ตอนที่ 38 - 1 ข้ามีนัดกับผีดิบ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

อ้อมกอดที่เย็นเยือก มีความเย็นเยือกที่เนื้อผ้า ซ้ำยังมีความเย็นเยือกที่ผิวกาย ไม่มีกลิ่นอายชีวิตเลยแม้แต่น้อย นางอดจะสั่นสะท้านทั่วร่างไม่ได้

 

 

ผีดิบ?

 

 

หางตาพยายามกวาดไปข้างหลัง อยากเห็นว่ามีขนขาวอะไรไหม แต่มองไม่เห็นอะไรเลยเช่นเดิม

 

 

มือนั้นวางนางนอนลงไปข้างหลังอย่างแผ่วเบา ม้วนนางเล็กน้อย ลากเข้าไปในหลุมฝังศพผุพังที่อยู่ข้างหลังอย่างแผ่วเบา ตลอดขั้นตอนนั้น ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวได้กลิ่นเหม็นสาบของดินเหนียวเล็กน้อย รู้สึกถึงความมืดมิดรอบด้านขณะเข้าไปในหลุมฝังศพผุพัง ในใจคิดอย่างสิ้นหวังว่าครู่ต่อมาคงไม่ได้ตกลงไปในโลงศพผุพังสักโลง นอนร่วมกับซากศพเก่าแก่สักศพล่ะมั้ง? พระเจ้าคุ้มครองให้เหลือแค่โครงกระดูกไปเลย อย่าได้เน่าเปื่อยแค่ครึ่งเดียวเชียว โดยเฉพาะอย่าได้ปรากฏสภาพบวมอืด…

 

 

นางไม่ได้ตกลงไปในโลงศพ แค่ร่วงหล่นสู่อ้อมกอดของบางสิ่ง ยังคงเย็นเยือก ไม่มีกลิ่นอายชีวิต คล้ายคนตายแล้วฟื้นกระนั้น

 

 

เจ้าหมาโง่ชะโงกหน้า เขย่งกรงเล็บมองนาง จากนั้นมองหลุมฝังศพนี้ ไม่กล้าเข้ามา หายไปดังฟิ้วแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว พึ่งพาไม่ได้เลยสักตัว

 

 

นางไม่อยากโดนกอดอยู่แบบนี้ ดิ้นรนโดยสำนึก แต่ในหลุมฝังศพแคบมาก อีกทั้งแขนของเขาทรงพลังขนาดนี้ นางดิ้นไม่หลุด แต่ทำให้ดินทรายเหนือศีรษะร่วงเกรียวกราว ดินทรายยังไม่ทันร่วงลงบนศีรษะผีดิบ แค่ร่วงลงบนร่างนาง นางสำลักฝุ่นเต็มจมูก ได้แต่เลิกดิ้นรน

 

 

ยามนี้สองคนใกล้ชิดกันมาก ใกล้จนรู้สึกได้ถึงผิวกายระชับกับลมหายใจถี่กระชั้นของทั้งสองฝ่าย กลิ่นเหม็นเขียวเจือจางกำจายท่ามกลางความมืดมิด เอ่ยได้ไม่ชัดว่าเป็นกลิ่นใด ทว่าทำให้ลืมว่าที่นี่คือข้างในหลุมฝังศพที่น่าหวาดกลัว นึกถึงภูเขาห่างไกลกับต้นหญ้าเขียวขจี ปีกกาย่ำค่ำเปล่งประกายแสงอาทิตย์ลับฟ้าตรงปลายต้นสน

 

 

ส่วนอ้อมกอดของเขาได้ห่อหุ้มกลิ่นอายทุกสิ่งไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวนับว่าเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทั่วร่างไม่เป็นธรรมชาติ อยากหลบไม่มีที่ให้หลบ ทั้งจมูกทั้งคอหอยยิ่งรู้สึกคันยุบยิบกว่าเดิม

 

 

ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งพลันแผ่ออกตรงหน้านาง นางก้มหน้าจ้องผ้าเช็ดหน้านั้น ผ้าเช็ดหน้าที่ธรรมดามาก คุณสมบัติธรรมดามาก แทบไม่แตกต่างกับผ้าเช็ดหน้าที่ราษฎรทั่วไปข้างนอกใช้กัน

 

 

นางรับมาเช็ดใบหน้ากับจมูก ผ้าเช็ดหน้าที่สกปรกแล้วย่อมคืนให้เขาไม่ได้ นางฉวยมือเตรียมโยนทิ้ง แต่มือของเขาเอื้อมเข้ามาคล้ายเตรียมรับไว้

 

 

นางชะงักงัน นึกไม่ถึงว่าผ้าเช็ดหน้าสกปรกเขายังจะรับไว้ ก้มหน้าจ้องมือของเขา มือของเขาชะงักแล้วชักกลับไป นางชูผ้าเช็ดหน้าสกปรกไว้ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติทั่วร่างนั้นพลันกลับมาอีกแล้ว รออยู่สักพัก ก็ไม่รู้ว่ากำลังรออะไร แต่เขาไม่มีการเคลื่อนไหว ซ้ำยังผลักนางออกไปข้างนอก นางถอนหายใจ ยัดผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงท้องอย่างเงียบเชียบ รู้สึกแค่ว่าทั่วทั้งร่างกายเป็นความอึดอัด แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยังอึดอัดด้วย

 

 

นางได้แต่เบนความสนใจไปข้างนอก ข้างนอกแว่วเสียงฝีเท้าสับสนปนเป คนกลุ่มนั้นมายังหน้าหลุมฝังศพใหญ่จริงด้วย วนเวียนไม่กี่ก้าวแล้วหายไป น่าจะเปิดกลไกเข้าไปในหลุมฝังศพใหญ่แล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังอยากรู้อยากเห็น คิดอยู่ว่าจะตามเข้าไปด้วยดีไหม มือข้างนั้นยื่นเข้ามาท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง ในมือคือเสียมเล่มหนึ่ง

 

 

เสียมรูปร่างพิเศษ ด้ามยาว ตัวเสียมข้างล่างเป็นกึ่งทรงกระบอก นางคิดว่าสิ่งนี้คงไม่ใช่พวกเสียมลั่วหยาง[1]ตามตำนานปล้นสุสานหรอกมั้ง?

 

 

มองเห็นเจ้าสิ่งนี้แล้วเกิดความรู้สึกคล้ายทะลุมิติ นึกถึงช่วงสมัยใหม่ขึ้นมากะทันหัน ทั้งสี่คนชอบอ่านหนังสือแตกต่างกัน นางค่อนข้างชอบเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดิน แต่สิ่งที่ชอบไม่ใช่โครงเรื่องรักใคร่หรือตบตีในวังหลวง แต่เป็นการเลือกนักแสดงละครโทรทัศน์ ทุกครั้งนางจะชี้จอกล่าวว่าว่ะฮ่าๆๆ ฮ่องเต้แก่ขนาดนั้นขี้เหร่ขนาดนั้นซุนลี่ยังต้องแสดงว่าหลงรักเขาลึกซึ้ง แม่งเอ๊ย ลำบากเธอเกินไปแล้ว ไท่สื่อหลันชอบพวกเดอะวอล์กกิงเดดกับรหัสลับระทึกโลก จวินเคอชอบโดเรมอนกับโคนัน เค้กน้อยชอบบันทึกจอมโจรแห่งสุสานกับคนขุดสุสาน อยู่ว่างๆ นางก็กวาดตาอ่านสิ่งของของพวกเธอเรื่อยเปื่อย ตอนนี้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเค้กน้อยอยู่ที่นี่ตอนนี้ คงต้องตื่นเต้นมาก คงต้องดีใจมาก ผีดิบเลยนะ ผีดิบตัวเป็นๆ เลยนะ ผีดิบที่ถือเสียมลั่วหยางขุดสุสานตัวเองเลยนะ โครงเรื่องเฮงซวยยิ่งกว่าคนขุดสุสาน…

 

 

ผีดิบตนนี้สติปัญญาสูงส่ง แอบขุดโพรงฐานใต้ดินของอีกฝ่ายโดยตรง หลีกเลี่ยงกลไกปากประตู กดไลค์

 

 

ว่าแต่ทำไมผีดิบตนนี้ถึงช่วยนางล่ะ? ทำไมถึงขุดโพรงนี้? นางคว้าเสียมไว้ พินิจเขาอย่างสงสัย เตรียมพร้อมว่าถ้ามีอะไรผิดปกติจะใช้เสียมฟาดลงไปได้ทุกเวลา

 

 

ผีดิบลักษณะคล้ายผีดิบมาก ท่ามกลางความมืดมิดยังคงมองเห็นสีหน้าขาวซีด หน้าตาแบนราบคล้ายกลายเป็นขี้ผึ้ง ตัวเองอยู่ในหลุมฝังศพที่มืดมิด มองเห็นร่างกายแบบนี้น่ากลัวเหลือเกิน นางเบนสายตาออกอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

นางคว้าเสียมนั้นไว้ มองผีดิบนั้นเล็กน้อย…แม้รู้สึกว่าเจ้าตนนั้นไม่มีเจตนาร้าย แต่เขาคิดจะทำอะไร?

 

 

ผีดิบนั้นคล้ายเดาได้ว่านางคิดอะไร ชี้ทางนั้นด้วยท่วงท่าแข็งทื่อ คราวนี้นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝาโลงผุพังแผ่นหนึ่งกองอยู่ตรงนั้น

 

 

ฝาโลงพังแล้ว อยากเปลี่ยนใหม่เหรอ?

 

 

อยากเปลี่ยนใหม่ก็ขุดโพรงเองสิ ทำไมเขาไม่มีเสียมอยู่ในมือ? หรือว่างานหนักแบบนี้ เขาคิดจะให้หญิงสาวแสนสวยที่เรือนร่างอ่อนแอ้นเช่นนางนี้ทำให้?

 

 

ท่าทางจะเป็นเช่นนี้ ด้วยเพราะจากนั้นเขาชี้นาง แล้วค่อยชี้ใต้ดิน

 

 

แปลเป็นภาษามนุษย์ น่าจะกล่าวว่า “เจ้าขุด”

 

 

ไม่ทันรอให้จิ่งเหิงปัวเผยให้เห็นสีหน้าต่อต้าน เจ้าตนนั้นคีบกระดูกขาท่อนหนึ่งขึ้นมา คล้ายหยิบมาเล่นตามอารมณ์สักหน่อย จากนั้นกระดูกขาก็หายไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวเริ่มขุดทันที ท่าทางกระตือรือร้น สีหน้าเต็มใจ

 

 

กระดูกนั้นท่าทางแข็งมาก อย่างไรเสียคงแข็งกว่านางแน่นอน ฉะนั้นนางจึงเปลี่ยนใจได้ทันเวลา

 

 

เงาม่วงกะพริบวูบข้างกาย เฟยเฟยย่องเข้ามา จิ่งเหิงปัวใช้สายตาบุ้ยใบ้ให้มัน เฟยเฟยพลันกระโจนขึ้นไป ลอยผ่านตรงหน้าผีดิบ ลอยไปพลางชะโงกศีรษะลงมาไปพลาง ดวงตากลมโตค่อยๆ กะพริบแล้วกะพริบเล่า…

 

 

ผีดิบดีดลมจากนิ้วเพียงครั้ง เฟยเฟยตกลงไปในโลงศพผุพังดังพลั่ก ผีดิบฉวยมือปิดฝาโลง ข้างในมีเสียงฝนเล็บที่ไม่น่าฟัง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองโลงนั้นอย่างเป็นห่วง วันนี้พลังต่อสู้ของสัตว์ประหลาดน้อยอ่อนแอนิดหน่อยแฮะ อีกทั้งโลงนี้ชำรุดทรุดโทรม หาโพรงสักโพรงก็มุดออกมาได้แล้ว มันเกาอะไรอยู่ตรงนั้น?

 

 

เสแสร้งแกล้งเกา เห็นได้ชัดว่ามันกลัวต้องต่อสู้!

 

 

ไม่ช่วยกันเลย ได้แต่ขุดด้วยตัวเอง นางกำลังจะลงมือ ผีดิบเอื้อมมือออกมากุมมือของนางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวขนลุกขนชัน กำลังคิดจะสะบัดกรงเล็บนี้ออกไปอย่างแรง ผีดิบนั้นบีบนิ้วมือนางไว้แน่นไม่ให้นางขยับเขยื้อน แถบผ้าบางส่วนอยู่ในมือแล้ว พันผ้ารอบฝ่ามือของนางด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกแปลกใจ นางไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย แล้วจะพันไว้ทำไม? โชคดีที่แถบผ้านั้นท่าทางสะอาดมาก คงไม่ใช่ผ้าห่อศพ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมเจือจาง

 

 

ผีดิบก้มหน้าพันผ้าให้นาง ท่วงท่าไม่นับว่านุ่มนวลละเอียดอ่อน ทว่าแผ่วเบายิ่งนัก ผมยาวของเขาพลิ้วสยาย พัดผ่านข้างแก้มนาง เรียบลื่นยิ่งนัก เปล่งประกายระยิบระยับ คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งพบว่าผมของผีดิบเป็นสีเงินยวง นุ่มลื่นทอประกายปานแสงจันทร์

 

 

เมื่อก่อนนางเคยเห็นตัวละครที่มีผมสีขาวผมสีเงินในภาพยนตร์กับละครโทรทัศน์หลายเรื่อง ตอนนั้นรู้สึกไม่ชอบใจ คิดว่าผมของมนุษย์ก็ควรเป็นสีดำ ผมสีขาวเป็นของคนชรา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่งดงามสักเท่าไรเลย แต่ตอนนี้ผมสีเงินนี้สวยงามจริงแท้ ตรงหน้านางคล้ายพลิ้วไหวด้วยแสงจันทร์ผ่องอำไพ

 

 

เพียงเหม่อลอยกับผมสีเงินพริบตาเดียวเช่นนี้ เขาพันผ้าให้มือของนางเสร็จแล้ว สะบัดกรงเล็บที่คล้ายอยากลูบผมเขาของนางออกไปอย่างไม่เกรงใจเลย จิ้มพื้นดินอีกครั้ง

 

 

นางได้แต่คว้าเสียมนั้นเริ่มขุดโพรง จากนั้นจึงพบว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องคิดง่ายทำยาก เสียมนี้ทรงกระบอก ยาวและกลม สัมผัสบริเวณพื้นดินได้น้อย ส่วนหลุมฝังศพเล็กแคบ ลุกยืนใช้ขากับเท้าคอยช่วยไม่ได้ เพราะว่าข้างนอกยังมีคนเฝ้ารักษาการณ์ ฉะนั้นการขุดแต่ละครั้งจึงต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาล

 

 

จากนั้นนางก็เข้าใจจุดประสงค์ที่ผีดิบพันมือให้นางแล้ว…ออกแรงด้วยมือ ถ้าไม่พันไว้ มือบอบบางเช่นนางนี้ก็จะถลอกปอกเปิกอย่างรวดเร็ว

 

 

นางคิดได้ว่าวันหน้าตัวเองยังต้องตกระกำลำบาก ดูท่าจะต้องเตรียมพวกสนับข้อมือสนับฝ่ามือไว้ตลอดเวลาแล้ว

 

 

ว่าแต่ผีดิบตนนี้ คิดได้ละเอียดรอบคอบขนาดนี้เชียวหรือ?

 

 

นางเหล่ตามองเขา แต่มองหน้านั้นท่ามกลางความมืดมิดแล้วน่ากลัวเหลือเกิน ทำให้ไม่มีอารมณ์พินิจพิจารณา นางได้แต่เบนสายตาออกอีกรอบ

 

 

ขุดโพรงได้เร็วกว่าที่คิดไว้ ทุกครั้งที่นางทำท่าไม่ถูกต้องหรือใช้แรงไม่ต่อเนื่อง เขาก็จะตบหลังนางเรื่อยเปื่อยครั้งหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่ากลัวหรือถูกกระตุ้น มีแรงในชั่วพริบตา

 

 

ดินที่ขุดออกมาแล้ว เขาจะโกยออกมาย้ายไปไว้ข้างหนึ่งตลอดเวลา ไม่ให้ดินเหนียวร่วงไปข้างล่าง

 

 

สุดท้ายนางขุด ‘โพรงปล้นสุสาน’ ที่เบี้ยวไปเบี้ยวมาโพรงหนึ่งได้ด้วยตนเอง นางชะโงกหน้ามองข้างล่าง คล้ายเกิดความภูมิใจ กระซิบว่า “เฮ้อ โจรปล้นสุสานผู้นั้น ไม่รู้ว่ายามนี้อยู่ที่ใดแล้ว หากยังอยู่ด้วยกัน จะให้มาดูหน่อยว่าแม่นางเช่นข้าขุดโพรงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

กล่าวไปพลางเพ่งมองผีดิบไปพลาง ผีดิบไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย โคตรเหมือนผีดิบเลย

 

 

จิ่งเหิงปัวเตรียมลงโพรงปล้นสุสานอย่างเบื่อหน่าย ข้างล่างไม่มีเสียง ขณะนี้น่าจะไม่มีคนอยู่เลย

 

 

ทว่าผีดิบคว้าเฟยเฟยแล้วโยนมันลงไปในครั้งเดียว

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าสัตว์ประหลาดน้อยที่คล้ายนุ่มนวลแต่ควบคุมได้ยากจะสะบั้นอุ้งเท้ามอบสักกรงเล็บให้เขา สุดท้ายสัตว์ประหลาดน้อยกระโดดลงไปไม่แค่นสักเสียง เชื่อฟังจนทำให้นางขยี้ตาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างล่างมีเงาขาวกะพริบวูบ เป็นหางใหญ่ของเฟยเฟยส่งสัญญาณว่าปลอดภัย

 

 

ผีดิบคล้ายเตรียมจะกระโดด ทว่าพลันหันหน้า มองไปทางความมืดมิดนอกหลุมฝังศพ จากนั้นผลักนางลงไปในครั้งเดียว

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้เตรียมตัว โชคดีที่หมู่นี้นางกำลังฝึกฝนการหายตัวหลากหลายท่วงท่า กะพริบกายร่วงพื้นกลางอากาศ

 

 

ตรงหน้าคือระเบียง

 

 

แสงไฟสว่างไสว ข้างหน้าข้างหลังไร้คน แต่ตรงสุดปลายระเบียงมีประตูที่ปิดสนิท แว่วเสียงคนรำไร

 

 

เดิมนึกว่าข้างล่างนี้น่าจะเป็นตำหนักใต้ดินหรือฐานใต้ดินที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่ตอนนี้ดูท่าทรุดโทรมเหลือเกิน ห้องที่อยู่สองฝั่งระเบียงยังไม่ได้ขุดขึ้นมา สุดปลายระเบียงก็คล้ายมีแค่ห้องเดียว

 

 

นางผิดหวังเล็กน้อย เพราะว่าขนาดไม่ใหญ่ก็เท่ากับของดีไม่เยอะ

 

 

เหนือศีรษะไม่มีการเคลื่อนไหว นางเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ ทำไมผีดิบไม่ลงมาด้วย?

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เสียมลั่วหยาง แรกเริ่มนิยมใช้สำหรับขุดสุสาน ภายหลังจัดเป็นเครื่องมือทางโบราณคดีชนิดหนึ่ง