บทที่ 261 จักรพรรดิแดนมรณะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 261 จักรพรรดิแดนมรณะ

บทที่ 261 จักรพรรดิแดนมรณะ

ตามที่หลิงไป๋กล่าวไว้ แก่นแท้ของเคียวแห่งการสังหารนั้นเป็นวัตถุดิบหลักที่ล้ำค่า ซึ่งสามารถใช้ในการขัดเกลาศัตราอมตะได้ และมันมีเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารกักเก็บอยู่ภายใน ดังนั้นหากผู้บ่มเพาะทั่วไปอาศัยพลังที่บรรจุอยู่ในเคียวแห่งการสังหาร คนผู้นั้นก็จะสามารถสร้างเขตแดนเต๋าแห่งการสังหาร ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกับ เมื่อครั้งที่หลิงไป๋ต่อสู้กับหวงฝู่ฉงหมิงและผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เขาได้หยิบยืมพลังของเคียวแห่งการสังหารเพื่อที่จะสร้างเขตแดนเต๋าแห่งการสังหาร ดังนั้นเขาจึงสามารถสกัดหวงฝู่ฉงหมิงและผู้บ่มเพาะคนอื่นอยู่ได้ช่วงระยะหนึ่งและประวิงเวลาให้แก่เฉินซีได้

ตามการคาดการณ์ของเฉินซี เนื่องจากยันต์ศัสตราที่เขาต้องการขัดเกลานั้น ได้รับการกล่าวขานว่ามีการเติบโตที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นการเลือกแก่นแท้ศัสตราจะต้องใช้วัสดุสร้างที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเคียวแห่งการสังหารก็ครอบครองคุณสมบัตินี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าเขายังคงต้องการความคิดเห็นของจี้อวี๋อยู่ดี

“เคียวแห่งการสังหารหรือ?”

จี้อวี๋ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงขอเคียวแห่งการสังหารจากมือของเฉินซี หลังจากที่เขาตรวจสอบมันเพียงชั่วครู่ ดวงตาของเขาก็ส่องประกายไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “มันคือวัสดุสำหรับขัดเกลาศัตราอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นประเภทที่ยอดเยี่ยมที่สุด สิ่งนี้ได้บรรจุเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหาร อีกทั้งยังสามารถปลดปล่อยเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ราวกับมันกำเนิดขึ้นมาจากแก่นแท้ของสวรรค์และโลก ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติอันหาค่ามิได้ของสวรรค์และโลก ทำให้มันเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากและต้องพึ่งโชคชะตานำพาเท่านั้น ว่าแต่เจ้าไปได้มันมาจากที่ใดหรือ?”

เฉินซีอธิบายถึงที่มาของเคียวแห่งการสังหาร ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าก็อยากรู้ที่มาของมันเช่นกัน แต่โชคไม่ดีที่ หานกู่เยว่เจ้าของเดิมของมันได้ถูกข้าฆ่าตายไปแล้ว และข้าเกรงว่าคงจะไม่อาจหาเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับมันได้อีก”

จี้อวี๋หัวเราะเยาะขณะกล่าวว่า “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะเริ่มฆ่าคนและยึดสมบัติเช่นกัน”

เฉินซีรู้สึกละอายใจ แต่เขากลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สมบัติแห่งสวรรค์และโลกนั้นจะได้รับมาก็ต่อเมื่อโชคชะตากำหนด ไม่ต้องกล่าวถึงการที่หานกู่เยว่ต้องการฆ่าข้า ดังนั้นข้าจึงควรตอบโต้มิใช่หรือ”

จี้อวี๋ยิ้มและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก จากนั้นเขาก็ตรวจสอบเคียวแห่งการสังหารอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามในทันที “เจ้าเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารแล้วหรือไม่”

เฉินซีส่ายศีรษะ

“ด้วยการใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารเป็นแก่นแท้ศัสตรา รวมเข้ากับยันต์เทวะทั้งห้า ที่แต่ละชนิดจะทำหน้าที่ควบคุมในพื้นที่เดียวกัน พลังของยันต์ศัสตราที่ขัดเกลาจากพวกมันนั้นถือได้ว่ายอดเยี่ยม แต่ ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างวัตถุอมตะเช่นนี้ได้ ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารรั่วไหลออกมา และจะทำให้เจ้าต้องสูญเสียมันไป แต่ก็แล้วไปเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ขณะที่เขากล่าว แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่มีลวดลายของเมฆก็ปรากฏขึ้นที่มือขวาของจี้อวี๋ และอักขระยันต์ก็พรั่งพรูออกมาและสั่นไหวภายในขณะที่คลื่นเสียงสวดมนต์ของนักพรตเต๋าดังก้องออกมา เมื่อมองมันจากระยะไกล ก็ดูเหมือนกับเป็นเทพเจ้าที่อยู่ในก้อนเมฆ กำลังยื่นมือขนาดใหญ่ที่มีอักขระเต๋านับไม่ถ้วนออกมา และพื้นผิวของเคียวแห่งการสังหารก็ถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ลุกโชนและแผดเผาในทันที

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงอย่างกะทันหัน และเขาเห็นได้ชัดเจนว่า เคียวแห่งการสังหารเริ่มที่จะละลายและกลายเป็นหยดน้ำสีดำสนิทจำนวนมากที่ไร้ตำหนิราวกับไข่มุกสีดำอันล้ำค่า

“จงควบแน่น!” จี้อวี๋ยกมือขวาขึ้นและคว้าไปยังความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าของเขา จากนั้นหยดน้ำสีดำเหล่านั้นก็รวมกันเป็นเกลียวเชือกก่อนจะเคลื่อนไปทีละเส้นเพื่อดึงแก่นแท้ศัสตราออกมา

แก่นแท้ศัสตรานี้ยาวราวสี่ฉื่อ มันมีสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึก สันดาบเหมือนภูเขา ใบมีดเหมือนปีกจักจั่น และด้ามจับเหมือนพระจันทร์เสี้ยว รูปลักษณ์ของแก่นแท้ศัสตราได้เผยให้เห็นถึงลักษณะที่เรียบง่ายและเก่าแก่

โอม!

นิ้วของจี้อวี๋สะบัดบนตัวกระบี่เบา ๆ ทำให้เกิดเสียงที่ชัดเจนและไพเราะดังก้องออกมาจากตัวกระบี่ จากนั้นพลังแห่งการเข่นฆ่าที่รุนแรงและบริสุทธิ์ก็พุ่งออกมาจากตัวกระบี่ กลายเป็นตัวอักขระ ‘杀’ จำนวนมากที่ล่องลอยอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่รอบแก่นแท้ศัสตรา อีกทั้งยังทำให้บริเวณโดยรอบถูกเฉือนออกจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับผืนดินที่แตกระแหง

‘เพียงแค่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมา ก็สามารถทำลายผืนดินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้ามันได้รับการขัดเกลาให้เป็นยันต์ศัสตราแล้ว มันจะทรงพลังถึงขั้นใด?’ ในเวลาเดียวกันกับที่เฉินซีตกตะลึงกับพลังของแก่นแท้ศัสตรา เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับความสามารถของจี้อวี๋ เนื่องจากเพียงแค่จี้อวี๋เหยียดมือของเขา ก็สามารถหลอมเคียวแห่งการสังหารที่เป็นศัตราอมตะให้กลายเป็นแก่นแท้ศัสตราอย่างง่ายดายราวกับปาฏิหารย์!

“เอาล่ะ แก่นแท้ศัสตราเสร็จสมบูรณ์แล้ว จงใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดและเริ่มจารึกยันต์เทวะลงไป” จี้อวี๋สั่งเบา ๆ ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อโยนแก่นแท้ศัสตราให้แก่เฉินซี จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและตั้งใจที่จะจากไป

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋โปรดรอสักครู่ ข้ายังมีเรื่องที่จะถามอีก” เฉินซีพลันนึกถึงบางสิ่งและรีบหยิบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ระเบียนแดนมรณะ และพู่กันพิพากษามารออกมา หลังจากนั้น เขาก็โคจรอักขระจ้าววิญญาณของเขาเพื่อทำให้ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม อัญมณีเพลิงนิรนาม มุกวารีนิรนาม และแร่โลหะนิรนามลอยออกมา

สมบัติเหล่านี้อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะได้มาก็ต่อเมื่อชะตากำหนดเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ในความครอบครองของเฉินซี พวกมันกลับกลายเป็นไข่มุกเม็ดงามที่ถูกซ่อนไว้ เพราะเขาไม่รู้ที่มาที่ไปของสมบัติเหล่านี้อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น เดิมทีเจดีย์บำเพ็ญทุกข์นั้นเป็นศัตราอมตะ แต่ในขณะนี้ มันได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และดวงจิตของมันก็ได้สูญเสียไป ดังนั้นเฉินซีจึงต้องการที่จะซ่อมแซมมัน ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร

นอกจากนี้ ระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารกลับลึกลับยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังปฏิเสธการควบคุมของเฉินซี และเมื่อใดก็ตามที่พวกมันมีโอกาส ดูเหมือนว่าพวกมันต้องการที่จะหลบหนี ซึ่งทำให้เฉินซีเดือดดาลเป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม อัญมณีเพลิงนิรนาม มุกวารีนิรนาม และแร่โลหะนิรนามเหล่านั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะเฉินซียังคงไม่เข้าใจวิธีการใช้งานและต้นกำเนิดที่แท้จริงจนกระทั่งวันนี้

ด้วยเหตุนี้เองที่เฉินซีได้เรียกให้จี้อวี๋รั้งอยู่ โดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสมบัติเหล่านี้จากจิตวิญญาณของเคหาบ่มเพาะที่มีอายุนับล้านปี

“สิ่งเหล่านี้มัน…” เมื่อจี้อวี๋เห็นสมบัติเหล่านี้ ด้วยนิสัยใจคอและประสบการณ์อันนับไม่ถ้วน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง และรู้สึกสับสนกับสมบัติที่อยู่ตรงหน้า

“ ระเบียนแดนมรณะของจักรพรรดิแดนมรณะและพู่กันพิพากษามาร! โบราณวัตถุของศาสนาพุทธ เจดีย์บำเพ็ญทุกข์! ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม! เหล็กพลังสุริยัน! ผลึกเพลิงเทวะ และวารีทมิฬเอกะ!” จี้อวี๋กล่าวชื่อของพวกมันทีละคำ และความประหลาดใจบนใบหน้าของเขาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ในท้ายที่สุด เขามองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่แปลกประหลาดในทันที

เฉินซีรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกมองอยู่เช่นนี้ และกล่าวหลังจากไอแห้ง ๆ ว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าได้สมบัติเหล่านี้มาโดยบังเอิญ แต่ข้าไม่รู้ถึงภูมิหลังและการใช้งานของพวกมัน ดังนั้นข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถแนะนำข้าได้”

จี้อวี๋สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และทำให้สภาพจิตใจของเขามั่นคง ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อหยิบระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามาร ในขณะที่เขาตรวจสอบมันอยู่สักพัก ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยประกายของความทรงจำ จากนั้นจึงทอดถอนหายใจและกล่าวออกไปว่า “สมบัติทั้งสองชิ้นนี้ ในยุคบรรพกาลได้ถูกครอบครองโดยจักรพรรดิแดนมรณะองค์ที่สามในสังสารวัฏหกวิถี คนผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา และนามของเขาเลื่องลือไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งเขาเคยสนทนาเรื่องเต๋ากับนายท่านของข้าเป็นเวลานับสิบปีโดยไม่เคยพ่ายแพ้ แต่น่าเสียดาย ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาได้ล่วงเกินบรรดาผู้ยิ่งใหญ่จากสวรรค์และโลก ทำให้เขาถูกสังหารและตายไปกับความเกลียดชังที่อยู่ในใจของเขา”

‘จักรพรรดิแดนมรณะ ผู้ควบคุมสังสารวัฏหกวิถี!’

‘ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเขย่าปฐพีหรือทลายสวรรค์เช่นนี้ กลับเคยสนทนาเรื่องเต๋ากับปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะของผู้อาวุโสฝูซีเป็นเวลานับสิบปี ไม่แปลกใจเลย ที่เขาจะเรียกข้าว่าเป็นศิษย์ของสหายเก่า เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสฝูซีนี่เอง’

หัวใจของเฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหว เนื่องจาก ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าใครคือชายชราที่ช่วยชีวิตเขาไว้ อีกทั้งยังถ่ายทอดมหาเต๋าแห่งปารมิตาและมหาเต๋าแห่งการลืมเลือนที่ลึกล้ำให้แก่เขา

“จักรพรรดิแดนมรณะถูกสังหารเพราะเต๋ารู้แจ้งจุดจบใช่หรือไม่?” เฉินซีถามทันที

จี้อวี๋ตกตะลึงและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ถึงเรื่องนี้เช่นกันหรือ? ใช่แล้ว มันเป็นเพราะเต๋ารู้แจ้งจุดจบ เต๋ารู้แจ้งนี้มีพลังมหาศาลและเหนือล้ำยิ่งกว่าเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมหาเต๋าสูงสุดที่แท้จริง ตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้นมา แทบไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งรู้มันได้ แต่ความสามารถในการเข้าใจอันน่าตกตะลึงของจักรพรรดิแดนมรณะนั้น ทำให้เขาสามารถหยั่งรู้และควบคุมเต๋ารู้แจ้งจุดจบได้”

เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้ จี้อวี๋ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “แต่ก็เพราะเต๋ารู้แจ้งจุดจบนี้เอง มันจึงได้กลายเป็นชนวนหายนะที่ทำให้จักรพรรดิแดนมรณะต้องพินาศ เนื่องจากคนผู้นี้มีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่ต้องการฝังเทพเจ้า ทำลายล้างปีศาจทั้งหมด จากนั้นจึงสร้างกฎระเบียบขึ้นมาใหม่ในสามภพ เพื่อคืนความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลกมากมาย ดังนั้นเจ้าคิดว่าจะมีเทพและปีศาจตนใดในโลกที่มีจำนวนมากมายเหล่านั้น จะสามารถอดกลั้นต่อการดำรงอยู่เช่นเขาได้”

“เขากำลังท้าทายกฎของทั้งสามภพด้วยความแข็งแกร่งของเขาหรือ!” เฉินซีทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ และชื่นชมจักรพรรดิแดนมรณะนี้อย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อเขานึกถึงการที่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถดูแคลนทุกสรรพสิ่ง กลับต้องมาตายไปพร้อมกับความข้องใจในท้ายที่สุด อีกทั้งยังทำให้อุดมคติและแรงบันดาลใจของเขาต้องจบลงด้วยความล้มเหลว ความรู้สึกอันยากที่จะอธิบายก็ได้ถาโถมออกมาจากใจของเฉินซี

“ระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามาร เป็นสมบัติที่จักรพรรดิแดนมรณะใช้เมื่อครั้งที่เขาท่องไปในโลก มันมีพลังที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ในขณะที่สังหารความชั่วร้าย นอกจากนี้ ระเบียนแดนมรณะก็มีโลกเป็นของตัวเอง มันใช้ดอกปารมิตาเพื่อสร้างเส้นทางที่ส่องสว่างไปด้วยเปลวไฟ และทอดผ่านทะเลโคลนแห่งความขมขื่นเพื่อเชื่อมต่อกับแดนปารมิตา และแดนปารมิตาก็คือภพทั้งหกของการกลับชาติมาเกิดใหม่ในยมโลก”

จี้อวี๋รีบระงับความรู้สึกของเขาพร้อมกับกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารยังส่งเสริมซึ่งกันและกัน พู่กันพิพากษามารมีหน้าที่รับผิดชอบความเป็นและความตาย ในขณะที่ระเบียนแดนมรณะนำทางวิญญาณไปสู่แดนปารมิตา วิญญาณของคนตายใด ๆ ที่ถูกฆ่าโดยพู่กันพิพากษามารจะได้รับการชำระบาป ก่อนที่จะถูกตัดสินจากระเบียนแดนมรณะ ต่อจากนั้นวิญญาณจะถูกนำทางไปสู่ภพทั้งหกของการกลับชาติมาเกิดใหม่ในภายหลัง”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักได้ในทันที พู่กันพิพากษามารรับผิดชอบการสังหาร ในขณะที่ระเบียนแดนมรณะนำทางวิญญาณไปสู่แดนปารมิตา หากกล่าวอย่างหยาบ ๆ การผสมผสานของสมบัติทั้งสองชิ้นนี้แฝงไปด้วยพลังแห่งการฆ่าและการปลดปล่อย

“เจ้าไม่มีประโยชน์กับสมบัติทั้งสองนี้ และอย่าได้แสดงมันให้คนภายนอกเห็นเป็นอันขาด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งตกทอดของจักรพรรดิแห่งแดนมรณะ หากตัวตนที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจสังเกตเห็นถึงสิ่งนี้ ชีวิตของเจ้าก็อาจจะต้องถึงวาระสุดท้าย” จี้อวี๋กล่าวตักเตือนด้วยสีหน้าที่จริงจัง

เฉินซีพยักหน้าและคิดในใจว่า ‘ในสายตาของทวยเทพและมวลปีศาจ สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแดนมรณะเพียงเล็กน้อยอาจจะถูกพวกมันกำจัดหรือ?’

แต่เมื่อเขานึกถึงการที่ไม่สามารถใช้สมบัติที่ทรงพลังทั้งสองนี้ในอนาคต เฉินซีก็รู้สึกเสียดายในใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเมื่อเทียบกับชีวิตของเขาแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่สำคัญ

“แน่นอนว่าถ้าวันหนึ่งการบ่มเพาะของเจ้าจะสามารถบรรลุระดับที่เหนือกว่าทวยเทพและมวลปีศาจ เจ้าย่อมสามารถใช้สมบัติทั้งสองนี้ได้ตลอดเวลา” จี้อวี๋ยิ้ม

“ข้าจะทำให้ได้” เฉินซียิ้มเช่นกัน แม้เสียงของเขาจะสงบนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยว เส้นทางสู่มหาเต๋านั้นยาวไกล เหล่าเทพและปีศาจเองก็อาจไปไม่ถึงจุดจบของมหาเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของเขาคือจุดจบของมหาเต๋า ดังนั้นหากเขาปราศจากความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ที่จะเหนือกว่าเทพและปีศาจในโลกที่อยู่มากมายมหาศาล เขาจะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางสู่มหาเต๋าได้อย่างไร?

จี้อวี๋ตกตะลึงทันที เดิมทีเขาตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เพื่อดับความปรารถนาที่จะใช้ระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามารของเฉินซี แต่เขากลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความทะเยอทะยานของเด็กคนนี้จะยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเขาจึงทอดถอนหายใจอยู่ภายในใจทันที เด็กคนนี้โตแล้วจริง ๆ!

ต่อจากนั้น จี้อวี๋ได้อธิบายถึงที่มาของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ สมบัติชิ้นนี้เป็นศัตราอมตะอย่างแท้จริง และเป็นศัตราอมตะที่น่าเกรงขามของพุทธศาสนา แต่ถ้าเขาต้องการซ่อมแซมมัน เขาต้องเข้าไปในอาณาจักรพุทธศาสนาและใช้เคล็ดวิชาวิถีพุทธเพื่อหล่อเลี้ยง ก่อนที่มันจะสามารถพัฒนาดวงจิตของวัตถุโบราณอีกครั้งและฟื้นฟูพลังของมันได้

เฉินซีไม่รู้เลยด้วยซ้ำเลยว่าอาณาจักรพุทธศาสนานั้นอยู่แห่งหนใด เมื่อเขาไม่สามารถทำสิ่งใดกับมันได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการใช้เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นคลังเก็บสมบัติ เนื่องจากมันมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่จนน่าตกตะลึง

อย่างไรก็ตามเขายังมีข้อสงสัยอยู่ในใจ ฟ่านอวิ๋นหลานจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเคยอ้างว่านางสามารถฟื้นฟูเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอจะมีเคล็ดวิชาลับบางอย่าง?

“ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ และวารีทมิฬเอกะ สิ่งเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็นสมบัติที่น่าอัศจรรย์ของโลกแห่งพุทธศาสนา และนั่นหมายความว่าเป็นสมบัติที่มหัศจรรย์อย่างล้นพ้น พวกมันมีพลังอิทธิ์ฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดาเมื่อใช้ในการขัดเกลาสมบัติวิถีพุทธ แต่ในสายตาของพวกเราผู้บ่มเพาะ สมบัติทั้งสี่ชิ้นนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่กำเนิดจากแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าในธรรมชาติ และพวกมันสามารถสะสมแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้มากมายเหนือคณานับ”

เมื่อจี้อวี๋กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้นทันที “ยอดเยี่ยม! ถ้าสมบัติทั้งสี่ชิ้นนี้ถูกหลอมรวมเข้ากับยันต์ศัสตราแล้ว เหตุใดเราต้องกังวล ว่ามันจะไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นศัตราอมตะได้ในอนาคต? ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ยันต์ศัสตราได้รับการขัดเกลาสำเร็จ คุณภาพของมันจะต้องอยู่ในระดับที่ล้ำเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย!”