บทที่ 99 ตำแหน่งเทพ

บุหลันเคียงรัก

นอนหลับไปอีกครั้ง องค์หญิงนานไปนอนไปถึงห้าวัน ตำหนักอวี้หวาน่าจะมีผู้พยากรณ์ที่แม่นยำอยู่ จึงทำนายได้ว่าองค์หญิงจะฟื้นขึ้นมาจากหลับใหลพันปีแล้ว หลายวันนี้จดหมายที่ส่งมาลอยอยู่ภายนอกม่านกั้นเขาจงซานราวกับเกล็ดหิมะ เหล่ามหาเทพต่างเร่งเร้ากันด้วยใจร้อนรน

ฉีหนานเดาว่า จากท่าทางเช่นนี้ หากว่าองค์หญิงยังนอนขี้เกียจไปมากกว่านี้ พวกเขาคงต้องมาจับนางที่เขาจงซานด้วยตนเองเป็นแน่ มหาเทพจงซานไม่อยู่ ม่านกั้นที่เขาสร้างเกรงว่าคงไม่อาจขวางเหล่ามหาเทพเหล่านั้นของตำหนักอวี้หวาได้แน่

แต่แม้ว่ามหาเทพจงซานจะอยู่ ก็คงขวางภาระหน้าที่ที่หนักหนาของฟ้าดินไม่ได้ ช่วงเวลาสำคัญของโลกเบื้องล่างที่แสนจะวุ่นวาย แม้จะเป็นตระกูลจู๋อินที่สูงศักดิ์ ก็ยังไม่อาจยอมให้พวกเขาเอาแต่ใจอย่างแต่ก่อนได้อีก ตำหนักอวี้หวาเร่งเร้าอย่างนี้ จะต้องเป็นเพราะสถานการณ์ของเทพีวั่งซูไม่ดีนักแน่ องค์หญิงยังเหลือเวลาอีกเจ็ดพันปีถึงจะครบสี่หมื่นปี อายุพอประมาณแล้ว คุณสมบัติยิ่งยอดเยี่ยม หน้าที่คือภาระที่เทพต้องรับไว้ไม่อาจปฏิเสธได้

จนถึงวันที่หก ฉีหนานก็ไม่กล้าส่งทหารองครักษ์ไปลาดตระเวนดูแล้ว ได้ยินว่าจดหมายที่ส่งมาใกล้จะล้นไปถึงนอกประตูเขาแล้ว เขาได้ยินเข้าก็ทิ้งทุกอย่างไว้แล้วไปยังวิมานม่วงเพื่อดูสถานการณ์ขององค์หญิงสักครั้ง

เพิ่งจะเข้าไปใกล้ตำหนักหยวนจัน ก็เห็นชิงเยี่ยนยืนก้มหน้าใต้หน้าต่างและกำลังเล่นเจดีย์หลิงหลงแปดเหลี่ยมจากหิมะอันหนึ่งอยู่ หลายปีนี้องค์หญิงปั้นขึ้นของประหลาดมากมายขึ้นมาอีกไม่น้อยและกองเอาไว้ด้านล่างหน้าต่าง ฉีหนานจึงค่อยๆ เอาขึ้นมาจัดเรียงบนชั้นแก้วทีละอันๆ อย่างเป็นระเบียบ

“ฉีหนาน ครั้งที่แล้วที่แผลที่หัวใจนางกำเริบมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชิงเยี่ยนวางเจดีย์หลิงหลงแปดเหลี่ยมกลับไปบนชั้นแล้วหันกลับมาถาม

ปีนั้นเขาหลับใหลพันปีเสร็จสิ้นก็กลับมาเยี่ยมฉีหนานที่เขาจงซาน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเสวียนอี่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย นางไม่ได้กลับไปฟังบรรยายที่ตำหนักหมิงซิ่ง ทุกวันเอาแต่อ่านหนังสือที่บ้านและฝึกฝนวิชาเวทกับท่านพ่อ นางเรียนได้เข้าท่าพอดู หากไม่ใช่เพราะมีครั้งหนึ่งฉีหนานหลุดพูดออกมาเกรงว่าเขาคงไม่รู้เรื่องแผลหัวใจนางกำเริบแน่

ฉีหนานสั่นศีรษะ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ทำให้องค์หญิงเจ็บปวด ไม่ต้องพูดถึงจะดีกว่า ให้เวลานางได้สงบลงก่อน”

ชิงเยี่ยนยิ้มอย่างจนใจ “ครั้งที่แล้วที่ข้าถาม เจ้าเองก็ตอบอย่างนี้ หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเทพฝูชางของตระกูลหวาซวี”

ฉีหนานกลับส่ายหัว” องค์ชายน้อยไม่ต้องถามมาก”

ชิงเยี่ยนถอนหายใจ จริงๆ แล้วเขากังวลเซ่าอี๋แห่งตระกูลชิงหยางคนนั้นมากกว่า เสวียนอี่แผลเก่าตอนเด็กกำเริบ นั่นคือการบาดเจ็บหนักถึงขั้นต้องดับสูญ แต่นางกลับนอนหลับไปเพียงสองร้อยปีก็ไม่เป็นอะไรอีก จะต้องเป็นเซ่าอี๋คนนั้นลงมือแน่

ชิงเยี่ยนนึกถึงตอนนั้นที่เสวียนอี่โวยวายจะไปดูที่แม่น้ำชุ่ย เขารู้ว่าตอนนั้นคือช่วงเวลาดีขึ้นก่อนตาย เขาไม่อยากฝืนความปรารถนาของนาง จึงแอบพานางออกไป ที่ริมแม่น้ำชุ่ยเขาไปเจอเซ่าอี๋ตระกูลชิงหยางเข้า เดิมคิดว่าเขาจะต้องกระทำการไม่เป็นผลดีกับเขาเพราะความไม่ลงรอยของสองตระกูลแน่ แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับเดินเข้ามาดูบาดแผลของเสวียนอี่แล้วกล่าวว่า ‘ข้าช่วยนางได้ แต่เจ้าจะต้องสาบานว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ’

เขารีบสาบานทันที เซ่าอี๋ใช้ขนหัวใจหงส์สองเส้นของตัวเองปกปิดบาดแผลที่หัวใจของเสวียนอี่เอาไว้แล้วกล่าวว่า ‘ข้าไม่มีทางตัดสัมพันธ์ขนหัวใจ ปลาดุกอุยน้อยนี้ข้าเป็นคนช่วยไว้ ต่อไปชีวิตของนางเป็นของข้า เจ้าคอยดูแลนางให้ดีๆ แทนข้า อย่าให้นางเป็นอะไรเด็ดขาด’

จริงๆ แล้วเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือการไม่ตัดสัมพันธ์หัวใจหงส์ จนกระทั่งเขาเข้าใจแล้วถึงรู้ว่า บุญคุณช่วยชีวิตนี้จริงๆ แล้วก็คือการผูกชีวิตไว้ด้วยกัน เขาพยายามฝึกฝนจนถึงวันนี้ก็เพื่อหากวันใดเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เขาจะได้สามารถคุ้มครองน้องสาวตัวน้อยของเขาไว้ใต้ปีกของเขาได้

เดิมเขาไม่คิดจะให้นางรู้เรื่องนี้ แต่เพราะสถานการณ์บางอย่างทำให้นางรู้เรื่องเข้า เดิมชิงเยี่ยนกังวลว่านางจะหวาดกลัวกระวนกระวาย แต่ว่าดูแล้วกลับไม่เหมือนอย่างนั้น น้องสาวเขามักมีนิสัยประหลาด พอมาบังคับถามเขาแล้ว คิดว่าคงรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้มากไปกว่านางจึงไม่ถามต่ออีก และทำราวกับไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น

พูดตามตรง เรื่องความมั่นคงหนักแน่นของนางนี้ เขาเองยังต้องนับถือนางเลย

เดิมเขาอยากจะไปหาเซ่าอี๋ แต่ว่าตบะของเขายังไม่สมบูรณ์ดี หากบุ่มบ่ามไปหาเขากลับจะไม่ดี เรื่องนี้จึงได้แต่ปล่อยไปอย่างนี้ก่อน และพอปล่อยไว้ก็ลากยาวมานานนับหมื่นปี ทุกวันนี้เผ่ามารที่โลกเบื้องล่างเข่นฆ่าทำร้ายผู้อื่นไปทั่ว สถานการณ์แดนเทพเองก็โกลาหลวุ่นวาย ตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินต่างก็ไม่สามารถเก็บตัวไม่สนเรื่องภายนอกได้อีก คิดว่าเซ่าอี๋เองก็น่าจะเป็นนักรบแล้ว เขาได้แต่ต้องรอให้ตนเองมีอายุครบสี่หมื่นปีก่อนแล้วถึงจะลงไปโลกเบื้องล่าง จะได้หาโอกาสไปหาเซ่าอี๋

กำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย พลันได้ยินเสียงนุ่มนวลแฝงไปด้วยความง่วงงุนดังมาจากในหน้าต่าง “มีใครอยู่ไหม ข้าหิวแล้ว”

ในที่สุดทูนหัวทูลกระหม่อมคนนี้ก็ยอมตื่นเสียที ตื่นมาก็หิวเลย ฉีหนานหัวเราะไม่รู้จะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี “องค์หญิงรีบลุกขึ้นเร็ว องค์ชายน้อยกลับมาแล้ว”

กล่าวจบก็เห็นเงาร่างเพรียวบางสีกลีบบัวพุ่งออกมาจากหน้าต่างราวกับเสือตะครุบเหยื่อ ชิงเยี่ยนรีบกางแขนทั้งสองออกอย่างตระหนกแล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก พลันรู้สึกหนักขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “โตขนาดนี้แล้วยังโถมเข้ามาอีก ไม่รักษาภาพลักษณ์เอาเสียเลย”

เสวียนอี่เกี่ยวคอเขาเอาไว้แล้วยิ้ม “ท่านพี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มารอข้าตื่นโดยเฉพาะหรือ”

ชิงเยี่ยนยังเหมือนตอนเด็กไม่ผิด เขาลูบหัวนางสองทีแล้วจับนางวางลงที่พื้น “รอเจ้ามาห้าวัน ประโยคแรกที่เจ้าพูดออกมากลับเป็น ข้าหิวแล้ว ทั้งวันรู้จักแต่กิน”

เสวียนอี่เอียงศีรษะมองพิจารณาเขา นอนหลับไปหนึ่งพันห้าร้อยปี นางตื่นขึ้นมาคนแรกที่ได้เห็นคือชิงเยี่ยน ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ

“พี่อ้วนแล้ว” นางลูบที่ไหล่ของเขาอย่างเคร่งขรึม กลับมาครั้งนี้ไหล่เขากว้างขึ้นไม่น้อย

ชิงเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีบ้างแล้ว “นี่เขาเรียกว่าล่ำสัน ปากเจ้านี่ยังร้ายเหมือนเดิมเลย”

เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากหาวแล้วหันไปมองฉีหนาน “ฉีหนาน มีของกินไหม”

นับๆ ดูแล้ว นางไม่ได้กินข้าวมาถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะชดเชยกลับมาได้

ฉีหนานรีบจัดการสั่งเทพีรับใช้ให้นำอาหารและพรมปุยเมฆมาพัลวัน ปูใต้ต้นเฟิง[1]แดง เขาพูดคุยและกินเป็นเพื่อนสองพี่น้อง ทันใดนั้นองค์หญิงพลันยื่นหน้าเข้ามาจ้องเขาแล้วลูบไปที่เคราเขาพลางยิ้มน้อยๆ “ฉีหนาน เคราขาวอีกแล้ว มีเรื่องอะไรก็ให้ขุนนางคนอื่นไปทำ เจ้าพักเสียบ้าง”

ในใจฉีหนานพลันอุ่นวาบขึ้นมา ความรักเขาไม่ได้เสียเปล่า! เขากลั้นไม่ไหวและน้ำตาคลอ น้ำตาผู้เฒ่าอย่างเขาแทบจะหยดออกมาแล้ว

“รีบเช็ดน้ำตาเสีย” เสวียนอี่แย่งเอาลูกชิ้นที่ตนชอบกินในจานของชิงเยี่ยนมา “ชิงเยี่ยน ครั้งนี้กลับมาอยู่นานเท่าไหร่”

ชิงเยี่ยนเอาลูกชิ้นในจานของตนให้นางทั้งหมด เห็นนางนอนมานานขนาดนี้ ผมยาวสลายลงมาจนแทบจะลากไปกับพื้นแล้ว จึงถักเปียให้นางลวกๆ แล้วกล่าวว่า “อีกประมาณสองสามวันก็ต้องกลับไปแล้ว”

สองสามวันอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขากลับมาจะอยู่ได้แค่เพียงสองสามวันเท่านั้น เสวียนอี่ยิ้มแล้วปรายตามองไปที่เขา “ถ้าอย่างนั้น อีกครู่หนึ่งพวกเรามาประลองเวทกัน”

ตอนนี้นางเป็นตระกูลจู๋อินที่เก่งกาจจริงๆ แล้ว วิชาใดๆ ก็ไร้ผลกับนางและนางยังสามารถใช้เวทได้ตามใจ นางไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ทำได้แค่สั่งให้หิมะตกอีกแล้ว

ชิงเยี่ยนหลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ทำไมไม่ประลองยุทธ์กันเล่า”

นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นไว้ทีละลูกๆ แล้วกินเข้าไปจนหมด ส่วนของที่เหลือนางไม่แตะสักอย่าง ผลักโต๊ะเล็กออกไปเตรียมจะสั่งขนมมา ไม่ได้กินขนมและชามาถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี ทำเอานางอยากเสียจนแทบอดใจไม่อยู่

พลันได้ยินเสียงเคาะระฆังดังมาจากด้านนอกของม่านกั้นเขาจงซาน มันดังสนั่นจนหูแทบหนวก และตามมาด้วยเสียงสวรรค์ว่า “องค์หญิงเสวียนอี่! รีบไปที่ตำหนักอวี้หวา!”

เสวียนอี่ทัดลูกผมข้างหู “นี่คือใครกัน”

ฉีหนานแสดงท่าทีโมโหขึ้นอย่างหาได้น้อยครั้ง เหล่ามหาเทพตำหนักอวี้หวาพวกนี้จะมากเกินไปหน่อยแล้ว องค์หญิงเพิ่งจะตื่นจากการหลับใหลพันปี กลับใช้วิชาเสียงประกาศิตมาเร่ง เขาควานเอาจดหมายออกมาจากในแขนเสื้อแล้วส่งไปให้นาง “องค์หญิงอ่านเองเถอะ”

เสวียนอี่กวาดตามอง คิ้วก็เลิกขึ้น “ข้ายังไม่ทันได้กินขนม อาบน้ำ หวีผม แต่งตัวเลย”

…นางคิดเรื่องอะไรกัน ฉีหนานคลึงขมับ “องค์หญิง เกรงว่าชีวิตของเทพีวั่งซูคงจะเหลือน้อยแล้ว ตำหนักอวี้หวาถึงได้เร่งอย่างร้อนรนอย่างนี้ เทพมีหน้าที่ภาระต้องทำ ท่านว่า นี่…ให้ข้าตอบกลับไปว่าให้พวกเขารออีกไม่กี่วันดีหรือไม่”

เสวียนอี่ก้มหน้าลงอ่านจดหมายอีกรอบ นางนิ่งเงียบ ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเบา “อาอี่ หากไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”

ฉีหนานถอนหายใจ “องค์ชายน้อย เรื่องนี้จะเอาแต่ใจไม่ได้”

เสวียนอี่วางจดหมายลงแล้วเอียงคอลูบเปีย ในหัวนางกลับปรากฏภาพเทพีวั่งซูกำลังดึงเอาพิษปีศาจออกให้นาง ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่เทพที่สูงศักดิ์ก็ยังต้านการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เทพเฟยเหลียนที่โอหังอวดดีในตอนนั้นก็ดับสูญไปแล้ว ชีวิตของเทพีวั่งซูที่สง่างามเหนือธรรมดาเองก็กำลังอยู่ในอันตราย

นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

[1]ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิ้ล