ภาคที่ 4 ตอนที่ 80.2 ประมุขเสี่ยวหมิง (2)

มรรคาสู่สวรรค์

หลังพยายามอยู่สองสามครั้ง ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้อาวุโสเกาหยาและการให้ความร่วมมืออย่างลับๆ ของซูชีเกอที่เป็นเจ้าสำนักรุ่นก่อน เขาก็มายังสำนักเสวียนอิน

แม้แต่ซูจึเย่ที่ลั่วไหวหนานยังต้องระมัดระวังตัวก็ยังถูกเขาไล่ต้อนจนเป็นเหมือนหมาเร่ร่อน หลบหนีไปยังทะเลตะวันตก

ในที่สุดหลังจากนั้นสี่ปีเขาก็กำจัดเส้นสายที่ซูจึเย่ทิ้งเอาไว้ในสำนักเสวียนอินได้จนหมด กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ที่ลี้ลับและน่าหวาดกลัว แล้วก็กำลังจะกลายเป็นประมุขนิกายในวันพรุ่งนี้

แต่เป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรของเขามีความชัดเจนและแน่วแน่เป็นอย่างมาก ไม่มีทางหลงทางเพราะเรื่องอื่น ดังนั้นเขาจึงสงบเยือกเย็นมาโดยตลอด

เขารู้ว่าเบื้องหลังเหตุการณ์แปลกๆ ที่เขาเจอเหล่านั้นจะต้องมีอะไรแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

แต่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ตัวเอกในเรื่องเล่ามักจะเป็นเช่นนี้ ด้านบนของความมืดมักจะมีมือข้างหนึ่งคอยควบคุมบงการชีวิตของเจ้า แล้วในวันหนึ่งถึงจะเปิดเผยความจริงของเรื่องราว

แต่ตัวเอกในเรื่องเล่าเหล่านั้น สุดท้ายมักจะบดขยี้มือข้างนั้นจนแหลกละเอียด

หวังเสี่ยวหมิงรู้ว่าตนเองคือคนเช่นนั้น

แล้วเขายังรู้มากกว่านี้ด้วย

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะใช้เรื่องนี้มาดึงความสนใจจากคนจำนวนมาก ผลักข้าไปยืนอยู่ข้างหน้า เพื่อจะฉกฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย และจะดีที่สุดถ้าข้าถูกฆ่าตาย”

เขามองดูซูชีเกอที่นอนอยู่บนตั่งพลางกล่าว

“ข้ารู้ว่าเปลือกนอกเจ้ากับเขาแสร้งทำเป็นขัดแย้งกัน แต่ความจริงแล้วแอบร่วมมือกันอย่างลับๆ คิดอยากจะทำให้ข้ากลายเป็นหุ่นเชิดเหมือนอย่างในตอนแรกคนนั้น”

เขามองไปทางผู้อาวุโสเกาหยาพลางกล่าว

ภายในถ้ำเงียบสงัดขึ้นมา

แสงสว่างภายในหุบเขาค่อยๆ จางลง

ซูชีเกอนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

เกาหยาตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ในตอนแรกไม่รู้เรื่องอะไรเลยคนนั้นจะมองความคิดของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างตนเองออก

“ข้าไม่รู้เรื่องการวางแผนอะไรพวกนั้น ข้ารู้เพียงแต่ว่าในสภาพแวดล้อมแปลกหน้า ทุกคนล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า และคนแปลกหน้าก็คือศัตรู”

หวังเสี่ยวหมิงกล่าวกับพวกเขา “หากข้าสามารถมองทุกคนเป็นศัตรูได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่มีวันถูกหลอก”

เกาหยานิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ตายด้วยมือเจ้าแบบนี้ มันน่าเจ็บใจไปหน่อยจริงๆ”

เขาคือผู้อาวุโสรุ่นที่เจ็ดของสำนักเสวียนอิน สภาวะล้ำลึกจนน่าหวาดกลัว ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลระดับสูงของสำนักชิงซานก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

แต่ที่นี่คือใจกลางของสำนักเสวียนอิน และยังเป็นใจกลางของข่ายพลังของสำนัก หวังเสี่ยวหมิงที่มีธงสุริยันสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

“ในเมื่อตอนแรกเจ้าใช้ประโยชน์จากข้าเพื่อควบคุมธงสุริยัน เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าข้าสามารถใช้ธงสุริยันฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ”

หวังเสี่ยวหมิงกล่าว “แต่การที่พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้ามันก็สมเหตุสมผล ดังนั้นข้าไม่โกรธ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง”

เกาหยาสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าควรจะทำอย่างไร?”

หวังเสี่ยวหมิงกล่าว “เชื่อฟังข้า และร้องขอการอภัยจากข้า”

“เจ้ามิใช่จอมมาร”

ซูชีเกอพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเคยคิดว่าตัวเองคือจอมมาร ผลสุดท้ายถูกธาตุไฟเข้าแทรก กลายเป็นคนไร้ค่า”

“ข้าย่อมมิใช่จอมมาร จอมมารไม่มีทางที่จะต้องมาทนรับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเหมือนอย่างข้า”

หวังเสี่ยวหมิงกล่าวด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าเป็นเพียงตัวเอกของเรื่องเล่าเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงต้องมาแบกรับสิ่งเหล่านี้ก่อน จากนั้นถึงจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ”

……

……

ดวงตาที่อยู่ในธงสุริยันคู่นั้นหายไปแล้ว

จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง

กระบี่เหล็กเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกในท้องฟ้ายามค่ำคืน

ยอดฝีมือของนิกายเฟิงเตาที่ตามอยู่ด้านหลังเหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวแปลกๆ จากในส่วนลึกของเขาเหลิ่งซานเช่นเดียวกัน

เมื่อเห็นเปลวเพลิงที่ค่อยๆ หายไปนั้น ภายในใจของเหล่ายอดฝีมือนิกายเฟิงเตารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่ยอดเขายอดหนึ่ง

สำนักเสวียนอินโอหังเป็นอย่างมากจริงๆ แต่ปัญหาที่สำคัญนั้นอยู่ที่ว่าเหตุใดอานุภาพของธงสุริยันถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ร้ายกาจกว่าสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในช่วงเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมาเสียอีก

มีคนถามว่า “ผู้ที่เข้าไปก่อนหน้านี้คือสหายจากสำนักไหน?”

ยอดฝีมือนิกายเฟิงเตาที่รูปร่างซูบผอมกล่าวว่า “ผู้อาวุโสของสำนักชิงซาน ไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสท่านไหน”

ทุกคนมองดูจุดสีดำที่ใกล้จะหายลับไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน ในใจครุ่นคิดว่าความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่ผู้อาวุโสธรรมดาเป็นแน่

……

……

เบื้องหน้าคล้ายมีเสียงคลื่นดังทอดมา

เพียงพริบตา เสียงคลื่นก็ชัดเจนดั่งเสียงฟ้าคำราม ดังก้องอยู่ในหู

จิ๋งจิ่วลืมตา มองไปยังทะเลอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

เวลานี้ฟ้าสาง แสงอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบไปบนผิวทะเล ย้อมสีน้ำทะเลจนกลายเป็นสีที่ดูซับซ้อน บอกไม่ถูกว่าเป็นสีน้ำเงินหรือว่าสีทอง มีความรู้สึกงดงามที่แปลกประหลาด

ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองไห่โจวมาทางเหนือสามพันลี้ รกร้างไร้ซึ่งผู้คน แม้แต่น้ำทะเลก็ยังเย็นยะเยือก ปลาเองก็แทบจะไม่มี ดูวังเวงยิ่งนัก

บนหินโสโครกที่อยู่ริมชายฝั่งมีอสูรทะเลตัวอ้วนปรากฏให้เห็นสามสี่ตัว ไม่รู้ว่าเวลาปกติพวกมันกินอะไรเป็นอาหาร

กระบี่เหล็กหยุดอยู่เหนือหินโสโครกก้อนหนึ่ง พักผ่อนเล็กน้อย

แมวขาวยื่นศีรษะออกมาจากอ้อมอกของกู้ชิง มองไปยังอสูรทะเลตัวอ้วนตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลอย่างอยากรู้อยากเห็น คล้ายกำลังคิดอยากจะลองชิมดูว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร

กู้ชิงอุ้มมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง แล้วก็มองจิ๋งจิ่วอย่างระมัดระวัง

หลังออกมาจากเขาเหลิ่งซาน จิ๋งจิ่วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เขารู้สึกว่าอาจารย์จะต้องมีเรื่องในใจ

นี่พบเห็นได้น้อยนัก

“กลับไปแล้วลองสืบดูว่าคนที่อยู่ในสำนักเสวียนอินคนนั้นคือใคร”

จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมา

ในตอนที่ขี่กระบี่ เขาครุ่นคิดว่าใครกันที่คิดอยากจะฆ่าตนเอง

ถ้าจะพูดถึงศัตรู นอกจากถงหลูแล้ว ก็มีแค่คนและปีศาจที่ตายด้วยกระบี่มิคำนึงในตอนที่ออกไปท่องเที่ยวกับเจ้าล่าเยวี่ยในอดีต แล้วก็คนที่อยู่ในเมืองเจาเกอเหล่านั้น

แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ลืมปัญหาที่หลิ่วสือซุ่ยเคยสร้างเอาไว้เหล่านั้นเช่นกัน

ไม่มีข้อสรุป

กู้ชิงรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “ขอรับ แล้วหลังจากสืบได้แล้ว?”

จิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “ตอนที่ฆ่าได้ก็ไปฆ่าซะ”

ในอดีตตอนที่เขากับไป๋เจ่าถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะ เขาก็คิดที่จะใช้กระบี่มิคำนึงส่งข่าวบอกเจ้าล่าเยวี่ย ให้นางสังหารลั่วไหวหนานในอีกสิบปีให้หลัง

ตอนนี้เขาอยู่ข้างนอกแล้ว เขาย่อมต้องลงมือด้วยตัวเอง

บนผิวทะเลมีคลื่นยักษ์ยกตัวสูงขึ้นมา กระแทกหินโสโครกที่อยู่ริมฝั่ง ส่งเสียงโครมครามดังสนั่น

เสียงของจิ๋งจิ่วถูกเสียงคลื่นกลบไป แต่กู้ชิงกลับได้ยินอย่างชัดเจน

เขางุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าหากต้องการทำลายศูนย์กลางของสำนักเสวียนอิน…เขาต้องทำอย่างไรจึงจะพูดกล่อมเจ้าสำนักและอาจารย์ลุงกฎแห่งกระบี่ได้?

ดูเหมือนเรื่องนี้ึคงต้องรบกวนศิษย์น้องหยวนและเหล่าวานรเสียแล้ว

แมวขาวรู้สึกเบื่อ มันหาวออกมาทีหนึ่ง แต่หลังจากนั้นกลับหุบปาก มองออกไปยังส่วนลึกของทะเล ม่านตาหดเล็กลง ดูตื่นตัวเป็นอย่างมาก

คลื่นในทะเลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ กระแทกเข้าไปกับชายฝั่ง น้ำทะเลแตกกระจายคล้ายเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน

เบื้องหน้าคล้ายจะมองเห็นเส้นสีดำที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง

ไม่นานก็มองเห็นได้ชัดเจน นั่นคือกำแพงน้ำที่สูงหลายจ้าง

กระบี่เหล็กบินขึ้นไปอีกครั้ง

เพียงครู่หนึ่งด้านล่างก็มีเสียงคล้ายเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา น้ำทะเลแตกกระจายพุ่งขึ้นไปในอากาศราวลูกธนู กระเด็นใส่ชายเสื้อของกู้ชิงจนเปียกชุ่ม

กู้ชิงมองเข้าไปในส่วนลึกของทะเล มองเห็นคลื่นสีขาวที่น่ากลัวอีกเป็นจำนวนมาก ใบหน้าดูค่อนข้างขาวซีด

ลมอันรุนแรงโหมกระหน่ำ พัดพาเอากลิ่นคาวและกลิ่นเค็มเข้ามา อีกทั้งยังมีกลิ่นกระบี่ที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด

ในส่วนลึกของทะเลที่อยู่ห่างไกล มีผู้ฝึกกระบี่ที่แข็งแกร่งอย่างมากสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่

กระบี่บินสองเล่มนั้นทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดสาด ถึงแม้จะอยู่ห่างหลายร้อยหรือเป็นพันลี้ แต่ในตอนที่มันกระแทกเข้ากับแผ่นดิน อานุภาพของคลื่นยักษ์เหล่านั้นยังคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก

หากต้องไปอยู่ในรัศมีการต่อสู้ เช่นนั้นจะมีความรู้สึกเป็นอย่างไร?

เมื่อคืนเขามองเห็นธงสุริยัน ถึงแม้จะแสดงอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่แล้ว แต่เกรงว่าคงไม่อาจเทียบกับกระบี่บินสองเล่มนี้ได้

ใครกันที่กำลังต่อสู้อยู่ในนั้น?

………………………………………………………