ตอนที่ 295 รอแสงแรกแห่งสุริยัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 295 รอแสงแรกแห่งสุริยัน

งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงจะมาถึงในอีกแปดวันข้างหน้า กฎของการแข่งขันจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่เริ่มแข่งกัน ด้วยเหตุนี้ฝานเทียนหนิงจึงถามท่าป๋ายวนด้วยความสงสัยใคร่รู้

ท่าป๋ายวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เยี่ยงไรเสียเจ้าฟู่เสี่ยวกวนมันก็มิมีทางคว้าชัยในการแข่งขันครานี้ไปได้” เขาพูดพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ทอดมองไปยังทะเลหมอกที่บัดนี้ยังคงมืดมิดไร้ซึ่งแสงสุริยัน “เดิมทีข้าก็อยากคว้าชัยเหนือการแข่งขันครานี้เพื่อจักได้ครอบครององค์หญิงอยู่หรอก แต่ทว่าเมื่อข้าได้ลองไตร่ตรองมากพอแล้ว เยี่ยงไรเสียองค์หญิงไท่ผิงก็จำต้องสมรสกับจัวตงหลาย เช่นนั้นแล้วผู้ที่จักถือครองชัยชนะในครานี้คงมีเพียงจัวตงหลายแต่เพียงผู้เดียว มิมีทางเป็นฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นอันขาด ”

ฟานเทียนหนิงรู้สึกสนใจหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมา เขานึกถึงคำพูดที่อู๋หลิงได้เอ่ยต่อฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคราที่อยู่เมืองฝานหนิงแล้วยิ้มออกมา “ท่านพี่ท่าป๋า กระหม่อมเกรงว่าคำพูดของท่านจะมิถูกต้องนัก หากองค์หญิงไท่ผิงทรงมีใจต่อจัวตงหลาย แล้วเหตุใดจึงประกาศให้มีการแข่งขันนี้ขึ้นมา เพียงแค่องค์จักรพรรดิเหวินตี้ทรงมีพระราชโองการออกมาก็เป็นอันจบสิ้น มิจำเป็นต้องคิดการใหญ่เช่นนี้ให้วุ่นวาย”

“เจ้าช่างมิรู้อะไรเอาเสียเลย จัวตงหลายเปรียบดั่งเทพบุตรผู้เก่งกาจรอบด้านมิอาจหาใครอื่นใดมาเทียบได้ หากจักรพรรดิเหวินตี้ทรงออกพระราชโองการเฉกเช่นที่เจ้าเอ่ย เช่นนั้นแล้วจัวตงหลายก็จักเป็นราชบุตรเขยที่ถูกแต่งตั้ง ซึ่งเขาย่อมมิยอมเป็นแน่ พระองค์ทรงคิดแผนการนี้ ขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้ผู้ชนะได้ครอบครององค์หญิงอย่างชอบธรรม อย่างที่เขากล่าวว่าปาหินครั้งเดียวได้นกสองตัว ตัวที่หนึ่งคือมีผลการแข่งขันครานี้เป็นประจักษ์ทำให้จัวตงหลายได้มีชื่อเสียงทั่วปฐพี ตัวที่สองหากยกองค์หญิงไท่ผิงให้จัวตงหลายภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ไร้ข้อกังขาแก่มวลมหาชน”

ฝานเทียนหน้าหุบลงทันใด เมื่อเขาได้ไตร่ตรองดูแล้ว ในเมื่ออู๋หลิงนั้นชอบพอฟู่เสี่ยวกวน หากมีเรื่องราวพลิกผันทำให้จัวตงหลายพ่ายแพ้แก่ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก เพราะนั่นหมายถึงเขาได้ทำให้ตระกูลจัวเกิดความอาฆาตพยาบาทแก่ตัวเขาขึ้นมาเสียแล้ว !

ตะกูลจัวนั้นมีอำนาจใหญ่หลวง ณ อาณาเขตแห่งราชวงศ์อู๋นี้ เขาย่อมไร้ซึ่งบารมีของฮ่องเต้หยูยิ่นและฮองเฮาซั่งคอยคุ้มกัน หากจัวอี้สิงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาใคร่สังหารฟู่เสี่ยวกวนเสียละก็ ราชวงศ์หยูย่อมไร้ซึ่งความสามารถที่จะแก้แค้นให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นแน่ คงทำได้ดีที่สุดแค่กล่าวโทษแค่สองสามคำก็เท่านั้น

ความตายครานี้คงน่าเวทนายิ่งนัก !

เรื่องนี้จำต้องเอ่ยกล่าวแก่ฟู่เสี่ยวกวน เพราะมิคุ้มค่าอย่างยิ่งที่ชีวาต้องมลายเนื่องจากฝีมือการประพันธ์ของตน !

ขณะนั้นเองขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงกวนหยุนถายพอดี

พวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าขบวนของฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ นั้นได้มาชมทะเลหมอกเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนคำนับต่อฝานเทียนหนิง ท่าป๋ายวน รวมไปถึงเหยียนหานยู้ทีละคนพร้อมทั้งเอ่ยทักทายกับทุกคนอย่างเริงร่า “อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน ! ”

ฝานเทียนหนิงรู้สึกปริ่มเปรมยิ่ง เขาคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสนใจ ทันใดนั้นราวกับว่าเขาได้ลืมความอาฆาตพยาบาทที่ท่าป๋ายวนและเหยียนหานยู้มีต่อชายหนุ่มผู้นี้ในบันดล

เหยียนหานยู่คือผู้ที่โดนขังในรถเชลยศึกจนมาถึงเมืองกวนหยุน หากมิใช่เพราะเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน เกรงว่าเมื่อมาถึงเมืองกวนหยุนเขาคงอาละวาดจนรถเชลยศึกพังพินาศเป็นแน่

ฝานเทียนหนิงรีบรุดเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนแล้วคำนับหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้ามิทราบว่าท่านพี่ฟู่จะมาเยือนที่แห่งนี้เช่นกัน เป็นข้าเองที่ปล่อยปละละเลย ควรเชื้อเชิญท่านพี่ร่วมเดินทางมาด้วยกันเสียจะดีกว่า องค์หญิงไท่ผิงทรงดูแลท่านมิขาดตกบกพร่องเสียจริง ๆ ”

เขาชำเลืองตามององค์หญิงไท่ผิง บัดนี้ในใจได้มั่นใจเกินร้อยแล้วว่าองค์หญิงผู้นี้ได้ตกหลุมรักฟู่เสี่ยวกวนเข้าแล้ว นางร่วมเดินทางกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ จัวตงหลายย่อมล่วงรู้ได้ เช่นนี้แล้วเกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะลาโลกไปอย่างสงบก่อนที่งานชุมนุมวรรณกรรมจะเริ่มเสียอีกน่ะสิ

ท่าป๋ายวนไม่ยอมที่จะโค้งคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงไปคำนับต่ออู๋หลิงแทน

ส่วนเหยียนหานยู่นั้นมิใยดีฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย และเขาก็ได้หันไปคำนับต่ออู๋หลิงเช่นกัน

อู๋หลิงมิได้คำนับตอบสองคนนั้น แต่นางได้หันไปพูดคุยกับชายหนุ่มที่มาด้วยกันแทน “อีกเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นท่านก็จะได้พบกับทะเลหมอกสุดตระการตา พวกเราไปทางโน้นกันเถิด”

ทางนั้นมีหน้าผาและตรงริมขอบนั้นมีหินปูนห้อมล้อมเอาไว้ บนหน้าผาได้มีต้นสนโบราณตั้งเด่นสูงตระหง่านประดับไว้อยู่

ใต้ต้นสนมีโต๊ะหินและม้านั่งสี่ตัววางตั้งไว้อยู่ บนโต๊ะนั้นมีรอยสลักตารางหมากรุก ลายตารางที่เริ่มจะลบเลือนนั่นบ่งบอกว่ามีผู้คนมาเล่นหมากรุกบนโต๊ะนี้เป็นประจำ

“ท่านเจียนเจิ้งซ่งผู้คุมสำนักศึกษาดาราศาสตร์ท่านีเหวินชางไห่บัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลินมักมาประชันฝีมือกันที่นี่บ่อยครั้ง เสด็จพ่อก็เสด็จมาฝึกซ้อมฝีมือบ้างเป็นครั้งคราเช่นกัน แน่นอนว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเยี่ยงหนานกงนั้นก็ย่อมแวะเวียนมาบ้างยามว่าง”

อู๋หลิงมิได้กล่าวถึงว่าที่แห่งนี้มิใช่ที่ใครอยากขึ้นมาก็สามารถย่ำกรายเข้ามาได้ ที่นี่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะชมทะเลหมอกแห่งกวนหยุนถาย

บ่าวรับใช้หญิงได้ถวายผลไม้แช่อิ่มและชุดชงชาให้แก่อู๋หลิง จากนั้นนางจึงเริ่มชงชาและเอ่ยต่อซูซู “แม่นางซูซู โปรดเล่นฉินสักเพลงเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศเสียหน่อยได้หรือไม่ ? ”

หากเป็นเวลาทั่วไปซูซูนั้นมิมีอารมณ์ที่จะดีดฉินเลยแม้นแต่น้อย นางเห็นพ้องกับฟู่เสี่ยวกวนที่ว่าฉินนั้นมีไว้เพื่อสังหารคนเพียงเท่านั้น !

ทว่าครานี้มิรู้ว่าเหตุใดดลใจ นางถึงได้เปิดกล่องฉินด้วยความรื่นรมย์

“ในเมื่อองค์หญิงทรงมีความประสงค์เช่นนั้นแล้วซูซูจะดีดฉินให้ฟังนะเพคะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจซูซูดี

นอกจากเรื่องกินแล้วก็มิได้สนอกสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ

ซูซูนอกจากจะมีฉินไว้สังหารคนแล้วนั้น ฟู่เสียวกวนเคยได้ยินคำเล่าขานจากศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋าว่า เมื่อซูซูดีดฉินยามใด หมู่วิหคนับร้อยจะแห่มาชื่นชม !

ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งนี้มิมีทางเป็นไปได้ เขาอยากเห็นฝีมือของซูซูกับตาสักครา แต่นางกลับบอกว่ามิมีอารมณ์ดีดฉินทุกหนไป

เขาคิดอยู่เสมอว่าเมื่อนางได้บรรลุตนเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋า นอกจากสังหารคนแล้วนางมิคิดจะกลับมาดีดฉินแห่งสรวงสวรรค์นี้อีกเลยหรือ ทว่าเขากลับคิดผิดถนัด เมื่ออู๋หลิงร้องขอให้นางบรรเลงเพลงให้ฟัง นางก็ยอมตกลงที่จะดีดบรรเลงตามที่นางขอ เด็กนี้ ! ช่างมิเคยเห็นหัวเขาเลยสักครา…

เมื่อแสงสุริยันเริ่มสาดส่องเข้ามาสู่พื้นพิภพอย่างเชื่องช้า กาน้ำชาบนโต๊ะหินได้เดือดจนมีควันพวยพุ่งออกมา กลิ่นหอมเจือจางของใบชาได้โชยไปตามสายลมที่พัดแผ่วเบา ลอยไปแตะตรงปลายปลายจมูกของฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ เขาได้หันไปมองคนกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อน จากนั้นเขาจึงเผลอยิ้มออกมา

ชายหนุ่มผู้นี้มิได้เกิดความริษยาต่อฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาได้เห็นความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนที่ตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองฝานหนิงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นเปรียบดั่งอัจฉริยะ สมควรแล้วที่จะได้รับการดูแลจากองค์ไท่ผิงเป็นกรณีพิเศษ

เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวเนื่องกับศักยภาพส่วนบุคคล มิว่าเป็นบุคคลใดหรือแคว้นใดบนผืนปฐพีแห่งนี้ย่อมถูกยอมรับด้วยศักยภาพของตน หากกล่าวในนามของแคว้นแล้ว แคว้นฝานนั้นมีอำนาจและศักยภาพเหนือกว่าแคว้นหยู ด้วยเหตุนี้สถานเอกอัครราชทูตของแคว้นจึงตั้งอยู่ในตัวเมืองซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง แต่หากจะกล่าวในนามบุคคลแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนผู้นามก้องพสุธาเช่นนี้ แม้ว่าองค์หญิงทรงปฏิบัติต่อเขาเช่นไร ตนก็มิควรรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

ทว่าเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวนนั้นกลับมิคิดเฉกเช่นเดียวกัน พวกเขาคิดว่าองค์หญิงทรงปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อมองนัยน์ตาของฟู่เสี่ยวกวนคราใด ในใจก็ยิ่งเกิดความพยาบาทมากขึ้นเท่านั้น

พระสงฆ์คูฉานยังคงแบกสิ่งที่ดูเหมือนไม้เท้ากายสิทธิ์ไว้ที่หลังเหมือนทุกครา เขาได้แอบหันไปมองคนกลุ่มนั้นเช่นกัน แต่หาได้มองฟู่เสี่ยวกวนไม่ คนที่เขามองคือซูซูศิษย์น้องแห่งสำนักเต๋า ได้ยินมาว่านางนั้นมีพรสวรรค์ยิ่งนัก ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยบอกตนว่าต้องบรรลุอรหันต์ให้สำเร็จก่อนเดือนเจ็ด มิเช่นนั้นซูซูผู้นี้จะเอาชีวิตเขาได้ !

ต่างคนต่างไร้ซึ่งเรื่องบาดหมางซึ่งกันและกัน เหตุใดนางถึงใคร่เอาชีวิตของเขาด้วย ?

คูฉานมิเข้าใจในเรื่องนี้นัก และท่านเจ้าอาวาสหนิวชาก็มิเคยอธิบายเหตุผลนี้ให้ตนรู้แจ้งเลยสักครา

บรรลุอรหันต์เพื่อจุดประสงค์ใดกัน ?

คูฉานอ่านคัมภีร์เป็นหมื่นเล่มก็ยังมิอาจเข้าใจอย่างถ่องแท้

ส่วนท่านผู้อาวุโสในชุดเขียวแกมน้ำเงินผู้ยืนอยู่ด้านหลังฝานเทียนหนิงนั้นกำลังชมทะเลหมอกอย่างตั้งใจ ระหว่างคิ้วของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าเขาผู้นั้นเคยบวชเป็นพระมาก่อน บัดนี้ได้ยืนอย่างสงบนิ่งมิปล่อยให้สิ่งภายนอกเข้ามารบกวนจิตใจ

……

ซูซูจัดเตรียมฉินเสร็จเรียบร้อยแล้ว

อู๋หลิงได้รินชาใส่ถ้วยเรียบร้อยแล้ว

ทว่าซูซูมิได้เริ่มบรรเลงฉินโดยทันใด

อู๋หลิงจึงเอ่ยถาม “แม่นางซูซูรอสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซูซูแสดงสีหน้าเรียบเฉย สายตาของนางได้ทอดมองยาวไกล ไกลแสนไกลไปยังที่ซึ่งดินฟ้าบรรจบกัน บัดนี้ยังคงมืดมิดเช่นเดิม

ดวงตากลมโตของนางได้หรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รอแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”