ฉินอวี้โม่จ้องมองอวี๋เฟิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว
“ลืมมันเสียเถอะ”
คุณหนูสี่ตระหนักดีว่า ด้วยสถานที่และสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่สมควรที่นางจะกระทำเรื่องอุกอาจรุนแรง ถึงแม้อวี๋เฟิงจะทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์มากก็ตาม ทว่าการไล่ต้อนเขามากจนเกินไปไม่เกิดผลดีแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ใช่คนนิยมความรุนแรงและไม่ต้องการมีเรื่องทะเลาะวิวาท ที่สำคัญข้าคงจะอยู่ที่นครเมฆาแห่งนี้ไม่นาน ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่านปู่ แต่…นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมถูกรังแก”
ฉินอวี้โม่หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “หากว่าไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องข้า ข้าก็ไม่คิดหาเรื่องระรานผู้อื่นเช่นกัน แต่ถ้ามีใครขวัญกล้ามายั่วยุข้าก่อน ข้าก็ไม่เคยคิดละเว้นมันผู้นั้น ครั้งนี้เพราะเห็นแก่ท่านปู่ แต่หากมีครั้งหน้าข้าจะไม่ปรานีเจ้าอีก ถ้าไม่เชื่อเจ้าจะลองพิสูจน์ดูก็ได้”
แม้ว่าเสียงของฉินอวี้โม่จะเรียบนิ่ง ทว่าสายตาที่ทั้งอำมหิตและเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจก็ทำให้หลานชายของผู้อาวุโสสามถึงกับตัวสั่น
“ไปกันเถอะ !”
อวี๋เฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยความเคียดแค้น ทว่าความแค้นนั้นกลับถูกความหวาดหวั่นบดบังไว้จนหมดสิ้น บุรุษผู้ถือตนเป็นชนชั้นสูงของนครใหญ่รีบหันหลังกลับและพาคนของเขาเดินจากไป
“อวี้โม่ เทพเซียนองค์ใดอุปถัมภ์เจ้าอยู่กันแน่ ฮึ? เหตุใดเกิดมาจึงไม่เคยขาดแคลนพี่ชาย หนำซ้ำไปไหนยังมีแต่พี่ชายแสนดีรายล้อมรอบตัวเต็มไปหมดแบบนี้”
หลังจากอวี๋เฟิงพาคนของเขากลับไปแล้ว เยว่ชิงเฉิงก็หันมามองสหายตระกูลฉินที่ยืนอยู่เคียงข้างบุรุษฝาแฝดผู้หล่อเหลาก่อนจะเอ่ยวาจากระเง้ากระงอด
ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา
ไม่ว่าจะเป็นฉินอี้เฟยและฉินอี้เฉียงจากตระกูลฉินก่อนหน้านี้ หรือว่าจะเป็นอวี๋หยางและอวี๋ปิงในตอนนี้ก็ล้วนแล้วแต่รักน้องสาวผู้นี้มากเหลือเกิน
เหตุใดสหายผู้นี้ของนางถึงมีพี่ชายคอยปกป้องอยู่มากมาย คุณหนูผู้เป็นลูกโทนแห่งตระกูลเยว่นึกจินตนาการว่าหากตัวนางมีพี่ชายคอยปกป้องอยู่เช่นนี้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อตัวปัญหาจากไปแล้ว อวี๋ปิงก็เผยรอยยิ้มแสนอ่อนโยนออกมาดังเดิม ในขณะที่ความเย็นชาของอวี๋หยางก็ลดทอนลงไปมาก ในตอนนี้สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ากับสหายกำลังจะออกไปนอกเขตนครรึ แล้ววางแผนจะไปที่ใดกัน ?”
อวี๋ปิงกวาดตามองคณะเดินทางของน้องสาวก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มใจดี
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “พี่สี่ วันนี้พวกเราเพียงออกมาเดินเล่นและดูสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้น ไม่ได้คิดเหมือนกันว่ายังไม่ทันจะไปไหนไกลก็ถูกคนของอวี๋เฟิงเข้ามาล้อมไว้เสียก่อน”
อวี๋ปิงก็คือผู้หนุ่มที่มีอาวุโสเป็นอันดับสี่ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดาของฉินอวี้โม่
พี่น้องที่อาวุโสกว่าอวี๋ปิงนั้น นอกจากอวี๋หยางที่เป็นพี่สามแล้วก็จะมี*–อวี๋เยว่* บุตรชายของท่านลุงใหญ่ซึ่งมีอาวุโสเป็นอันดับสอง ส่วนคนที่มีอาวุโสมากที่สุดก็คือบุตรชายของท่านลุงสองมีนามว่า*–อวี๋เซิง*
“ฮ่า ๆ ๆ เช่นนั้นพวกเราจะไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปเที่ยวชมรังอสูรมายาหายาก ถ้าพวกเจ้าอยากจะได้สักตัวพวกเราก็ยินดีช่วยจับมาให้”
อวี๋ปิงยิ้มพลางกล่าว เขาและพี่ชายยังพอมีเวลาอยู่บ้าง คุณชายฝาแฝดแห่งนครเมฆาจึงตัดสินใจจะพาฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไปเดินเล่นฆ่าเวลา
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้าน้องสาวผู้นี้ แน่นอนว่าทั้งสองอยากจะดูแลนางให้ดี การพาไปเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ และคอยระวังอันตรายให้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีในฐานะพี่ชายของน้องสาว อีกทั้งพวกเขายังได้ใช้โอกาสนี้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนในฐานะเจ้าบ้านด้วย
ฉินอวี้โม่พยักหน้าไม่ปฏิเสธ
“เย้ ! ข้าดีใจที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าพี่ชายแฝดทั้งสองจะพาพวกตนไปเที่ยว องค์หญิงฉีฉีก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก องค์ชายฉีอวี้และสหายคนอื่น ๆ เองก็ยิ้มอย่างยินดีเช่นกัน
คณะเดินทางที่เพิ่งรวมกันขึ้นมาใหม่นี้ เดินออกห่างจากตัวนครเมฆาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ป่าตั้งอยู่
…
ณ พื้นที่อีกด้านหนึ่งของเมือง อวี๋เฟิงพร้อมด้วยบ่าวรับใช้เดินคอตกกลับมายังจวนที่พัก
ในตอนนั้นเอง อวี๋จวินเหยาที่ตกอยู่ในภวังค์เพราะกำลังใคร่ครวญถึงบางสิ่งบางอย่างก็สำนึกรู้ตัว เมื่อมองเห็นหลานชายเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าอมทุกข์
“เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอวี๋เฟิง อวี๋จวินเหยาก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“ท่านปู่ ฉินอวี้โม่ สตรีนอกคอกผู้นั้นกล้าเหยียดหยามข้า ท่านต้องจัดการนางให้ข้า !”
อวี๋เฟิงกล่าวกับอวี๋จวินเหยาด้วยโทสะ
“เรื่องมันเป็นอย่างไรไหนเล่าให้ปู่ฟังซิ ?”
อวี๋จวินเหยามองอวี๋เฟิงก่อนจะค่อย ๆ เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ก่อนหน้านี้ เป็นอวี๋จวินเหยาเองที่ส่งอวี๋เฟิงหลานชายของตัวเองไปหาเรื่องฉินอวี้โม่ เป้าหมายหนึ่งคือเพื่อจะดูปฏิกิริยาของนาง อีกหนึ่งคือเพื่อข่มขู่ให้นางหวาดกลัว อย่างไรสตรีจากดินแดนภายนอกก็คงไม่อาจเทียบเท่าบุตรชายของเขาได้ แต่ไม่คิดเลยว่าอวี๋เฟิงจะถูกอีกฝ่ายเล่นงานกลับมาในสภาพที่น่าอนาถเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น อวี๋เฟิงยังจงใจใส่สีตีไข่ ใส่เชื้อเพลิงเข้าไปปั้นเสริมเติมแต่งเรื่องราว ให้เรื่องมันดูน่าโมโหมากขึ้น แล้วรอดูการตัดสินใจของปู่ของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
“นี่เจ้าหมายความว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอย่างนั้นรึ ?”
อวี๋จวินเหยาขมวดคิ้ว ในตอนที่ได้ยินอวี๋เฟิงเล่าว่าเขาไม่อาจรับมือกับฉินอวี้โม่ได้นั้น ผู้อาวุโสสามก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดปี ต่อให้มีพรสวรรค์ดีเลิศเพียงใดก็เถอะ แต่การที่เกิดในโลกภายนอกแต่กลับต่อกรกับจอมยุทธ์ราชันทูตสวรรค์ได้เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ท่านปู่ทั้งหมดที่ข้าเล่าไปเป็นเรื่องจริง ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าข้าจริง ๆ”
อวี๋เฟิงพยักหน้า วันนี้เขาได้ประมือกับฉินอวี้โม่มาแล้วทำให้เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัด
ฉินอวี้โม่ไม่เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ต้องกล่าวว่าเหนือกว่าเขามากมายนัก
ถึงแม้อวี๋เฟิงจะรู้สึกคลางแคลงใจและไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่ในเมื่อทุกอย่างประจักษ์ชัดต่อสายตาเช่นนี้แล้วเขาก็มีแต่ต้องเชื่อมันเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่นของอวี๋เฟิง อวี๋จวินเหยาก็พยักหน้า ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ
เด็กคนนี้น่ากลัวนัก พรสวรรค์ของนางน่ากลัวยิ่งกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นมารดาของนางเสียอีก หากให้เวลานางเติบโตไปมากกว่านี้ อนาคตข้างหน้าระดับพลังของนางก็คงจะสูงจนยากจะจินตนาการได้
ทันทีที่เกิดความคิดดังกล่าว จิตสังหารอันเข้มข้นก็ปะทุออกมาจากร่างของอวี๋จวินเหยาในฉับพลัน ทว่าเขาก็พยายามกดข่มมันไว้อย่างรวดเร็ว
“เฟิงเอ๋อร์ หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ผู้นั้นอีกแล้ว และอย่าเอ่ยถึงเรื่องในวันนี้ให้ใครฟัง เจ้าจงใช้เวลาที่มีในช่วงนี้เก็บตัวฝึกฝนอย่ามัวออกไปเถลไถล”
อวี๋จวินเหยามองอวี๋เฟิงด้วยสายตาจริงจังก่อนจะกล่าวกำชับ
เมื่อได้ยินวาจาของผู้เป็นปู่ อวี๋เฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อย นี่อวี๋จวินเหยาไม่โกรธแค้นเลยหรือที่หลานของตัวเองถูกเล่นงานมา ? เหตุใดถึงได้กล่าวกับเขาเช่นนั้น
เมื่อเห็นท่าทีงุนงงของอวี๋เฟิง อวี๋จวินเหยาก็เผยรอยยิ้มเย็นชา “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าคิดหรือว่าปู่คนนี้จะไม่ทวงความเป็นธรรมให้กับเจ้า ? แต่ตอนนี้ ปัญหามันอยู่ที่อวี๋จวินซานรักฉินอวี้โม่มากและอาจจะยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง เวลานี้เจ้าจึงต้องพยายามนิ่งเฉยไว้ก่อน อย่าเพิ่งลงมือกระทำสิ่งใด อีกไม่นานวันงานชุมนุมเมฆาก็จะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยคิดแผนการดี ๆ เพื่อเล่นงานฉินอวี้โม่ก็ยังไม่สาย ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋จวินเหยา อวี๋เฟิงก็ทำได้เพียงพยักหน้า
“ท่านปู่กล่าวถูกแล้ว ข้าวู่วามไปเอง ข้าจะทำตามที่ท่านว่า”
อวี๋เฟิงกล่าวรับคำ มือของเขากำแน่นในใจของเขากำลังนึกถึงจุดจบของฉินอวี้โม่ในแบบที่นางสมควรได้รับ ที่ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
…
ฉินอวี้โม่ที่อยู่นอกเขตกำแพงนครไม่ทราบเลยว่าขณะนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีกำลังวางแผนร้ายเล่นงานตน ตอนนี้นางกำลังสนุกสนานอยู่กับเหล่าสหายและพี่ชายฝาแฝดทั้งสองในขณะที่กำลังไล่จับอสูรมายาหายากของแผ่นดินบนม่านเมฆแห่งนี้
ต้องบอกเลยว่าอสูรมายาที่อาศัยอยู่ในนครเมฆามีพรสวรรค์ที่สูงส่งและแข็งแกร่งกว่าอสูรมายาของโลกภายนอกมาก
อสูรมายาของฉีฉี ฉีอวี้และพวกเยว่ชิงเฉิงยังมีระดับที่ไม่สูงนัก เมื่อพวกเขาได้รับโอกาสดีเช่นนี้จึงไม่ลังเลที่จะรีบทำพันธสัญญากับอสูรตัวใหม่
วันนี้ทั้งฉีฉีและเยว่ชิงเฉิงมีความสุขเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกฉีอวี้และคนอื่น ๆ เองก็แทบจะหุบยิ้มไม่ได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าการมาที่นครเมฆาในครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว
คณะล่าอสูรใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่นอกนครเกือบตลอดทั้งวัน ในตอนที่พวกเขากลับไปยังตำหนักชายาก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
หลายวันหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไม่ได้ออกไปไหนมากนัก พวกนางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในที่พักของตน
เรื่องราวย่ำแย่ที่เกิดขึ้นล่าสุดทำให้โอวหยางชิงเฟิงและหลินซิวหยารู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเกินไป หลายวันที่ผ่านมานี้ทั้งสองจึงมุ่งมั่นเก็บตัวฝึกฝนและพยายามพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะโอวหยางชิงเฟิง เขาต้องการบรรลุระดับทูตสวรรค์ให้ได้ก่อนที่งานชุมนุมเมฆาจะเริ่มขึ้น
ในช่วงนี้นอกจากเป็นเพื่อนคุยของเหวินชิงหยวนแล้ว ฉินอวี้โม่ยังใช้เวลาที่เหลือในการเรียนรู้วิชาข่ายอาคมและทักษะการหลอม
เมื่อได้เห็นถึงความรู้ด้านข่ายอาคมที่ไม่ธรรมดารวมถึงทักษะการหลอมที่ช่ำชองของฉินอวี้โม่ เหวินชิงหยวนก็รู้สึกประหลาดใจ ทว่าใบหน้างดงามก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
การมีหลานสาวที่มีความสามารถรอบด้านนับเป็นเรื่องที่ประเสริฐโดยแท้
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ทะลวงถึงระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์แล้ว การช่วยสหายสยบอสูรมายาที่ป่านอกเมืองก่อนหน้านี้ทำให้นางก้าวข้ามกำแพงแห่งขอบเขตนี้มาได้
ด้วยขอบเขตพลังในตอนนี้กอปรกับไพ่ตายทั้งหมดที่มีอยู่ คุณหนูตระกูลฉินมั่นใจว่า ตัวนางสามารถท่องไปทั่วทุกที่ในดินแดนแห่งนี้ได้แล้ว บัดนี้ ฉินอวี้โม่กลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหวนหลิงอย่างเต็มตัว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็เลือกที่จะปิดเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน ตอนนี้ทุกคนรอบข้างเข้าใจว่านางยังอยู่ในขอบเขตราชันทูตสวรรค์และคิดว่านางยังไม่สามารถทะลวงข้ามขอบเขตได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ คุณหนูผู้พลัดพรากแห่งนครเมฆาได้มีโอกาสพบหน้าพี่ชายอีกสองคนของตนคือ*–อวี๋เซิง* และ*–อวี๋เยว่* แล้วเช่นกัน
ทั้งอวี๋เซิงและอวี๋เยว่ต่างก็เป็นคนสุภาพอ่อนโยน ระดับพลังของทั้งคู่ก็สูงส่งไม่ธรรมดา ในตอนที่ได้เจอฉินอวี้โม่พวกเขาดูจะตื่นเต้นกันมาก สำหรับฉินอวี้โม่แล้วนี่เป็นอีกครั้งที่นางได้สัมผัสกับความรักและความอบอุ่นของครอบครัว
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่านครเมฆาคือบ้านอีกหลังหนึ่งของนาง บ้านที่มีคนในครอบครัวที่รักนางมาก
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ความรักที่ครอบครัวฝั่งนครเมฆามีให้นางกับความรักที่ได้รับจากตระกูลฉินนั้นไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
…
ขณะที่ฉินอวี้โม่พำนักอยู่ในนครเมฆาอย่างสงบ แผ่นดินใหญ่เบื้องล่างกลับเกิดกระแสความเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
บัดนี้ข่าวเรื่องสงครามระหว่างนครไป๋อวิ๋นและอารามได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนหวนหลิงเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รับรู้ถึงความน่ากลัวของฉินอวี้โม่และกองทัพอสูรของนาง และยังได้รับรู้เรื่องความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของอวี๋จวินซานจ้าวนครเมฆาที่ขับไล่คนจากดินแดนหนเหนือออกไปทำให้หวนหลิงกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
ชื่อของฉินอวี้โม่ดังกระฉ่อนไปทั่วหวนหลิงอย่างรวดเร็ว และส่งให้ผู้คนต้องการรู้จักสตรีเก่งกาจผู้นี้ หลายคนและหลายขุมกำลังจึงตามสืบหาประวัติความเป็นมาของนาง
ผู้ที่ถูกเรียกว่าขยะไร้ค่ากลับใช้ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ในการก้าวขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์ราชันทูตสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นยังแข็งแกร่งถึงขนาดที่เอาชนะจ้าวอารามได้ แข็งแกร่งพอจะอยู่ในระดับแนวหน้าของดินแดนหวนหลิง
ที่สำคัญคือพรสวรรค์ของนางยังไม่ได้มีเพียงเท่านั้น
นอกจากนางจะเป็นจอมยุทธ์ราชันทูตสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปีแล้ว นางยังเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะที่ว่ากันว่ามีอยู่แต่เพียงในตำนาน พรสวรรค์อันน่าตกใจของนางสูงส่งจนยากเกินกว่าผู้ใดจะจินตนาการได้ว่าเหตุใดนางถึงได้ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้
ที่สำคัญในด้านของนิสัยใจคอ ฉินอวี้โม่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบง่าย มีไมตรี และเห็นแก่มิตรภาพมาก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครอยากจะตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง
กระทั่งเวลานี้ หลายขุมกำลังในดินแดนหวนหลิงเริ่มหาทางเข้ามาผูกมิตรกับตระกูลฉินเพื่อหาทางตีสนิทคุณหนูสี่
ยิ่งได้ทราบข่าวว่าในขณะนี้นางได้เดินทางไปยังนครเมฆาเรียบร้อยแล้วก็ยิ่งทำให้หลายขุมกำลังที่ได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมงานต่างก็แทบจะอดใจรอวันที่งานชุมนุมเมฆาครั้งนี้จะเริ่มขึ้นไม่ไหว
ขณะที่ทางฝ่ายนครไป๋อวิ๋น หลังจากจบสงครามครั้งนั้นก็ทำให้นครหลวงแห่งนี้เกิดความสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตระกูลใหญ่ที่แต่เดิมเคยมีเรื่องบาดหมางกันเนิ่นนานกลับรวมพลังกันอย่างเหนียวแน่น
ตระกูลเหล่ยเป็นตัวอย่างหนึ่ง อดีตตระกูลคู่อริของตระกูลฉินทราบดีว่าด้วยพลังของพวกเขาตระกูลเดียวนั้นแทบไร้ความหมายในแผ่นดินนี้ พวกเขาจึงยื่นข้อเสนอให้สามตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นปรองดองเป็นพันธมิตรกัน
แน่นอนว่าทางตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางก็ไม่คัดค้าน ผู้นำจากทั้งสามตระกูลได้ลงนามในสัญญาก่อตั้งเป็น*‘ภาคีสามตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋น’* ขึ้น
หลังจากข่าวเรื่องที่ตระกูลใหญ่ทั้งสามได้ลงนามเป็นพันธมิตรกันก็ทำให้ขุมกำลังน้อยใหญ่อื่น ๆ ในนครไป๋อวิ๋นทยอยเข้าไปผูกไมตรีสานสัมพันธ์กับพวกเขาและร่วมลงนามในภาคีกำเนิดใหม่ด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ ทั้งทางราชสำนักรวมถึงโรงประมูลใหญ่ของตระกูลเจียงเองก็ตัดสินใจขอเข้าร่วมกับภาคีสามตระกูลใหญ่ด้วย
ดังนั้นแล้วภายใต้ความเห็นชอบของทุกขุมกำลัง นครไป๋อวิ๋นก็แทบจะกลายเป็นเมืองแห่งใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ซึ่งผู้ก้าวเข้ารับตำแหน่งผู้นำแห่งภาคีนี้ที่ซึ่งเกิดจากการเลือกของทุกขุมกำลังก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมู่อวิ๋นอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก
ในยามนี้ คนจากดินแดนหนเหนือรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องนี้ชัดเจนเสียจนท่านอธิการแห่งสถาบันใหญ่ไม่สามารถทนเพิกเฉยได้อีก
นี่อาจจะถึงเวลาที่โรงเรียนราชสำนักของพวกเขาจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อตอบแทนมาตุภูมิแห่งนี้บ้าง เขาจึงไม่ลังเลเมื่อมีผู้เสนอให้ขึ้นเป็นผู้นำของภาคีอันยิ่งใหญ่ ที่ในตอนนี้เปลี่ยนนามเป็น ‘ภาคีแห่งไปอวิ๋น’ แล้ว
เวลาผ่านพ้นไปว่องไวราวชั่วพริบตา
จนในที่สุดก็เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือน งานชุมนุมเมฆาก็จะมาถึง
ทว่าในตอนที่ตระกูลฉินกำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปยังนครเมฆา กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นหน้าจวนเสียก่อน
.