เล่ม 9 เล่มที่ 9 ตอนที่ 249 ท่านอ๋อง มีประโยชน์มากกว่าเพคะ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีกำลังจะเดินออกจากประตูตำหนัก ทันใดนั้น เสียงของอวิ๋นจิ่นก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “พระชายา”

ซูจิ่นซีหันหลังกลับ นางเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภายใต้แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวที่ไม่ค่อยสดใสนัก รอบยิ้มนั้นราวกับสามารถละลายเกล็ดหิมะได้ทั้งหมด

“หมอหลวงอวิ๋น ไม่ได้พบกันเสียนาน”

“พระชายา ไม่ได้พบกันนานจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นจิ่นแสดงความเคารพซูจิ่นซีด้วยท่าทีนอบน้อม

“หมอหลวงอวิ๋นตามหาข้ามีเรื่องอันใด? ”

อวิ๋นจิ่นหยิบห่อผ้าไหมในแขนเสื้อออกมา “พระชายา นี่คือใบชีเย่ (หญ้าเจ็ดใบ เกาลัดม้า) กับหญ้าเถาเซียนที่หลงเหลือจากการใช้ครั้งก่อน ส่วนซงหมาถูกใช้ไปในปริมาณมาก จึงไม่เหลือพ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีรับไว้อย่างไม่รีรอ

กว่าจะได้สมุนไพรเหล่านี้มา ช่างยากลำบากนัก ในเมื่อเหลืออยู่ นางจึงเตรียมไว้เป็นส่วนเสริม หลังจากระบบถอนพิษยกระดับแล้ว นางจะเก็บเอาไว้ทั้งหมด ให้กลายเป็นคลังวัตถุดิบเล็กๆ ของนาง

“หมอหลวงอวิ๋น ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่? ” ซูจิ่นซีเห็นอวิ๋นจิ่นแสดงท่าทางเหมือนต้องการพูดอันใด แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก

“ได้ยินมาว่า คืนวานพระชายาดื่มสุราไปไม่น้อย ฤทธิ์สุราทำร้ายร่างกาย กระหม่อมขออนุญาตตรวจชีพจรพระชายา เพื่อตรวจดูว่าร่างกายต้องการพักฟื้นหรือไม่? พ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูด อวิ๋นจิ่นก็กวาดสายตาไปทางซ้ายขวา

ซูจิ่นซีรู้ดีว่า อวิ๋นจิ่นมีเรื่องที่ต้องการพูดกับนาง ทว่าไม่สะดวกพูดในสถานที่แห่งนี้

“ต้องรบกวนหมอหลวงอวิ๋นแล้ว พวกเราไปสำนักหมอหลวงดีหรือไม่? ”

“พระชายาเชิญทางนี้! ”

ซูจิ่นซีเดินตามอวิ๋นจิ่นมาถึงสำนักหมอหลวง ในเวลานี้ หมอหลวงในสำนักต่างไปที่แผนกจัดยาเพื่อจัดเก็บสมุนไพร ดังนั้นจึงเหลือคนอยู่ไม่กี่คน อวิ๋นจิ่นพาซูจิ่นซีไปยังจุดที่เงียบสงบ

“หมอหลวงอวิ๋น ที่นี่คงสะดวกแล้ว มีอันใดก็กล่าวออกมาตามตรงเถิด! ”

อวิ๋นจิ่นยังมีใบหน้าสงบนิ่ง

“พระชายา เกี่ยวกับเรื่องของท่านอ๋อง”

เยี่ยโยวเหยา?

ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว แสดงท่าทีสงสัย

อวิ๋นจิ่นพูดต่อว่า “เช้าวันนี้ ขณะที่กระหม่อมเข้าวัง บังเอิญพบท่านอ๋องกำลังออกจากวัง ในเวลานั้นกระหม่อมเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องมีบางอย่างผิดปกติ คิ้วขมวดหมองคล้ำ หางตาตก เส้นเลือดปูดโปนบริเวณลำคอ เหมือนภายในได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่เหมือน หากภายในบาดเจ็บสาหัส คิ้วจะต้องไม่เป็นสีดำ ทั้งยังไม่เหมือนคนที่ได้รับพิษ”

หากเยี่ยโยวเหยาได้รับพิษจริงๆ ซูจิ่นซีอยู่กับเยี่ยโยวเหยาตลอดทั้งวัน ระบบถอนพิษต้องเตือนนางแล้ว

ซูจิ่นซีหวนนึกถึงก่อนหน้านี้ที่นางตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยา นางตรวจพบว่าเยี่ยโยวเหยาได้รับบาดเจ็บภายในจริงๆ เป็นอาการที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับบอกว่าเป็นอาการกำเริบจากอาการบาดเจ็บเดิม ทักษะการแพทย์ด้านนี้ ซูจิ่นซีไม่เชี่ยวชาญเท่าใดนัก นางจึงไม่กล้ายืนยัน ตอนนั้นนางมีความคิดจะให้อวิ๋นจิ่นตรวจเยี่ยโยวเหยาสักครั้งเช่นกัน ทว่ามัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นจนผัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม จากคำพูดของอวิ๋นจิ่นในวันนี้ สุขภาพของเยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติ

เกิดอันใดขึ้นกันแน่? หากเขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ เหตุใดจึงต้องปิดบังนางด้วย?

“หมอหลวงอวิ๋น ตามความคิดเห็นของท่าน อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องรุนแรงหรือไม่? ”

อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเป็นเกลียว พูดว่า “พระชายา รุนแรงมากพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งท่านอ๋องยังเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ หากเกิดผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลให้ธาตุไฟเข้าแทรก เรื่องนี้ประมาทไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

รุนแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

ซูจิ่นซีไม่รู้เรื่องวรยุทธ์ นางไม่เข้าใจว่า เหตุใดอาการบาดเจ็บภายในจึงส่งผลให้ธาตุไฟเข้าแทรก ทว่านางเชื่อคำพูดของอวิ๋นจิ่น และเชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของเขา

“หมอหลวงอวิ๋น ท่านมีวิธีการรักษาหรือไม่? ”

อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว พลางส่ายศีรษะพูดว่า “กระหม่อมเพียงยืนยันได้ว่าพระวรกายของท่านอ๋องมีปัญหา แต่ไม่สามารถตรวจให้ละเอียดว่าเป็นโรคหรืออาการบาดเจ็บใด ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่สามารถตอบได้ในเวลานี้”

ซูจิ่นซีมีท่าทีลำบากใจ

คาดไม่ถึงว่าอวิ๋นจิ่นจะพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง “ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่กระหม่อมสามารถยืนยันได้ อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องจะต้องอยู่ที่มือซ้ายหรือไม่ก็มือขวาพ่ะย่ะค่ะ”

มือซ้ายหรือไม่ก็มือขวาหรือ?

ไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ ขณะที่นางตรวจชีพจรที่มือซ้ายให้เยี่ยโยวเหยาครั้งก่อน เยี่ยโยวเหยาแสดงท่าทีไม่ยินยอมเท่าไรนัก ในเวลานั้นซูจิ่นซีไม่ได้คิดอันใดมาก หรือว่าบาดแผลของเข้าจะอยู่ที่มือซ้าย?

บุรุษผู้นี้ คิดจะทำอันใดกันแน่?

บาดเจ็บก็คือบาดเจ็บ เหตุใดถึงไม่พูด นางไม่มีทางหัวเราะเยาะเขา

อีกอย่าง เมื่อก่อนเขาได้รับพิษมากมาย นางเป็นผู้ถอนพิษให้ทั้งสิ้น ยังกลัวว่านางจะล่วงรู้ถึงอาการบาดเจ็บอีกหรือ?

จริงๆ เลย!

“วันนี้รบกวนหมอหลวงอวิ๋นแล้ว ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เรื่องที่ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ขอให้หมอหลวงอวิ๋นอย่าได้แพร่งพรายออกไป” ซูจิ่นซียังคงคิดอย่างรอบคอบระมัดระวัง

“พระชายาโปรดวางพระทัย วันนี้ยามที่กระหม่อมพบท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้เห็นอันใด ที่พาพระชายามาที่นี่ก็เพื่อตรวจชีพจรเท่านั้น ไม่ได้พูดอันใด”

หลังจากพูดจบ อวิ๋นจิ่นยังมองซูจิ่นซีด้วยสายตาอ่อนโยน

ซูจิ่นซีแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน”

“กระหม่อมน้อมส่งพระชายา”

เป็นเวลาเย็นแล้วที่ซูจิ่นซีกับลวี่หลีออกจากวัง จิ้นหนานเฟิงที่อยู่บนรถม้าหน้าประตูวัง เมื่อเห็นซูจิ่นซีก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความร้อนใจ เหมือนมดตัวน้อยที่วิ่งอยู่บนกระทะร้อน

เมื่อพบกับซูจิ่นซี ก็เหมือนได้เห็นฝนตกทันเวลา

“พระชายา ท่านรีบกลับเดี๋ยวนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องรอท่านตลอดทั้งบ่าย เกือบเข้ามานำตัวท่านออกจากวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยโยวเหยาตามหานางหรือ?

ซูจิ่นซีเห็นท่าทางร้อนใจของจิ้นหนานเฟิง หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?

ซูจิ่นซีขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นรถม้าก็วิ่งตรงไปยังจวนโยวอ๋องด้วยความรวดเร็ว

เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังลงจากรถม้า นางก็รู้สึกว่าด้านหน้ามีลมเย็นยะเยือกพัดมา จากนั้นนางก็ถูกคนผู้หนึ่งโอบไว้ในอ้อมกอดหนาวเหน็บ

ซูจิ่นซีเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ นางเห็นใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา เกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ? ”

เยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าตัวหนึ่ง และห้อตะบึงออกไปในทันที เขาเอ่ยปากพูดกับซูจิ่นซีว่า “ไปช่วยคนกับข้าเดี๋ยวนี้”

“ช่วยคนหรือเพคะ? ไปช่วยใครเพคะ? ”

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบคำถามใดๆ

ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดกระทบใบหู แม้ซูจิ่นซีจะสวมเสื้อคลุม ทว่ายังรู้สึกหนาวเย็นอยู่ นางหดคอลงพลางลูบแขนของตนโดยไม่รู้ตัว

เยี่ยโยวเหยาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออก และคลุมให้ซูจิ่นซี

เมื่อคลุมเสื้อให้ซูจิ่นซีเรียบร้อยแล้ว เสื้อคลุมตัวยาวสีดำที่เยี่ยโยวเหยาสวมอยู่ก็พลิ้วไหวไปตามแรงลมไม่หยุดดั่งแถบผ้า ทั้งเส้นผมที่ปล่อยสยายก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ยิ่งขับให้ความงดงามสมบูรณ์แบบบนใบหน้าของเขางดงามมากขึ้นไปอีก สง่างามจนทำให้ผู้คนไม่กล้าลืมตา

ม้าดีห้อตะบึงพาพวกเขาไปตามถนนใหญ่สายหนึ่งในเมืองตี้จิง ผู้คนเดินถนนจำนวนมากตลอดสองข้างทางอดตกใจไม่ได้ แต่ละคนต่างหยุดเดินและหยุดการกระทำทุกอย่าง

“เยี่ยโยวเหยา ท่านสวมไว้เถิด! ” ซูจิ่นซียื่นมือออกไป นางต้องการถอดเสื้อคลุมที่เยี่ยโยวเหยาสวมให้เมื่อครู่ ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับก้มหน้ามองนางด้วยสายตาเยือกเย็น ซูจิ่นซีจึงไม่กล้าขยับตัวอีก

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีก็พูดขึ้นด้วยท่าทีอึดอัด “เยี่ยโยวเหยา ความจริงแล้วหม่อมฉันคิดว่า ท่านควรสวมเสื้อคลุมของตนเองตามเดิมดีกว่านะเพคะ! ดูแล้วคงมีประโยชน์มากกว่า! ”

เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มนี้ ดูอย่างไรก็รู้สึกว่ามีเลศนัย “ซูจิ่นซี ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ากลายเป็นสตรีปากร้ายตั้งแต่เมื่อใด”

สตรีปากร้าย?

นางไม่ได้เป็นเช่นนั้นกระมัง?

ทว่าในเวลาเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่มีเวลาอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาเข้าใจ

เพราะในขณะที่พวกเขากำลังควบม้าออกจากประตูเมืองไปไม่ไกลนัก จู่ๆ ด้านหน้าก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “โยวอ๋อง จนป่านนี้แล้ว ท่านยังหยอกเย้ากับสาวงามในอ้อมกอดอยู่อีกหรือ ช่างสุขกายสบายใจเสียจริง”