บทที่ 101 หมอกสลายเห็นแสงตะวัน

บุหลันเคียงรัก

จื่อซีประหลาดใจมาก “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ต้องมาเป็นวั่งซูแล้ว? นึกไม่ถึงว่าเหล่ามหาเทพของตำหนักอวี้หวากลับทำอะไรบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้!”

ตอนนี้วั่งซูถูกจัดเป็นหนึ่งในตำแหน่งนักรบแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเสวียนอี่จะเป็นนักรบอย่างไร มองแค่ชุดบนร่างนางก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่ผู้ที่จะเป็นได้ คนที่สู้เป็นที่ไหนเขาใส่รองเท้าไม้อย่างนี้บ้าง ซ้ำยังคล้องผ้าคลุมขนจิ้งจอกรุ่มร่ามอีก

“ดังนั้นถึงได้ต้องหานักรบที่ฝีมือยอดเยี่ยมมาสอนวิธีต่อสู้ให้ข้า” เสวียนอี่ดึงแขนเสื้อนางแล้วเขย่าไปมา “ไม่แน่ว่าอาจให้ศิษย์พี่หญิงมาสอนข้าก็ได้ ศิษย์พี่หญิง ถึงตอนนั้นท่านอย่าตั้งใจสอนข้าเชียว”

จื่อซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นานมาแล้วที่ตำหนักหมิงซิ่ง เด็กสาวคนนี้เองก็ยิ้มอย่างดงามและน่าหลงใหลอยู่ข้างกายนาง แต่ว่าภายหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้นนางกลับไม่ยอมมาเรียน แม้ว่าเหยียนสยาจะกลับมาและได้คุยยิ้มหัวเราะเหมือนกัน แต่ว่านางมักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป หากพูดถึงความน่ารักเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ เสวียนอี่ยังนับว่าเป็นที่หนึ่ง

“หลายปีมานี้ เจ้าไม่ลาออกแต่ก็ไม่ยอมไปฟังบรรยาย ไม่ไหวเลยจริงๆ ยังดีว่าวันนี้ไม่ได้เจอกับศิษย์น้องกู่ถิงเข้า ไม่อย่างนั้นหากเขาเห็นเจ้าเป็นได้บ่นเจ้าแน่”

จื่อซีจิ้มที่หน้าผากนาง

ไม่ได้ฟังศิษย์พี่หญิงคนนี้สั่งสอนนางมานานแล้ว เสวียนอี่ยิ้มตาหยีแล้วหันกลับไปจ้องนาง “ศิษย์พี่ทุกคนตอนนี้คงเป็นนักรบกันหมดแล้วสินะ”

จื่อซีกล่าวออกมาอย่างคุ้นเคย “ศิษย์พี่ไท่เหยาร่างกายอ่อนแอ เป็นนักรบไม่ได้ ตอนนี้เขารับหน้าที่อยู่ตำหนักเหวินหวา ศิษย์น้องกู่ถิงถูกจัดให้อยู่ในหน่วยปิ่งเฉินด้วยกันกับศิษย์น้องหญิงเหยียนสยา อีกไม่กี่วันนี้ก็ควรจะกลับมาแล้ว”

นางพลันชะงักไปแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องฝูชางถูกจัดให้อยู่หน่วยติงเหม่า มีรัชทายาทฉางฉินเป็นหัวหน้า ตอนนี้น่าจะกำลังสู้อยู่กับราชาฟู่เฉวี่ยนที่โลกเบื้องล่างอยู่”

จื่อซีพูดถึงตรงนี้ก็อดพิจารณาเสวียนอี่ไม่ได้ นางยังมีท่าทีสงบ มองไม่ออกว่าใจคิดอะไรอยู่ ชั่วขณะนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ปีนั้นที่ฝูชางลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างไม่ได้มีคนรู้มากนัก กระทั่งภายในตำหนักหมิงซิ่งเองก็ยังมีศิษย์น้อยมากที่รู้เรื่องนี้ องค์หญิงน้องผู้นี้กลับสามารถทำให้ฝูชางหลงจนแทบคลั่ง กู่ถิงยังโมโหเพราะเรื่องนี้อยู่นาน แต่ว่าไม่นานฝูชางก็ตัดสัมพันธ์กลับมา กลับมาแดนเทพก็ขอลาไปหลับใหลพันปี เขาหลับไปถึงสี่พันปี เรื่องนี้ยังทำให้หลายคนตกใจไปพักหนึ่ง กู่ถิงยังเขียนตั้งใจจดหมายไปที่เขาจงซาน คิดว่าน่าจะไปเรียกเสวียนอี่ให้กลับมาเรียนต่อที่ตำหนักหมิงซิ่ง แต่กลับไม่ได้รับจดหมายตอบกลับมา

ฝูชางตัดสัมพันธ์ได้เร็วอย่างนี้ เป็นเพราะองค์หญิงน้อยคนนี้ใช่หรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้ ฝูชางเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ขนาดกู่ถิงถามยังได้คำตอบเป็นความเงียบกลับมา

การตัดสัมพันธ์ที่ว่าหมายถึงการปล่อยวางเรื่องในอดีต เหยียนสยาเองก็เป็นเช่นนี้ จื่อซีเคยแอบไปลองหยั่งเชิงถามเหยียนสยา ตอนนั้นนางกล่าวว่า ‘เหมือนกับหมอกดำในใจสลายไป ทุกวันนี้เวลาพูดถึงเซ่าอี๋ ข้าก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรอีกแล้ว’

ฝูชางจะเหมือนกับเหยียนสยาที่รู้สึกเมฆสลายไปจนได้เห็นแสงตะวันหรือไม่ ก็ไม่มีผู้ใดรู้

ไม่นาน พวกเขาก็ไม่พูดถึงชื่อของเสวียนอี่ต่อหน้าเขาอีก ภายหลังไม่นานก็คือหายนะของทะเลหลีเฮิ่น โลกเบื้องบนและล่างวุ่นวายกันไปหมด พวกเขาต่างยุ่งอยู่กับการฝึกวิชาต่อสู้และวิชาเวทกันทั้งวัน จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท วันนี้หากไม่ใช่เพราะเจอกับเสวียนอี่เข้า เกรงว่านางเองคงจำเรื่องในอดีตเหล่านี้ไม่ได้

ถามดีหรือไม่หนอ นางไม่ได้มาตำหนักหมิงซิ่งนานขนาดนี้ หรือว่าเป็นเพราะศิษย์น้องฝูชางอยู่ที่นี่ ในเมื่อไร้ใจขนาดทำให้เขาต้องลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง แล้วไฉนถึงไม่มาเผชิญหน้ากับเขา

จื่อซีลังเล องค์หญิงน้องคนนี้พลันเขย่าแขนเสื้อนางแล้วถาม “ศิษย์พี่หญิง ท่านจะไปที่ไหน ข้าไปเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”

นางได้สติกลับมา “ข้าจะไปที่เรือนหลิงซี พวกเราไปด้วยกันเถอะ”

ไม่ถามจะดีกว่า จากนิสัยของเสวียนอี่ ถามไปเกรงว่านางก็คงบ่ายเบี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น หากว่านางเองก็มีใจให้ศิษย์น้องฝูชางอยู่บ้าง คำถามของตนคงทำให้นางเสียใจแน่ ตนไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์

นางเพียงแค่ยกเอาเรื่องน่าสนใจบางเรื่องขึ้นมาพูดเท่านั้น อย่างเช่นตอนไท่เหยาอายุสี่หมื่นปีเขาถูกจักรพรรดิสวรรค์จับคู่กับองค์หญิงใหญ่ของเทพมังกรทะเลบูรพา เพราะองค์หญิงใหญ่เคยมีความสัมพันธ์กับเซ่าอี๋มาก่อน ทำให้ไท่เหยาหน้าเขียวไปหลายปี เหยียนสยาเองก็ถูกจับคู่ตลอด คิดว่าจักรพรรดิแดงคงรู้สึกว่าบุตรสาวคนเล็กมีนิสัยอ่อนไหว กลัวว่านางจะไปยุ่งเกี่ยวกับเทพประเภทเดียวกับเซ่าอี๋อีก จึงพยายามจะรีบให้นางแต่งออกไป ช่วงนั้นเหยียนสยาแทบเป็นบ้า ยังดีที่ฮูหยินจักรพรรดิแดงหยุดการกระทำเหลวไหลนี้ไว้ ทำให้เหยียนสยากลับมามีชีวิตสงบดังเดิม

ไม่นานก็มาถึงเรือนหลิงซี จื่อซีเข้าไปทำธุระ เสวียนอี่เล่นแขนเสื้อตัวเองยืนรออยู่หน้าประตูอย่างเบื่อหน่าย พลันเหมือนได้ยินเสียงร้องดังขึ้น นางจึงรีบยืดหูยาวแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังได้ไม่ชัด ไม่นาน นางก็ได้ยินนักรบหลายคนวิ่งตึกตักมาที่เรือนหลิงซี วิ่งไปตะโกนไปว่า “องค์ราชาฟู่เฉวี่ยนถูกฆ่าแล้ว!”

ราชาเผ่าปีศาจที่ตกต่ำไปคนนี้ ก็คือเป้าหมายที่แดนเทพจับจ้องไว้ สองพันปีที่ผ่านมาส่งนักรบลงไปกวาดล้างที่โลกเบื้องล่างมากมาย แต่กลับไม่เคยสำเร็จสักครั้ง เทพเฟยเหลียนเองก็ดับสูญด้วยน้ำมือเขา ในที่สุดวันนี้เขาก็ถูกกำจัด เทพแต่ละคนต่างก็ทั้งดีใจทั้งเสียใจสลับกัน พวกเขาโห่ร้องยินดีพร้อมร้องเพลงกันมาตลอดทาง ยังไม่ลืมถามไถ่ถึงผู้บาดเจ็บล้มตาย เสียงดังอึกทึกไปหมด

เสวียนอี่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมองจื่อซีที่เดินออกมาจากเรือนหลิงซี ใบหน้านางมีทั้งความยินดีและเสียใจปะปนกัน หางตายังมีหยดน้ำตาอยู่ มือกำจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือแน่นจนยับย่น

“ศิษย์พี่หญิง” เสวียนอี่กล่าวเสียงเบา

จื่อซีรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วแต่อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “…พรุ่งนี้ข้าก็จะไปที่หน่วยอู้เฉินได้แล้ว!”

เสวียนอี่ยังไม่เข้าใจว่าไปที่หน่วยอู้เฉินมีเรื่องอะไรที่ต้องยินดี

จื่อซีเก็บหนังสือเข้าไปในอกอย่างระวัง ทนอยู่นานสุดท้ายก็ทนไม่ไหว นางคว้ามือเสวียนอี่ไว้แล้วกระโดดโลดเต้นไปมา นับตั้งแต่รู้จักนางมา เสวียนอี่ไม่เคยเห็นนางดีใจขนาดนี้มาก่อน จื่อซีมักมีท่าทีสงบนิ่งสุขุม น้อยครั้งนักที่จะแสดงท่าทางไร้เดียงสาออกมา

นางอดยิ้มไม่ได้แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ยินดีกับศิษย์พี่หญิงด้วยที่ได้ตามที่ปรารถนา”

หัวใจของจื่อซีบินลงไปโลกเบื้องล่างนานแล้ว นางทนอยู่ต่อไม่ไหว รีบร้อนวิ่งไปพลางหันกลับมากล่าวว่า “ข้ากลับแล้ว! พรุ่งนี้ยังต้องรีบลงไปโลกเบื้องล่าง เสวียนอี่ ตั้งใจฝึกให้ดี อย่าขี้เกียจล่ะ!”

เฮ้อ ไปอย่างนี้เลย…เสวียนอี่โบกมือพลางมองส่งนาง เดิมยังคิดอยากจะให้นางอยู่เป็นเพื่อนอีกสักคืน ตำหนักอวี้หวานี้เหล่าเทพเดินกันขวักไขว่ กลางคืนนางจะต้องนอนไม่หลับแน่

นางเดินนับต้นอู๋ถงตามรายทางไปทีละต้นๆ เลี้ยวโค้งไปหนึ่งโค้งก็มาถึงเรือนไป๋จย่าที่จัดให้นางอยู่

เสวียนอี่ผลักประตูเรือนไป๋จย่า ด้านหน้าเรือนคือสนามหญ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่และต้นกุ้ยฮวาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ต้นหนึ่ง นางไม่ได้อยู่ตำหนักที่เรียบง่ายธรรมดาอย่างนี้มานานแล้ว

ภายในตำหนักว่างเปล่า เหล่ามหาเทพและเทพีวั่งซูจากไปหมดแล้ว เสวียนอี่เดินอ้อมเข้าไปในห้องนอน แล้วนอนลงบนเตียง นางคลำไปบนหัวเตียงอยู่นาน นางเปิดกล่องหยกขาวที่ใส่บ๊วยเคลือบน้ำตาลเอาไว้ออก พร้อมหยิบบ๊วยขึ้นมาและใส่เข้าปากไปหนึ่งลูก

นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครจะมาสอนนางต่อสู้ นางก็จะมีเพียงประโยคเดียวให้ ‘นางทำไม่ได้’

คืนนั้น เสวียนอี่นอนไม่ได้จริงๆ นางเป็นคนติดเตียง ซ้ำยังไม่ได้ออกจากเขาจงซานมาตลอดสองหมื่นกว่าปี เพิ่งมาถึงที่ใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ รู้สึกว่าที่นี่สงบสู้วิมานม่วงไม่ได้ กระทั่งกลิ่นผ้าห่มยังไม่หอมเลย

นางใช้แขนเสื้อคลุมโปงศีรษะไว้ แล้วหดตัวอยู่ส่วนลึกสุดของเตียง กระทั่งฟ้าสางถึงได้ค่อยๆหลับไป

นอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ขนาดเสียงของเทพีสาวรับใช้ที่ถูกส่งมารับใช้นางโดยเฉพาะยังฟังไม่เสนาะหูเท่าที่บ้านนางเลย นางเรียกเสียงดัง “องค์หญิง! องค์หญิงควรตื่นได้แล้ว! ควรไปฝึกได้แล้ว!”

เสวียนอี่มุดศีรษะเข้าไปในผ้าห่มอย่างทรมานแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ข้าทำไม่ได้…”

“องค์หญิง! องค์หญิง?”

“ข้าทำไม่ได้…”

เหมือนมีใครกำลังกล่าวอะไรเสียงเบา ในที่สุดเสียงเรียกสะเทือนหูของเทพีสาวรับใช้นั่นก็หยุดลง สักครู่ ประตูห้องนอนก็ถูกเคาะเบาๆ เสวียนอี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผ่านไปครู่หนึ่ง เสาเตียงนางก็ถูกเคาะ เทพีสาวรับใช้ใจกล้ามาก กล้ามาทำไร้มารยาทถึงเพียงนี้

นางโบกมือไล่ “ออกไป!”

ไม่มีเสียงตอบรับ เสาเตียงถูกเขย่าอีกเล็กน้อย เสวียนอี่พลันพลิกตัว สิ่งที่เข้ามาในสายตาถือรองเท้าหุ้มข้อสูงปักลายเมฆคู่หนึ่ง ไล่สายตาขึ้นไปคือชายชุดคลุมยาวสีขาวปักลายเมฆ

นางไม่ได้มองไล่ขึ้นไปต่อ แล้วใช้ผ้าห่มคลุมใบหน้าเอาไว้ ให้ตายเถอะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงมีเสน่ห์ที่แสนคุ้นเคยและทุ้มต่ำนั่นก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ลุกขึ้น”