออกจากสำนักฝึกหลวง

ในห้องของอาคารหลังเล็ก ผ้าห่มที่นอนที่เยียบเย็น ถึงแม้ว่าจะจุดกำยานมากมายขนาดไหน ก็ไม่อาจจะมีกลิ่นดังเช่นก่อนหน้านี้ได้

นางคิดไปถึงประโยคที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยกับตน พลันรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เจ็บปวดอยู่บ้าง

มีคนจำนวนมากที่คิดเหมือนกับม่ออวี่

ใช่แล้ว ในการแข่งขันรอบแรกเฉินฉางเซิงได้แสดงพลังการป้องกันที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง

แต่ หมัดทะลวงศึกก็คือหมัดทะลวงศึก ถึงแม้จะชำระล้างกระดูกจนสมบูรณ์แบบก็ไม่อาจต้านทานได้

เฉินหลิวอ๋องเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด รู้สึกโมโหเล็กน้อยที่เมื่อแรกเริ่มเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงไม่ชักกระบี่ขึ้น

ใบหน้าสวีซื่อจียังคงไร้ความรู้สึก ฐานะของเขาตอนนี้กระอักกระอ่วนใจ มองเห็นความพ่ายแพ้ของเฉินฉางเซิง เขาจึงไม่เหมาะสมที่จะเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา

ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเฉินฉางเซิงถูกหมัดทะลวงศึกปะทะจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ทว่าเพียงชั่วครู่ ในหอชำระธุลีปรากฏภาพที่น่าอัศจรรย์ขึ้น

บนไหล่ขวาของเฉินฉางเซิงที่ถูกหมัดทะลวงศึก ถึงแม้ชุดสำนักจะขาดรุ่ย มีสีโลหิตอ่อนจาง

ทว่า เพียงแค่ปรากฏเพียงเลือนรางเท่านั้น ทั้งยังกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เกิดเสียงทำลายความเงียบเสียงหนึ่ง ดังมาจากบริเวณหัวไหล่ของเขา

หมัดทะลวงศึกหมัดนั้น…เลือนหายไปประหนึ่งควัน กระจายไปตามลม!

หมัดที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ สุดท้ายไม่อาจทำให้เขาโลหิตไหลออกมาได้!

นี่ไหนเลยจะเป็นการร่วงลงจากหน้าผาหิน กระแทกพื้นแผ่นดินใหญ่ ทำให้ป่าไม้ฝูงวิหคนกตกตะลึงกัน

นี่เป็นสายลมที่พัดผ่านตามโตรกผา!

หมัดทะลวงศึกหมัดนี้ ก็ทำให้เฉินฉางเซิงคันเท่านั้น!

สีหน้าของฮั่วกวงเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

บนชั้นสองมีเสียงสูดหายใจเย็นเยียบดังขึ้นไม่หยุด

ในตำหนักประจักษ์อักษรเงียบนิ่งไร้สุ้มเสียง

เวลานี้เอง เท้าซ้ายของเฉินฉางเซิงร่วงหล่นบนพื้น

เขามุ่งเดินไปข้างหน้า เดินไปยังฮั่วกวงที่อยู่ด้านหน้า

การกระทำของเขามองแล้วช่างโง่เง่าอย่างยิ่ง

กลับ…น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง