บทที่ 253.3 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 253.3 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ โดย ProjectZyphon

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ปัดมือ ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็ใช่ด้วยหรือ?”

เด็กชายกลอกตา รู้สึกว่าคำถามข้อนี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก จึงตอบเสียงขุ่น “ข้ายังขาดสุดยอดตำราลับอีกเล่มหนึ่ง”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ข้าก็เหมือนกัน”

เด็กชายก้มหน้าลงมองกระบี่ไม้ไผ่ในมือ แล้วค่อยเงยหน้ามองด้ามกระบี่ในกล่องด้านหลังคนผู้นี้ ถามว่า “ขอข้าดูกระบี่ของเจ้าหน่อยได้ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก”

เด็กชายเบ้ปาก ปรายตามองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอัน “เจ้าขี้เหนียวแบบนี้ ไม่เหมือนมือกระบี่ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเลย ข้าว่าที่บรรจุไว้ในน้ำเต้าของเจ้าคงไม่ใช่เหล้า แต่เป็นน้ำ แกล้งทำเป็นหลอกคนอื่นไปอย่างนั้นกระมัง”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเห็นมือกระบี่ตัวจริงหรือไม่?”

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง

ด้านหลังมีแม่นางน้อยใบหน้าแดงปลั่งพูดขึ้นอย่างขลาดๆ ว่า “พวกเราเคยไปไกลที่สุดก็แค่ตลาดที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ ไม่เคยได้เห็นมือกระบี่ซะหน่อย”

เพียงไม่นานก็มีเด็กที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามว่า “อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนพวกเราเกี่ยวกับมือกระบี่ ที่ตลาดก็มีหนังสือรูปคนตัวเล็ก (หนังสือการ์ตูน) ที่ราคาแพงมากวางขาย บนหนังสือวาดจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพไว้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือมือกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด คนชั่วทุกคนล้วนเอาชนะพวกเขาไม่ได้”

เด็กชายที่บอกว่าเคยเห็นมือกระบี่ที่แท้จริงมาก่อนหันไปถลึงตาใส่ด้านหลังหนึ่งที เด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังหุบปากฉับทันที

เด็กชายที่ค่อนข้างโตซึ่งถือกระบี่ไม้อีกคนหนึ่ง ท่าทางซื่อๆ น่ารักถามเฉินผิงอันว่า “เวทกระบี่ของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน?”

คำถามข้อนี้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจจริงๆ

เฉินผิงอันได้แต่พูดว่า “ข้าเคยเห็นมือกระบี่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากกับตาตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เห็นจากในหนังสือรูปคนตัวเล็กของพวกเจ้า”

เด็กชายกระบี่ไม้ไผ่หัวเราะหยันไม่หยุด

เด็กชายท่าทางซื่อตรงที่ถือกระบี่ไม้กลับเชื่อไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ซักถามต่ออีกว่า “แล้วเจ้าได้เรียนเวทกระบี่มาจากจอมยุทธ์ใหญ่พวกนั้นหรือไม่? หากเจ้าสามารถแสดงวิชากระบี่ให้พวกเราได้เห็น ข้าก็จะเชื่อว่าเจ้าคือมือกระบี่จริงๆ หากเป็นไปได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็รับข้าเป็นลูกศิษย์ได้ไหม? ข้าอยากเรียนเวทกระบี่กับเจ้า ไม่ใช่แค่ฟันดอกน้ำมันได้อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าฟันกระบี่ลงไปก็สามารถทำให้สะพานของหมู่บ้านเราขาดท่อน ข้าก็จะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ขอเรียนวิชาจากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

ด้วยวิชากระบี่ของตนเนี่ยนะ คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชาจากเขา?

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าพื้นที่ร้อยลี้รอบรัศมีของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแห่งนี้คือดินแดนสวรรค์ในอุดมคติที่มีชื่อเสียงของนครมังกรเฒ่า แม้ว่าชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มาหลายยุคหลายสมัยจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ก็มียอดฝีมือหลายคนคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างลับๆ ช่วยจับตามองฮวงจุ้ยของของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ไม่ให้ถูกคนนอกทำลาย เพียงแต่ว่าบนภูเขาและล่างภูเขามองดูเหมือนต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสถานการณ์ที่เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนไม่รู้ก็เท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าสองท่านของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแล้ว ยังมีคนตัดต้นไม้อีกคนหนึ่งที่ไปสร้างกระท่อมอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา รวมไปถึงผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่แตกกิ่งก้านสาขามีลูกหลานเต็มบ้านอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แท้จริง สามคนคือขอบเขตโอสถทอง อีกคนคือขอบเขตก่อกำเนิด มีทั้งบรรพบุรุษสกุลซุนสาขาแยกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แล้วก็มีทั้งยอดฝีมือที่หนีภัยมาเร้นกายอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าก็มีคนที่ถูกตระกูลซุนจ้างมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล หวั่นไหวเพราะทรัพย์สิน เทพเซียนเองก็เลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเงินที่รับมาแต่ละปีก็ล้วนเป็นเงินฝนธัญพืช (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19  20 หรือ 21 เมษายน)

เวลานี้ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งสี่ท่านมารวมตัวกันอยู่หน้ากระท่อมของคนตัดต้นไม้ เพราะว่าที่นี่เป็นหนึ่งในตาของค่ายกล คนตัดต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนชายฉกรรจ์แข็งแรงจึงโบกมือหนึ่งครั้ง ลมภูเขาและไอน้ำลอยตัวมารวมกันเป็นม้วนภาพวาดภาพหนึ่ง สายตาของทุกคนมองตามไปที่เงาร่างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดเลียบริมน้ำตลอดเวลา คนทั้งสี่เริ่มวางเดิมพันเกี่ยวกับขอบเขตของคนผู้นี้ มีคนบอกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนของซุนเจียซู่ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่ง ปณิธานหมัดที่แผ่อวลตลอดทั้งร่างเป็นเพียงแค่การปิดบัง ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุยังน้อย มีคนค้าน บอกว่าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตกลาง ส่วนที่เหลืออีกสองคนกำลังเถียงกันว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่หรือขอบเขตห้ากันแน่ คนหนึ่งในนั้นบอกว่าเด็กหนุ่มคือขอบเขตสี่ที่สร้างรากฐานไว้ได้ดีเยี่ยม ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าธรรมดาทั่วไป นอกจากที่เด็กหนุ่มจะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องมียอดฝีมือคอยให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เด็ก คือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่บอบบาง และไม่แน่ว่าอาจจะถือกำเนิดในตระกูลที่คงอยู่มานานนับพันปี ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้เลย

แม้ว่าเทพเซียนทั้งสี่จะถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แต่กลับดูอารมณ์ดีกันไม่น้อย

……

ร้านยาขนาดเล็กของเมืองใน ชายฉกรรจ์ที่ไม่เอาไหนคนนั้นยกม้านั่งออกมานั่งในตรอกอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้พกเมล็ดแตงมานั่งแทะ แต่เอาหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนในร้านซื้อมา ในหนังสือเขียนเรื่องราวลวงโลกไว้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวและคำสอนของอริยะลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ เขียนหลักการยิ่งใหญ่ที่เกินจริงดั่งสองเท้าลอยเหนือพื้นดินหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในอดีตชายฉกรรจ์เคยอ่านหนังสือพวกนี้ซะที่ไหน เพียงแต่ว่านั่งอยู่ในตรอกมานานขนาดนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะเสวนากับเขาสักที ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะบนร่างของตนไม่มีกลิ่นอายของตำรา หยิบหนังสือมาพลิกอ่านดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้

ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เสื้อผ้าที่พวกสตรีสวมใส่จะบางมากกว่าปกติ ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เล็ก แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่อันที่จริงหางตาคอยแอบชำเลืองมองหุ่นและหน้าตาของพวกผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม็ดเหงื่อที่เกาะแนบผิวหนัง เห็นผู้หญิงโตเต็มวัยคนหนึ่งที่มีรูปร่างเย้ายวน ชายฉกรรจ์มองนางแล้วเหมือนวิญญาณถูกล่อลวงไป พึมพำอยู่ในใจตัวเองว่าสะโพกกว้างกว่าไหล่ น่าจะสร้างความสำราญได้ดั่งเป็นเทพเซียน

น่าเสียดายก็แต่ชายฉกรรจ์ค้นพบว่าตนหยิบตำรามาวางท่าเป็นคนมีความรู้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะมองเขาสักครั้ง

เว้นจากผู้หญิงบางคนที่มาอีกแล้ว เอวอย่างกับถังน้ำ ใบหน้ามีแต่กระ กรามใหญ่กว่าก้นของชายฉกรรจ์ซะอีก ชายฉกรรจ์หน้ามุ่ย ในที่สุดก็เริ่มอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ หญิงสาวที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากร้านยาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เอวไม่ใช่บิดส่าย แต่เป็นแกว่งไกว ชายฉกรรจ์ก็ยังแสร้งทำเหมือนคนตาบอดอยู่อย่างนั้น ภายหลังหญิงสาวทนกับอากาศที่ร้อนระอุไม่ไหวจริงๆ มองชายที่ตนชอบพอด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับบ้านไปด้วยความพึงพอใจ

ชายฉกรรจ์พลิกเปิดหนังสือเร็วมาก สุดท้ายมาหยุดอยู่บนหน้าที่บันทึกเรื่องของอริยะใหญ่ลัทธิเต๋าที่มีคำต่อท้ายว่า ‘จื่อ’ ซึ่งเคยได้เล่าเรื่องราวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เรือกลวง’ เพื่อใช้มันมาบรรยายหลักสัจธรรมแห่งมรรคาที่ยิ่งใหญ่ เล่าว่ามีคนนั่งเรือลำเล็กล่องไปในแม่น้ำ มีเรือเล็กอีกลำลอยตรงเข้ามา คนผู้นั้นจึงออกเสียงเอ่ยเตือนสามครั้ง แต่เรือก็ยังชนกันอยู่ดี คนผู้นั้นจึงด่าทออย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายค้นพบว่าบนเรืออีกลำไม่มีคน เขาจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

และหลังจากนั้นมาก็มีอริยะนำเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง อริยะท่านนั้นกล่าวว่า ‘ไปมาเพียงลำพัง คือคำว่าเฉพาะตัว คนที่มีความเฉพาะตัว ก็คือคนที่ล้ำค่าสูงส่ง’

อริยะยังกล่าวอีกว่า ‘มีเพียงบุคคลที่สูงส่งจึงจะอยู่บนโลกเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงใคร’

ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่านี่เป็นคำพูดที่เหลวไหล เขายังถึงขั้นเข้าใจความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านี้ด้วย เพียงแต่ว่าต่อให้เข้าใจหลักการที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อเขา

เพราะเขากับอริยะลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน

ต่อให้เป็นโรงเรียนของอาจารย์คนนั้น เขาก็เคยไปแอบฟังอยู่หลายครั้ง เหตุผลทุกข้อเขาเข้าใจทั้งหมด ต่อให้เป็นความรู้บางส่วนที่ค่อนข้างลึกซึ้ง เขาก็ยังตระหนักรู้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อตบะของตัวเขาเองอยู่ดี

แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือศิษย์พี่ที่ฝึกตนอยู่ในสถานที่เล็กๆ เหมือนกันกับเขา ไอ้หมอนั่นวันๆ ทำแต่งานหยาบๆ เหมือนชาวบ้านในชนบททั่วไป แต่ขอบเขตกลับทะยานเอาทะยานเอา ไปที่วังหลวงต้าสุยมารอบหนึ่ง ตอนนี้ไอ้หมอนั่นยังถึงขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบไปแล้ว อาจารย์ที่ชอบด่าตนตลอดทั้งปีทั้งชาติยังพูดเป็นประจำว่าการตระหนักรู้แจ้งของศิษย์พี่ผู้นั้นดีมาก

เขาไม่ได้เกลียดแค้นอาจารย์และศิษย์พี่เพราะสาเหตุนี้ แค่คิดไม่ตกเท่านั้น ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงใช้ชีวิตไม่เอาไหนไปวันๆ แม้แต่ใจที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองกับอาจารย์ก็ยังไม่มี เป็นเหตุให้ยิ่งคับอกคับใจมากขึ้น

จนกระทั่งอาจารย์ไล่เขาออกจากเมืองเล็กทางทิศเหนือมายังนครมังกรเฒ่าแห่งนี้

เขาไม่มีคำบ่นหรือความไม่พอใจใดๆ

เขาเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านผู้อาวุโสอยู่ในเมืองเล็กเพียงลำพัง หลี่เอ้อร์จากไปแล้ว ไม่มีคนให้ชม เขาจากมาแล้ว ไม่มีคนให้ด่า ผู้เฒ่าที่สูบยาตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวันจะเบื่อหน่ายแค่ไหน?

เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งอยู่ในขอบเขตแปดขั้นสูงสุดมานานแล้วต้องมาเฝ้าอยู่ในร้านยาเล็กๆ ร้านหนึ่งทั้งวัน ปากก็ค่อยพูดจาหวานเลี่ยนแทะโลมสาวๆ ขายาวทั้งหลาย

วันหนึ่งอาจารย์ที่นานๆ ทีจะทนคุยกับเขาได้นานพูดกับเขามากกว่าปกติอย่างที่หาได้ยาก แต่ประโยคที่พูดนั้นกลับเป็นดั่งข้อสรุปตอกปิดฝาโลงซึ่งไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง  ‘ชีวิตนี้เจ้าเจิ้งต้าเฟิงอย่าได้หวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าเลย’

ชายฉกรรจ์ปิดหนังสือ เอามาทำพัดพัดที่ข้างหูของตัวเองแรงๆ

จากนั้นเขาก็หน้าดำ หิ้วม้านั่งขึ้นแล้วเผ่นกลับเข้าไปในร้านยาอย่างคล่องแคล่ว

ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นที่บังอาจลอบมองความหล่อเหลาของเขายังไม่ยอมถอดใจ นางกลับไปเปลี่ยนชุดที่งดงามสดใสมากกว่าเดิมแล้วออกมาเดินเยื้องย่างไปมาอยู่ในตรอกอีกครั้ง

กลับมาที่ร้านด้วยความอกสั่นขวัญผวา ชายฉกรรจ์ก็นอนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ของเถ้าแก่ แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกาย กระดกก้นขึ้นเอามือลูบไปบนเก้าอี้ ว้าว ที่แท้ก็มีสาวงามแอบมานั่ง บนผิวเก้าอี้ถึงยังมีความอุ่นหลงเหลืออยู่ แต่จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ เขาจึงรีบเอาก้นไปถู

สายตาของเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งฉายความอาฆาต ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญกระแทกใส่มือของสตรีวัยที่สมควรแต่งงานคนหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันไปถลึงตามองเถ้าแก่ร้านอย่างดุดัน

ชายฉกรรจ์เข้าใจได้ทันที จึงหัวเราะหึหึอยู่ในใจ ผู้หญิงพวกนี้เอาตนมาเดิมพันนี่นา อยากดูว่าตนจะฉลาดจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากร่างกายของสาวงามหรือไม่ ซุกซนกันจริงๆ

มีคนเข้ามาที่ร้าน คือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายของเขาก็มองออกว่าต้องเป็นคนมีเงิน แต่มีเงินมากน้อยเท่าไหร่ ถึงอย่างไรสตรีทั้งหลายในร้านยาก็มีชาติกำเนิดจากสังคมของชาวบ้านร้านตลาด สายตาจึงค่อนข้างตื้นเขิน มองไม่ออก ทว่าบุรุษชอบมองสาวงาม แล้วทำไมสตรีจะชอบมองผู้ชายที่หล่อเหลาบ้างไม่ได้?

เหล่าสาวงามในร้านยามีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสกันขึ้นมาทันที แต่ชายฉกรรจ์กลับห่อเหี่ยว พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเด็กตระกูลฟ่าน มาทำอะไรอีก?”

เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ท่าทางสกปรกมอซอ เด็กหนุ่มคนนั้นมีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็พยายามอดกลั้นความอึดอัดในใจ ใช้สองนิ้วคีบม้านั่งตัวเล็กมานั่งลงข้างกายชายฉกรรจ์ ถามเสียงเบา “อาจารย์เจิ้ง บิดาให้ข้ามาถามว่า เมื่อไหร่ท่านถึงจะสามารถสอนวิชาหมัดให้ข้าได้อย่างเป็นทางการ?”

ชายฉกรรจ์ตอบอย่างขอไปที “เจ้าเด็กฟ่าน เลื่อนจากขอบเขตสามไปขอบเขตสี่จะรีบร้อนไม่ได้”

เด็กหนุ่มหน้าเจื่อน แต่ก็ไม่กล้าเร่งรัดอาจารย์เจิ้งท่านนี้

ชายฉกรรจ์คิดถึงข้อที่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบความรู้ที่ตนสอนให้เด็กหนุ่มคนนี้แค่งูๆ ปลาๆ มีค่าแค่ไม่กี่ตำลึง เทียบกับมูลค่าของร้านยาเมืองในร้านนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าและหกก็สามารถสอนเขาได้

—–