ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 352 เดินทางกลับ

จอมศาสตราพลิกดารา

วานรขนทองที่อยู่ด้านนอกกระโดดโลดเต้น ทำหน้าประจบประแจง ท่าทางราวกับเห็นบิดา แทบจะคุกเข่าโขกศีรษะคำนับอยู่แล้ว

เห็นสีหน้าของหลี่มู่ดูสงสัย เจ้านี่จึงรีบร้อนยกท้อเซียน สมบัติแห่งขุนเขา ยาวิเศษ แร่โลหะ อีกทั้งสิ่งของหลากหลายที่ไม่รู้ชื่อและที่มาอีกมากมายจากด้านข้างมาวางไว้ตรงหน้าประตูห้องหิน จากนั้นประสานมือโค้งตัว หน้าตาดั่งชายชั่วช้า…อ้อ ไม่ใช่ เป็นลิงชั่วช้า พยายามประจบสอพลอเท่าที่จะทำได้ต่างหาก

เจ้าดาราเจ้าบทบาทนี่กำลังขอโทษรึ?

หลี่มู่เข้าใจแล้ว

แต่คิดถึงว่าตัวเองเป็นคนฉลาดขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังถูกมันหลอกจนเกือบถูกพันธนาการสายฟ้าฟาดผ่าจนกลายเป็นฝุ่นธุลีเอา หลี่มู่ก็รู้สึกว่าจะประมาทศัตรูไม่ได้

ทว่า ตอนนี้พลังฝึกของตัวเองเพิ่มทบเท่าทวีแล้วนี่

ฮ่าๆ แล้วจะกลัวทำซากอะไร

หลี่มู่โคจรปราณแท้จักรพรรดิเพลิงแห่งแดนใต้ ไฟแท้แห่งเต๋าหุ้มล้อมทั่วร่าง จากนั้นก้าวยาวเดินออกไปข้างนอกห้องหิน

กลางโถงทางเดินหน้าประตูห้องหิน พันธนาการสายฟ้าทำงานขึ้นอีกดังคาด สายฟ้าแลบปลาบฟาดเปรี้ยง แต่หลี่มู่ที่มีไฟแท้แห่งเต๋าคุ้มกายไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย สายฟ้าถี่ยิบยากจะทะลุผ่านเกราะคุ้มกันไฟแท้แห่งเต๋าได้ หลี่มู่จึงเดินออกมาได้สบายๆ

“ฮี่ๆ…” หลี่มู่หัวเราะพลางบีบนวดข้อมือ เดินอาดๆ ไปหาวานรภูเขาขนทอง

ถึงเวลาล้างแค้นแล้ว

วานรภูเขาขนทองเห็นท่าทางไม่ดี คิดไม่ถึงว่ามนุษย์ผู้นี้จะเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้ ของล้ำค่ามากมายที่ตัวเองใช้เวลากว่าครึ่งปีสะสมมาอย่างลำบากลำบนก็ยังไม่อาจเจรจาสันติได้ มันร้องเจี๊ยกทันที ก่อนจะหมุนตัวหนีไป

แต่มันหนีได้เสียที่ไหน

หลี่มู่ลากมันกลับมา จับกดไว้ที่พื้นก่อนจะกระหน่ำซัดให้น่วม

“หลอกข้าอย่างนั้นเรอะ” หลี่มู่อัดมันพลางเอ่ยอย่างโมโห

หากไม่ใช่ว่าวานรภูเขาขนทองมีรูปร่างอย่างมนุษย์ เกรงว่าหลี่มู่คงจับมันแขวนแล้วใช้ไฟแท้แห่งเต๋าย่างมันกินไปแล้ว

หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป

วานรภูเขาขนทองหน้าฟกช้ำตาปูดบวมอีกรอบ

แต่ว่า เจ้านี่แค่มองก็รู้แล้วว่าหลี่มู่ไม่ได้คิดจะเอามันให้ตาย ความคิดความอ่านทำงานว่องไวขึ้นมา

ในหัวมันนึกถึงพฤติกรรมและคำพูดบางอย่างของมนุษย์ที่เคยได้เห็นได้ฟัง สุดท้ายมันก็คุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองเกาะขาของหลี่มู่ ทำท่าทางเลียนแบบ พูดฟังไม่ชัดถ้อยชัดคำว่า “ป้อ…”

“แม่เจ้า”

หลี่มู่ตะลึงไปในทันที

ไสหัวไปเลยนะเว้ย

เจ้าไม่อายแต่ข้าอายนะ

ข้าไม่มีลูกชายขนปุกปุยเหมือนอย่างเจ้า

ทว่า วานรภูเขาขนทองหน้าหนาหน้าทน พยายามไม่ลดละ เกาะขาข้างใหญ่นี้เอาไว้อย่างไร้ยางอาย

สุดท้ายหลี่มู่ก็ค่อนข้างจนปัญญา

มาเจอกับเจ้าตัวหน้าด้านนี่ จะทำอย่างไรดี?

แต่เขาก็คิดไปอีกแง่หนึ่ง พลันรู้สึกว่ารับน้องชายแบบนี้สักคนเอาไว้ในฟ้านิจนิรันดร์ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็เป็นคนในพื้นที่ บางทีพามันไปด้วยอาจจะได้เจอโอกาสอื่นเพิ่มมากขึ้น อย่างไรเสียต่อให้เก่งแค่ไหนก็แพ้เจ้าถิ่นอยู่ดี

“เรียกพี่ใหญ่” หลี่มู่พูด “ห้ามเรียกพ่อ”

“พี่ใหญ่” วานรขนทองนั้นเบิกปัญญาแล้ว ดังนั้นการเลียนแบบเสียงมนุษย์ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“พวกนี้มันคืออะไร” หลี่มู่ชี้ไปยังของมั่วซั่วที่กองอยู่บนพื้น

มันโบกไม้โบกมือ ทำท่าเหมือนมอบสมบัติ

หลี่มู่พอจะเข้าใจแล้ว ของพวกนี้ล้วนเป็น ‘ของล้ำค่า’ ในเขตเทือกเขาระยะหลายร้อยลี้ที่เจ้านี่ไปหามา พลังฟ้าดินในฟ้านิจนิรันดร์สมบูรณ์เต็มเปี่ยม กฎแห่งเต๋าชัดเจน ทั้งยังไม่มีร่องรอยการทำลายจากมนุษย์ สมุนไพรหรือผลไม้ป่าในมิติแห่งนี้ล้วนเป็นของล้ำค่าหายากของโลกภายนอก ทั้งยังมีพวกแร่โลหะ หินศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ส่วนมากเป็นของดีที่วานรภูเขาขนทองค้นพบในพื้นที่แห่งนี้ บางทีตัวมันเองอาจไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ก็มีสรรพคุณประหลาดต่างๆ นานา

อย่างไรเสียก็เป็นของดี

หลี่มู่คิดดูแล้วก็ใช้งานกำไลเก็บของที่ว่างอยู่ เก็บของพวกนี้ลงไป จากนั้นก็โยนกำไลไปให้วานรภูเขา “เอ้า เจ้าเก็บไว้ให้ข้าด้วย”

วานรขนทองสวมกำไลเอาไว้ที่ข้อมืออย่างดีอกดีใจ ทั้งยังเขย่าข้อมือ หน้าบานเป็นกระด้ง

สนุกดี

“ต้องตั้งชื่อให้เจ้านี่ด้วย…ชื่ออะไรดีล่ะ?”

หลี่มู่ลูบคางพลางขบคิด

ล่านไจ่? (ไม่ได้เรื่อง)

คิงคอง?

ชื่อคิงคองนี้ไม่เลว วันหลังเอามันกลับไปยังโลก ค่อยให้มันปีนขึ้นไปบนยอดตึกสูงแล้วคว้าเครื่องบินเล่นดู?

หลี่มู่หัวเราะอย่างนึกพิเรนทร์ “จำไว้ ต่อไปนี้ชื่อของเจ้าคือหยวนโห่ว ชื่อรองไซ่เหลย ฉายาคิงคองแล้วกัน” ชื่อสุดแสนจะฝรั่งเลย มีชื่อ นามสกุล ชื่อรอง และก็ฉายา หยวนโห่ว โหวไซ่เหลย คิงคอง…ฮ่าๆๆ สมบูรณ์แบบสุดๆ

“อูๆๆ หยวนโห่ว หยวนโห่ว…” วานรภูเขาขนทองร้องยินดีขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ

มันก็รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่เลวเลย

มีแค่ชื่อรองเท่านั้น ทำไมต้องชื่อไซ่เหลย? เป็นคำนามของมนุษย์รึ? ประหลาดๆ ฟังไม่รู้เรื่อง…แต่พี่ใหญ่ว่าอย่างไรก็อย่างนั้นนั่นแหละ

หลายวันต่อมา หลี่มู่ไปจากลานแสดงธรรมร้างแห่งนี้

เขาเก็บซ่อนอำพรางรูปสลักที่เหมือนจะเป็นพระอาจารย์โพธิในห้องหินเอาไว้อย่างดี

จากนั้นพี่ใหญ่มือใหม่ที่พึ่งไม่ได้อย่างหลี่มู่ ก็เริ่มพาน้องเล็กขี้ประจบไร้ศีลธรรมหยวนโห่วเตร็ดเตร่ไปในฟ้านิจนิรันดร์

หลี่มู่ท่องไปในฟ้านิจนิรันดร์พลางจัดระเบียบแนวทางการฝึกฝนของตัวเอง

‘วิชาก่อนกำเนิด’ เป็นวิชาเทพฝึกบำรุงลมหายใจ สามารถยกระดับพลังของปราณแท้ได้ ส่วน ‘ส่วนคัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เป็นวิชาเต๋าฝึกฝนอวัยวะภายใน สองวิชานี้ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ วิชาไหนเยี่ยมยอดยิ่งกว่าหรือจะมีผลในการช่วยเสริมซึ่งกันและกันหรือไม่ หลี่มู่ยังไม่รู้ แต่จากการพูดคุยกับหยวนโห่ว เขาก็รู้ว่าที่แท้มันโชคดีได้เสี้ยววิชาปาจิ่วเสวียนมาหน้าหนึ่งจากลานแสดงธรรมนั้น ดังนั้นจึงฝึกฝนกายเนื้อได้แข็งแกร่ง รวดเร็วราวสายฟ้า และมีวิชาลวงตาใช้ขนแปลงเป็นฝูงลูกหลานลิง

ฟังแล้วก็คล้ายๆ กับคำบรรยายของวิชาปาจิ่วเสวียนในเรื่องห้องสิน

หลี่มู่คิดดูแล้ว ก็ให้หยวนโห่วใช้พลังเต๋าสาบานว่าจะไม่ทำเรื่องเหลวไหลรหรือเที่ยวเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด ก่อนจะมอบวิชา ‘ปาจิ่วเสวียน’ ให้มัน

วานรภูเขาขนทองอึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็น้ำตาไหลพรากด้วยความตื่นเต้นดีใจ

มันอยู่ในสำนักเต๋าแห่งนั้นถึงหนึ่งร้อยปีเต็มก็เพื่อ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’

ในเศษเสี้ยวที่ได้มาตอนนั้นมีบันทึกไว้ว่า ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ ฉบับสมบูรณ์อยู่ในห้องหินแห่งนั้น

มันอาศัยบทที่ไม่สมบูรณ์นั้นฝึกฝนจนสำเร็จ จนกลายเป็นเจ้าผู้ปกครองแนวเทือกเขาแห่งนี้ และยังเบิกปัญญาอีกด้วย แต่เศษเสี้ยววิชาก็คือเศษเสี้ยววิชา มันฝึกฝนมาร้อยกว่าปีก็ถึงแค่ระดับอย่างทุกวันนี้เท่านั้น หากอยากจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งจำต้องได้ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ ฉบับสมบูรณ์มา ทว่า มันไม่อาจต่อกรกับพันธนาการสายฟ้าในห้องหินได้ ลองไปไม่รู้ต่อกี่ครั้งก็ล้วนถูกจับโยนออกมา

ใจที่ปรารถนาซึ่ง ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ ของหยวนโห่ว พูดได้ว่ามากมายจนเกินพรรณนา

ก่อนหน้านี้ที่มันประจบหลี่มู่ก็เพราะหลี่มู่เข้าไปในห้องหิน และน่าจะได้ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ มา

ไม่นึกว่าเรื่องจะง่ายดายกว่าที่มันคิดเอาไว้เสียอีก

หลี่มู่ไม่ได้ให้มันลงนามสัญญาทาส ไม่ได้ให้มันยอมรับเป็นนายอะไรพวกนี้ แล้วก็ยิ่งไม่ได้บีบบังคับให้มันรับปากทำเงื่อนไขที่เกินสมควรอะไรทั้งสิ้น กระทั่งว่ามันไม่ได้เอ่ยปากขอด้วยซ้ำก็ให้วิชามันมาแล้ว เงื่อนไขก็แค่ไม่ให้มันเที่ยวเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์…อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่ลิงชั่วช้า ไม่ได้ชมชอบการสังหาร มากที่สุดก็แกล้งสัตว์ตัวอื่นเล่น ด้วยเหตุนี้หยวนโห่วจึงยิ่งสนิทกับหลี่มู่กว่าเดิม

หากบอกว่าก่อนหน้านี้มันยอมประจบประแจงปล่อยให้จูงจมูกเพียงเพื่อให้ได้ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ มาแล้วละก็ เช่นนั้นจากหลายวันที่ใกล้ชิดกันนี้ หยวนโห่วรู้สึกว่าติดตามพี่ชายแบบนี้ที่จริงก็ไม่เลวเหมือนกัน

มันเริ่มฝึกฝนด้วยความซาบซึ้งใจ

ส่วนหลี่มู่หลังจากศึกษา ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ ก็รู้สึกว่าถึงแม้วิชานี้จะอัศจรรย์เกินบรรยาย แต่ก็ไม่ใช่วิชาที่ตนต้องการด่วนในตอนนี้ เพราะมีวิชา ‘หมัดยุทธ์แท้’ สำหรับฝึกกายอยู่ ร่างกายแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดอยู่แล้ว ดังนั้นวิชาที่เขาสนใจมากกว่ากลับเป็น ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’

ตีลังกาเหินฟ้าทีหนึ่งก็หนึ่งแสนแปดพันลี้

นี่เป็นความใฝ่ฝันในใจของวัยรุ่นที่เลือดร้อนและสงสัยใคร่รู้หลังจากอ่านไซอิ๋วเมื่อก่อนเชียวนะ

แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวิชาแบบนี้เป็นวิชารักษาชีวิตอันดับหนึ่ง

ดังนั้น สอง ‘พี่น้อง’ คนหนึ่งจึงฝึก ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ คนหนึ่งฝึก ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ และเริ่มสำรวจอย่างไม่รีบไม่ร้อนไปทั่วทุกที่

ทุกที่ที่ผ่าน ภูตผีวิญญาณกรีดร้องโหยหวน

ขอแค่ได้เจอของวิเศษอะไรก็แล้วแต่ล้วนขุดเอาไปจนสิ้น

หลี่มู่ใช้ไฟแท้แห่งเต๋าสร้างเครื่องหยกเก็บของพื้นที่ใหญ่อีกหลายอันโดยเฉพาะ ไปที่ไหนก็ขุดที่นั่น เละเทะวุ่นวายไปหมด

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้น หลี่มู่กับหยวนโห่วกำลังขุดโสมราชามังกรหยกม่วงหมื่นปีในไร่สมุนไพรแห่งหนึ่ง จู่ๆ ฟ้าดินก็พลันเกิดคลื่นพลังงานแปลกประหลาด หลี่มู่รู้สึกถึงพลังงานที่แปลกมากกลุ่มหนึ่งเบียดมาจากทั่วทุกทิศ จากนั้นร่างกายก็ลอยขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนคนที่ตกน้ำแล้วถูกพลังคลื่นบีบออกมา…

หลังจากอึ้งไปนิด หลี่มู่ก็ตระหนักได้ว่า ในที่สุดเวลาปิดตัวของฟ้านิจนิรันดร์ก็มาถึงแล้ว

ตัวเองจะถูกส่งออกไปแล้ว

หยวนโห่วร้องจ้าก “เกิดอะไรขึ้น? แค่ดึงหัวไชเท้าไม่กี่หัวก็จะถูกลงโทษอย่างนั้นหรือ?”

เจ้านี่เองก็ถูกแรงผลักยกขึ้นกลางอากาศเช่นกัน มันยังนึกว่าฟ้าดินลงโทษเพราะไปถอนโสมราชามังกรหยกม่วงเข้าเสียอีก

หลี่มู่มองอย่างประหลาดใจ

ไม่ถูกต้องสิ หยวนโห่วเป็นสิ่งมีชีวิตในฟ้านิจนิรันดร์ ตามหลักแล้วไม่ควรถูกส่งออกมานี่นา

เพียงชั่วพริบตา ภาพเบื้องหน้าก็เลือนราง พลังในกายไม่อาจโคจรได้เลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกไร้แรงโน้มถ่วงที่แปลกพิลึกแผ่มาหา หลี่มู่และหยวนโห่วถูกคลื่นวนมิติที่เกิดขึ้นกลางอากาศดูดเข้าไปข้างใน

……

ใต้วังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

เมื่อแสงริบหรี่ส่องกะพริบ เงาร่างของหลี่มู่กับหยวนโห่วก็ปรากฏขึ้น

“ออกมาแล้ว?” หลี่มู่กวาดตามองรอบๆ ในใจกระจ่างทันที

ถึงฟ้านิจนิรันดร์จะดี แต่โลกภายนอกก็ยังมีเรื่องต่างๆ และคนที่เขาเป็นห่วงพะวงหา ในที่สุดก็ออกมาได้เสียที

ใช่แล้ว พี่ใหญ่กัว พี่รองชิว แล้วก็มีพวกซ่างกวนอวี่ถิง น่าจะออกมาแล้วกระมัง?

หลี่มู่คิดๆ อยู่ ก็พลันได้ยินเสียงสุนัขเห่าที่ข้างหู

“โฮ่ง!”

เสียงนั้นสุดแสนจะคุ้นเคย

หลี่มู่อึ้งไป จากนั้นก็เห็นว่ากลางอากาศมีแสงจางส่องกะพริบ สุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ตัวใหญ่ขนาดลูกวัวกระโดดออกมาจากในนั้น ก่อนจะลงมาที่หน้าประตูวังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

เอ๋ สุนัขตัวนี้…ไหงถึงดูคุ้นตาขนาดนี้?

เจ้านายพล?

หลี่มู่ตาเกือบถลนออกจากเบ้า

เจ้านี่มาอยู่ดาวดวงนี้ได้อย่างไรกัน?