บทที่ 103 พิษสุราที่หอมหวน

บุหลันเคียงรัก

อย่าทำเช่นนี้เลย ไม่อย่างนั้นพิษสุราที่ร้ายกาจและหอมหวนแก้วนั้นต้องออกมาอีกแน่ มันเคยทำให้นางกระเพาะแทบขาด แต่ว่ามันเองก็เต็มไปด้วยความเย้ายวนใจอย่างมหาศาล

ไม่ว่าเขาจะตัดสัมพันธ์และปล่อยวางได้แล้วก็ดี หรือยังลืมไม่ได้ก็ดี ชายหนุ่มที่นางรักก็นอนอยู่ในสุสานท่ามกลางหิมะที่นั่นแล้ว ให้ทุกอย่างผ่านไปเงียบๆ เถอะ

อย่าให้ความเอาแต่ใจของนางโงหัวขึ้นมาได้อีก อย่าได้เข้ามาใกล้นางอีก ไม่ง่ายเลยกว่านางจะกลับมาคุ้นชินกับความเหงาได้อีกครั้ง

กระบี่ไม้ถูกโยนออกไปเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดครั้งนี้มันก็เฉียดผ่านต้นกุ้ยฮวาไปทำให้ใบไม้ร่วงลงมาหลายใบ เสวียนอี่ร้อง “ไอหยา” แล้วปรบมือพร้อมกับหัวเราะ “ในที่สุดก็โดนต้นไม้แล้ว สำเร็จแล้ว”

พูดแล้วนางก็เตรียมจะกลับไปในตำหนัก กระบี่ไม้ที่เพิ่งจะลอยออกไปกลับมาขวางด้านหน้านางเอาไว้ เสียงของฝูชางดังมาจากด้านหลัง “ยังฝึกไม่เสร็จ”

เสวียนอี่มองไปที่เขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “แต่ว่าข้าเจ็บเท้า”

ฝูชางมองไปยังรองเท้าไม้ประณีตหรูหราที่เท้านาง “ที่เท้าเจ็บก็เพราะใส่รองเท้าไม่ถูก ถอดออกก็ได้แล้ว”

ถอดรองเท้า นางยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ก็รู้สึกว่าถูกเขากดบ่าจนต้องนั่งลงไปบนเก้าอีกตัวหนึ่งที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาถอดรองเท้านางออกโดยไม่ให้นางได้พูดอะไร เขาถือรองเท้าไว้ในมือจากนั้นจึงดึงนางขึ้นมา เก้าอี้เกิดเสียงดัง” ปุ” แล้วหายไปทันที กลายเป็นกระบี่ไม้กลับมาในมือของนาง

เสวียนอี่ถูกการกระทำทั้งหมดนี้ของเขาทำเอานิ่งอึ้งไป ฝูชางถือรองเท้าทั้งสองข้างของนางไว้แล้วก้มหน้าลงมอง เขาเงยหน้าขึ้นมองนางอีกครั้งพลางกล่าวอย่างเข้มงวดว่า “ยังเจ็บหรือ หากไม่เจ็บก็ฝึกต่อ”

นางรู้สึกว่ามือของนางกำลังยื่นลงไปในแก้วสุราพิษนั่นอีกครั้ง ปลายนิ้วกำลังจะแตะถูกก็รีบหดกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน

เสวียนอี่กัดฟันแล้วนิ่งเงียบต่อไป นางเหยียบไปบนสนามหญ้าด้วยเท้าเปลือยเปล่า เผยให้เห็นท่าทีการออกกระบวนท่าที่งดงามตรงตามมาตรฐานที่สุด นางโยนกระบี่ออกไป กระบี่ปะทะกับเสื้อคลุมเข้าพอดีจนทำให้มันสั่นไหวแต่กลับยังไม่ตกลงมา

ปรกติแล้วนางเองก็ดูแลผ้าคลุมผืนนี้ดีนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้หาเรื่องกับนางอย่างนี้

“ฝึกต่อ” ฝูชางยังคงตามติดไม่ยอมปล่อย

ฝึกต่อ นางฝึกต่อ และฝึกต่อ กัดฟันอย่างอดทน และฝึกต่อไปเงียบๆ

แก้วสุราพิษที่หอมหวนนั้นวางอยู่ข้างมือ นางอยากหยิบมันขึ้นมามาก เขาจงใจใช่หรือไม่ ให้นางอยู่เงียบๆ สงบๆ ไม่ดีหรือ

ในที่สุดก็สามารถทำให้ผ้าคลุมหนังจิ้งจอกที่อยู่บนต้นไม้ผืนนั้นตกลงมาได้ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เสวียนอี่เหนื่อยจนตัวอ่อนล้าไปทั้งตัว นางถอยหลังไปสองก้าว เท้ากลับชนเข้ากับเก้าอี้ที่พลันปรากฏขึ้นมา จึงทรุดนั่งลงไปอย่างแรง

นางเหนื่อยแทบแย่แล้ว นางไม่อยากจะเห็นผ้าคลุมผืนนี้อีกแล้ว อีกสักครู่จะโยนมันทิ้งไปเสีย

เทพบุตรชุดขาวย่อตัวนั่งลงด้านหน้านางเบาๆ

มือข้างขวายื่นไปยังเท้าเปลือยเปล่าใต้กระโปรง เสวียนอี่พลันนึกถึงต้นท้อที่ไม่มีดอกต้นนั้นของโลกเบื้องล่างขึ้นมา ดวงจันทร์ดวงเล็กและมืดมนดวงนั้น และชายหนุ่มมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอคนนั้น

นางหดเท้าเข้ามา “ข้าทำเอง”

นางหยิบเอารองเท้ามาจากมือเขาแล้วสวมช้าๆ จากนั้นจึงบิดขี้เกียจอย่างเหนื่อยล้าพร้อมใช้แขนเสื้อปิดปากหาว แล้วเดินกะโผลกกะเผลกกลับเข้าไปในตำหนัก “รบกวนเทพฝูชางแล้ว”

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง นางถูกกอดเอวไว้ ฟ้าดินพลันพลิกกลับ ร่างนางตกลงบนเก้าอี้ไม้ภายในตำหนักเบาๆ

ฝูชางก้มหน้าลงมองนางครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ายังต้องมาอีก รีบพักผ่อน องค์หญิงมังกร”

…เขาเรียกนางว่าองค์หญิงมังกร

เสวียนอี่เบนสายตาออกไปแล้วยิ้ม เขาไม่ได้กล่าวอะไรอีกแล้วเดินออกไป นางนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ อยู่นาน นานจนกระทั่งเทพธิดารับใช้มาจุดไฟแล้วถามนางอย่างระวังว่านางจะกินอะไร

นางอยากกินสุราพิษข้างมือ แต่ว่านางจะไม่ยอมให้ตัวเองกินมันอีก จะไม่ยอมปล่อยตัวตามความเอาแต่ใจเหล่านั้นอีก

เสวียนอี่ลุกขึ้นแล้วเดินกะเผลกเข้าไปในห้องนอนพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเตรียม”

แม้ว่าจะอยากรีบกลับเขาจงซานมาก แต่นางไม่มีกำลังพอจะขยับตัวแล้วจริงๆ ทรมานนางขนาดนี้ คิดว่าเขาต้องจงใจแน่ๆ เจ้านี่ทำไมตอนนี้ถึงได้ร้ายอย่างนี้ คนป่าเถื่อนที่เอะอะอะไรก็ลงไม้ลงมือคนนั้นเล่า แล้วมนุษย์ที่อ่อนแอบริสุทธิ์ผู้นั้นเล่า

เสวียนอี่โถมตัวลงบนเตียง นางไม่รู้สึกว่าผ้าห่มกลิ่นแย่อีกแล้ว และหลับสนิทไปแทบจะทันที

นับตั้งแต่เป็นนักรบมา นี่คือครั้งแรกที่จื่อซีได้เห็นสภาพของทะเลหลีเฮิ่นในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร ครั้งที่แล้วที่นางลงมาโลกเบื้องล่างกับเซ่าอี๋ พวกเขาเพียงมองจากที่ไกลๆ หมอกสีดำขนาดใหญ่กลุ่มนั้นทำให้นางตกใจจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นกลับสงบอย่างประหลาด มันหดตัวลงไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งพันเท่าหนึ่งหมื่นเท่า หมอกสีดำก็กลายเป็นน้ำสีดำเหนียวเหนอะราวกับน้ำหมึกอยู่ที่ส่วนลึกของเขตเหนือสุดนิ่งๆ

แม้ว่าจะรู้ว่าค่ายกลกดปราณพลังชั่วร้ายเช่นไรต่างก็ไม่มีผลกับทะเลหลีเฮิ่นทั้งสิ้น แต่ว่าอะไรที่ควรเอามาก็เอามา เพื่อป้องกันเหล่าราชาเผ่าปีศาจโบราณเหล่านั้นมีใจทะเยอทะยานแล้วบุกเข้ามา

จื่อซีฝืนข่มใจให้นิ่ง นางจงใจขี่เซี่ยจื้อบินวนอ้อมค่ายกลใหญ่ไกลๆ หนึ่งรอบ เหล่านักรบในหน่วยอู้เฉินมีการจัดการน่าสนใจ พวกเขาแทรกตัวอยู่ตามแต่ละจุดของค่ายกลใหญ่ แต่ว่านางมองอยู่นานก็ยังไม่เห็นว่าเซ่าอี๋อยู่ที่ไหน

คิดว่านางจะวนมากเกินไปจนทำให้เป็นจุดสังเกตของเหล่านักรบ เสียงของนักรบคนหนึ่งดังขึ้นว่า “เจ้าหาอะไร ไม่ได้มาที่หน่วยอู้เฉินนี่เพื่อรับตำแหน่งนักรบก็รีบออกไปเสีย”

จื่อซีรีบเอาจดหมายรับตำแหน่งออกมา “ข้าคือนักรบจื่อซีย้ายมาจากหน่วนซินโหย่ว ไม่ทราบว่ามหาเทพโกวเฉินอยู่ที่ใด”

นักรบคนนั้นชี้ไปทางกระโจมทหารที่สร้างขึ้นชั่วคราวเมื่อมายังโลกเบื้องล่างไกลๆ “มหาเทพกำลังทานอาหารอยู่ เจ้าไปเองเถอะ”

เดิมนางยังคิดอยากจะถามว่าเซ่าอี๋อยู่ที่ไหน แต่เอ่ยปากไม่ออกจริงๆ จึงเบนทิศทางไปยังที่ตั้งกระโจมทหาร มหาเทพโกวเฉินเป็นผู้ควบคุมหน่วยอู้เฉิน ได้ยินว่าเทพองค์นี้นิสัยไม่ดีนัก จื่อซีจึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างห้ามไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าพบกับตัวจริงเข้า เขากลับมีอัธยาศัยดีอย่างคาดไม่ถึง ทั้งยังลงนามในหนังสือรับตำแหน่งให้นางแล้วยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เทพีจื่อซีอยู่ในหน่วยซินโหย่วก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดดเด่น หวังว่า เจ้ามาอยู่ที่หน่วยอู้เฉินแล้วจะเป็นผู้มากความสามารถเช่นกัน”

จื่อซีกล่าวอย่างสุภาพไปแล้วก้มหน้าถอยออกมา นางอดไม่ได้ที่จะพิจารณารอบๆ กระโจมทหารที่สร้างขึ้นชั่วคราวนี้

ไม่ว่าโลกเบื้องล่างจะย่ำแย่ขนาดไหน เทพที่คุ้นชินกับความสุขทั้งหลายก็ยังไม่สามารถละทิ้งโอกาสเสพสุขทุกอย่างไปได้ กระโจมนักรบหนึ่งหลังสร้างขึ้นใหญ่ประมาณตำหนักหมิงซิ่งได้ มีกระทั่งสวนดอกไม้ และปกคลุมด้วยไอบริสุทธิ์ ต้นไม้ใบหญ้าของโลกมนุษย์ต่างก็ดูดกลืนเข้าไปจนไม่เหมือนธรรมดา

จื่อซีเดินไปตามระเบียงไม้คดที่มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมไปได้ครึ่งหนึ่ง พลันได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากใต้เงาเถาวัลย์ด้านหน้า เสียงหัวเราะนี้งดงามอ่อนหวานน่าเย้ายวน ราวกับบัวลอยข้าวหมักร้อนๆ ที่หอมหวานสักชามในช่วงฤดูหนาว นางรู้สึกว่าหัวใจพลันขึ้นไปจุกที่คอ และอดที่จะก้าวเท้าเร็วขึ้นไปด้านหน้าไม่ได้ นางรีบมองไปก็เห็นด้านหลังชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มปูแผ่ไปบนพื้น

ผมยาวสีดำสนิทหยักเป็นลอนที่หลัง เขาพลันเอียงคอมาครึ่งซีก อัญมณีแดงเพลิงบนหน้าผากก็สั่นไหวเบาๆ ใบหน้างามหล่อเหลาสะอาดตา ราวกับความร้อนของสุราชั้นดีกำลังลวกอยู่ที่คอนาง

เซ่าอี๋

จื่อซีเกือบจะเรียกเขาออกไป

ใต้เงาเถาวัลย์ เขากำลังกระซิบกระซาบกับเทพสาวผู้หนึ่งข้างกายเขา ไม่รู้กำลังพูดถึงเรื่องน่าสนุกอะไร เขาหัวเราะขึ้นมาเบาๆ พลันเชยคางนางขึ้นแล้วก้มหน้าลงไปจูบลงบนริมฝีปากนาง เป็นจูบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา นั่นแทบจะไม่ใช่การจูบ แต่เป็นการเลีย เขาไล้จากริมฝีปากลงมาที่คางและเลยไปถึงคอ พร้อมปลดสาบเสื้อแล้วเลื่อนต่ำลงไป

หัวใจของจื่อซีที่เพิ่งจะพุ่งขึ้นสูงตกลงมาที่พื้นอย่างแรง

นางนึกฝันภาพพวกเขาได้พบกันอีกครั้งนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งความประหลาดใจของเขา ความดีใจของเขา ความจนใจของเขา กระทั่งความเย็นชาที่เขาจะทำกับนาง แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นอย่างนี้ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านี้ ตอนที่เขาอยู่ที่ตำหนักหมิงซิ่งเขาต้องเก็บอารมณ์ขนาดไหน เขาอยู่ที่อื่นเขาเสเพลอย่างไร ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้ว

ใครกันที่พูดว่าอนาคตจะมาเฝ้าคุ้มกันทะเลหลีเฮิ่น และทำให้มันกลับสู่สภาพเดิม เดิมนางคิดว่า…เดิมคิดว่าเขาคงจะต้องกำลังทำหน้าที่อย่างตั้งใจและจริงจัง ใครจะรู้ว่า…

นางพลันถอยหลังไปหนึ่งก้าวอยากจะออกไปเงียบๆ เซ่าอี๋พลันเงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกถึงนางเข้า เขาหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มประหลาดขึ้นมา เขากอดเทพธิดาผู้นั้นแน่นแล้วเอาคางวางเกยบนไหล่ของนาง พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ กล่าวผ่านเถาวัลย์หนาทึบมาว่า “ศิษย์พี่หญิง ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”