ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 152 หนุ่มน้อยเท้าเปล่ากับหญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่เผานภาเดิมทีเป็นวิชาลับ ถึงแม้เป็นผู้อาวุโสของบรรดาพรรคฉางเซิงต่างก็ใช้ไม่เป็น มีเพียงแค่ลูกศิษย์ของเขาหลีซานถึงจะแตะต้องได้ ทั้งชีวิตของเฉินฉางเซิงต่างไม่เคยไปเขาหลีซานมาก่อน แล้วเขาออกกระบวนท่านี้ได้อย่างไร สำหรับคนธรรมดาแล้วนั้น เรื่องนี้อยากที่จะอธิบายได้ จนกระทั่งสามารถกลายเป็นปริศนาที่ทำให้กลัดกลุ้มใจไปตลอดชีวิต แต่เวลานี้บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในหอประจักษ์อักษร ผู้รู้เรื่องราวมานมนานมากกว่าคนทั่วไป จึงใช้เวลาครุ่นคิดไม่นาน พลันคิดถึงเรื่องเมื่อหลายร้อยปีขึ้นมาได้ ในการต่อสู้ทัดทานกับเผ่ามารได้เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น เรื่องนั้นอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มิได้เป็นเรื่องที่สะดุดตา ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อเรื่องราวในภายหลังอย่างยิ่ง

หลังจากเรื่องนั้น เคล็ดวิชารวบยอดของพรรคกระบี่หลีซาน ถูกส่งไปยังเมืองไป๋ตี้

“ตามสัญญาในปีนั้น เคล็ดวิชากระบี่หลีซานถูกเผ่าพันธุ์ของจักรพรรดิขาวรักษาไว้ มิให้แพร่งพรายสู่ภายนอก แล้วเฉินฉางเซิงจะร่ำเรียนได้อย่างไรเล่า”

“เพราะว่าเฉินฉางเซิงเป็นอาจารย์ขององค์หญิงลั่วลั่ว”

“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ เช่นนี้แล้วก็เปรียบดังว่าในภายภาคหน้า นักเรียนของสำนักฝึกหลวงก็สามารถเรียนวิชาเพลงกระบี่หลีซานได้รึ”

“องค์หญิงคิดว่าได้ นั่นก็ได้ ถ้าหากพรรคกระบี่หลีซานไม่เห็นด้วย ก็เชิญไปคุยเหตุผลกับจักรพรรดิขาวเถิด”

“ไม่เอ่ยถึงเพลงกระบี่…เฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วชำระล้างกระดูกอย่างไร ร่างกายแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ ไม่ต้องอาศัยศาสตราวิเศษและอาวุธใดๆ ก็ยากที่จะทำลายและป้องกันได้ เขาไปพบเจอสิ่งมหัศจรรย์อันใดมาหรือ”

ในตำหนักประจักษ์อักษรสายตาจำนวนมากที่เต็มไปด้วยคำถามร่วงหล่นมายังใต้เท้ามุขนายก ในใจครุ่นคิด หรือว่าสำนักการศึกษากลางใช้วิธีลับบางอย่าง

ใต้เท้ามุขนายกมิได้เอ่ยสิ่งใด บนโลกขณะนี้มีคนเพียงสามท่านที่อาจจะล่วงรู้ว่าเฉินฉางเซิงไปพบเจอสิ่งใดมา เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ม่ออวี่ก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ เหมือนกับก่อนหน้าที่นางเคยคิดมาแล้ว นางทราบดีว่าลั่วลั่วพักอาศัยอยู่ในสวนร้อยหญ้ามาตลอด เฉินฉางเซิงจะต้องรู้จักยาสมุนไพรที่หายากมีคุณค่าเป็นแน่ นางยังรู้อีกว่า นักพรตจี้ อาจารย์ของเฉินฉางเซิงเป็นแพทย์ที่เก่งกาจของต้าลู่ ชำนาญในการปรุงยา แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้

เซวียสิ่งชวนได้คิดไปถึงโจวตู๋ฟูอีกครา ทว่าเพียงชั่วครู่จึงสั่นศีรษะ ตนไม่ต้องคาดเดาไปเช่นนี้ เพราะว่าการคาดเดานี้เหลวไหลเกินไป ไม่อาจเป็นจริงได้

การสอบใหญ่นับว่าเป็นหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของต้าลู่ แต่สำหรับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่แล้วนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญของการสอบใหญ่ก็คือคัดเลือกคนที่มีพรสวรรค์ ความหมายที่แท้จริงก็เพื่อภายภาคหน้า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องมองในระยะประชิด กลับสามารถนั่งสงบนิ่งในตำหนักประจักษ์อักษร ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านก็เอ้อระเหยลอยชายกว่าจะมาได้

อย่างไรก็ตามการสอบใหญ่ในปีนี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงและเหนือความคาดหมายยิ่งนัก โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยังมิได้ลงมือ องค์หญิงลั่วลั่วรอบแรกในสนามก็ไม่มีโอกาสได้แสดงพลังที่แท้จริงของตนออกมา เจ๋อซิ่วยังคงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้า พวกเขาก็ไม่อาจนั่งอยู่บนเก้าอี้ได้สงบนิ่งอีก

ม่ออวี่ยืดตัวลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ข้าจะต้องไปดูเสียหน่อย”

เซวียสิ่งชวน สวีซื่อจี และยังมีผู้ยิ่งใหญ่ในตำหนักอีกจำนวนมาก ต่างก็ยืนขึ้นแล้วออกจากตำหนักประจักษ์อักษร มุ่งไปยังตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ เตรียมที่จะเข้าไปในโลกใบไม้ครามเพื่อมองการสอบใหญ่ในระยะใกล้

คนได้ออกไปแล้วในตำหนักก็ว่างเปล่า เหลือเพียงแค่เหมยหลี่ซาเพียงลำพัง

ใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลางผู้นำของอำนาจเก่าในนิกายหลวงผู้นี้ ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นเชื่องช้า จ้องมองพื้นที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายในกระจก ประหนึ่งจ้องมองหนุ่มน้อยผู้นั้นก่อนหน้านี้ เขาเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด ใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าโศกเศร้าหรือว่ายินดี และก็ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนยิ่งนัก

หลายเดือนก่อนหน้านี้การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนสุดท้าย เฉินฉางเซิงถูกม่ออวี่ขังในสวนรกร้าง จากนั้นเขาเดินเข้าไปในสระมังกรดำด้วยตนเอง เรื่องราวเหล่านี้เขาก็ได้ล่วงรู้ เขารู้จนถึงขนาดว่าค่ำคืนนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังมองอยู่ เพียงแค่ค่ำคืนนั้นเขาไม่รู้ว่าหลังจากที่เฉินฉางเซิงพบกับมังกรดำที่ด้านล่างแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น

ตอนนี้มองแล้ว เรื่องราวที่แท้จริงคงจะเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้

อาบโลหิตมังกรแล้วเกิดใหม่รึ ใบหน้ายิ้มของใต้เท้ามุขนายกแฝงไว้ด้วยความหมายยากจะเข้าใจออกมาแวบหนึ่ง

คาดไม่ถึงมังกรดำตัวนั้นจะมอบสิ่งแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางต้องการสิ่งใดจากร่างกายของเจ้ากันแน่

สำหรับเฉินฉางเซิงที่จะเอาประกาศแรกอันดับแรก ที่จริงแล้วเดิมทีเขาไม่ได้โอบอุ้มความคาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น การประกาศที่ทำให้ทั่วทั้งต้าลู่ตกตะลึง เพียงแค่เขาให้ความกดดันแก่เฉินฉางเซิงอีกคราเท่านั้นเอง

มีเพียงแค่แรงกดดัน ถึงจะทำให้เฉินฉางเซิงเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ขณะนี้ ในการกระทำของเฉินฉางเซิง สุดท้ายแล้วเขาได้มองเห็นความหวัง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แสงริบหรี่ ความเป็นไปได้จะมีน้อยยิ่งนัก แต่สุดท้ายแล้วก็มีความหวัง

แล้วเหตุใดจะไม่ปลื้มปีติยินดีได้เล่า

หอชำระธุลีเปิดออก เฉินฉางเซิงเดินออกมา

การต่อสู้รอบแรกเมื่อเขาเดินออกมา รองเท้าข้างขวาได้พังยับเยิน ครั้งนี้ รองเท้าทั้งคู่ของเขาล้วนแต่แตกละเอียดหมดสิ้น

เท้าทั้งคู่ของเขาเปลือยเปล่า ยืนอยู่บนบันไดหิน ชุดสำนักฉีกขาดหลุดลุ่ย มองแล้วเหมือนขอทาน

แต่ไม่มีผู้ใดเห็นเขาเป็นขอทานจริงๆ ครั้งนี้ ผู้คนตกตะลึงจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักบวชพระราชวังหลีประกาศว่าฮั่วกวงได้รับบาดเจ็บสาหัสตามมา ก็เหมือนกับหลังจากซูม่ออวี๋ถูกส่งไปรักษาตัวที่ตำหนักศึกษา ความรู้สึกตกตะลึงก็มาถึงระดับสูงสุด ก่อนหน้านี้ในสายตาของนักบวชพระราชวังหลีผู้อาวุโสมีเพียงแค่เจ๋อซิ่วที่คู่ควรจะทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คิดไม่ถึงว่า เฉินฉางเซิงก็สามารถกระทำได้

ปัญหาอยู่ตรงที่ เขาทำได้อย่างไร

กวนเฟยไป๋ไม่เข้าใจยิ่งนัก จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกประหลาดใจ “เจ้าเด็กคนนี้เมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยยังเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดา นี่เป็นเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้แล้วหรือ”

โก่วหานสือเอ่ยตอบ “ข้าเคยบอกแล้ว เขามิใช่คนธรรมดา”

สายตาที่ตกตะลึงของผู้คน เคลื่อนไหวไปตามเขาจนมาถึงข้างชายป่า

เซวียนหยวนผ้ายิ้มเจื่อนๆ เดินออกไปต้อนรับเขา

เฉินฉางเซิงมองเขาที่ฝืนยิ้มออกมา พลางเอ่ยว่า “ช่วยพยุงหน่อย”

ลั่วลั่วอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินท่าทางจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพิ่งจะรู้ว่าภายนอกที่มองแล้วไร้ปัญหา เดิมทีก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เดินก็ยังเหนื่อย จึงรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อพยุง

เดินมาถึงใต้ต้นหยาง เขานั่งลงอยู่ข้างๆ ถังซานสือลิ่ว ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าเจ็บปวด

อยู่ด้านในหอชำระธุลี เมื่อเขารวบรวมพลังหมัดเป็นลมฝนฉับพลัน ในทันทีทันใดได้รับหมัดทะลวงศึกทั้งเจ็ดหมัด

ถึงแม้ว่าร่างกายเขาจะแข็งแกร่งอย่างไร ก็คงจะได้รับความทุกข์ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าอกด้านขวาได้รับโจมตีอย่างหนัก กระดูกมิได้แตกหัก แต่ก็คงจะมีรอยร้าว

ถ้าหากเขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา หรือว่าชักกระบี่ออกมาโดยตรง ก็อาจจะเอาชนะได้ง่ายดายกว่านี้ คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ ก็เหมือนกับตอนที่ตัดสินใจเพียงแค่ชั่ววินาทีในสนาม จุดมุ่งหมายของเขามิใช่เพียงแค่ผ่านการต่อสู้สนามนี้ จุดมุ่งหมายของเขาก็คือเอาอันดับแรกที่แรกของการสอบใหญ่ เช่นนั้นเขาจะต้องเดินไปถึงการต่อสู้รอบตัดสิน จะต้องสงวนทุกอย่างเอาไว้

สำนักต้นไหวอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์มีแบบแผนอย่างยิ่ง อย่างน้อยพลังของฮั่วกวงก็อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นห้าสิบอันดับแรก แต่ว่าเขาเย่อหยิ่งเกินไป มิได้มีประสบการณ์ หรืออาจจะประมาทข้าศึก

เพื่อจุดมุ่งหมายสุดท้าย มีอันตรายบ้างก็คุ้มค่า

“จบแล้ว อยู่ตรงหน้าเจ้าข้าแหงนหน้าไม่ขึ้นเสียแล้ว”

ถังซานสือลิ่วต่อสู้กับเหลียงปั้นหูได้รับบาดเจ็บไม่น้อย พิงต้นหยางเพื่อปรับลมหายใจ มองเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านข้าง คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเข้าต่อสู้ถึงรอบที่สาม เดินมาไกลยิ่งกว่าตนเสียอีก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโมโห นำผลึกหินที่อยู่ในมือส่งในมือเขา พลางเอ่ยว่า “เจ้านี่ช่างโชคดีไม่น้อย”

ประโยคนี้จริงแท้ยิ่งนัก ฮั่วกวงจะเทียบกับเหลียงปั้นหูได้อย่างไร เฉินฉางเซิงยิ้มออกมา มิได้สนใจเขา มองใบหน้าเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของลั่วลั่ว กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ”

ลั่วลั่วเห็นเท้าทั้งคู่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลน จึงรีบหมุนกายไปหยิบรองเท้าคู่ใหม่มาวางไว้ข้างกาย จากนั้นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ

มองความหมายของนางแล้ว ก็คงจะเตรียมเช็ดเท้าเฉินฉางเซิงให้สะอาดสะอ้านเป็นแน่

เฉินฉางเซิงจะกล้าให้นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ยิ่งมิใช่หอตำราในสำนักฝึกหลวง นี่อยู่ในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช มีผู้เข้าสอบหลายสิบคน ยังมีนักบวชอาวุโสของพระราชวังหลีจำนวนมากกำลังจ้องมองมาทางนี้ เขาไม่อยากถูกความโกรธแค้นของผู้คนแผดเผาให้กลายเป็นเถ้าธุลี จึงรีบรับผ้าเช็ดหน้ามา

“องค์หญิง จากวิธีการต่อสู้ของเขา ท่านจะต้องจัดเตรียมรองเท้าไว้อีกหลายคู่”

ถังซานสือลิ่วตั้งใจนับ เอ่ยว่า “ยังมีอีกสี่รอบกว่าจะถึงรอบสุดท้าย อย่างน้อยท่านจะต้องเตรียมรองเท้าไว้อีกสามคู่”

เดิมทีเขาเอ่ยประโยคนี้เพียงแค่อยากจะเย้าหยอกอาจารย์ลูกศิษย์คู่นี้ คิดไม่ถึงว่าลั่วลั่วจะยิ้มเบิกบานขึ้นมา เอ่ยตอบ “เป็นจริงดั่งประโยคมงคลจากเจ้า”

ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าภายใต้จิตใต้สำนึกของตนคิดว่าเฉินฉางเซิงจะเดินไปถึงสนามสุดท้าย

“ไม่ต้องเตรียมรองเท้าแล้ว ไม่กี่สนามถัดไป ข้าจะพยายามไม่ต่อสู้จนเท้าเปล่า”

ไม่รั้งรอให้ถังซานสือลิ่วอธิบายอะไร เฉินฉางเซิงจึงเอ่ยขึ้นมา จากนั้นมองไปยังลั่วลั่ว กล่าว “การต่อสู้รอบนี้สละสิทธิ์เถิด”

อาจารย์มีคำสั่ง ศิษย์จะต้องเดินตาม แต่ไหนแต่ไรมาลั่วลั่วเชื่อฟังเขามาตลอด แต่ว่าครั้งนี้นางไม่เชื่อฟัง

“ไม่เอา”

คำตอบของนางเด็ดขาดแน่วแน่ยิ่งนัก ยังมีความเง้างอดของหญิงสาวหรืออาจจะกล่าวว่าแฝงไปด้วยความเง้างอด

“เจ้าสู้เขาไม่ได้” เฉินฉางเซิงมองไปยังเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่อยู่ไกลออกไป หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยต่อ “ซ้ำยังวันนี้เขาก็ทำให้ข้ารู้สึกอันตรายอย่างยิ่ง”

คนทั้งสามที่อยู่ข้างป่ามิได้สนใจคำที่เขาเอ่ยว่า ‘ก็’

วันนี้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสงบนิ่งยิ่งนัก สงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาดเป็นพิเศษ

เพราะเมื่อตัดสินจากเบื้องลึกเบื้องหลังทางบ้านของเขาแล้ว เขาไม่อาจสงบเสงี่ยมได้

ผู้เข้าสอบการสอบใหญ่ในปีนี้ นอกจากลั่วลั่วก็เป็นเขาที่มีฐานะลึกซึ้งน่าเกรงกลัว

อีกทั้งตามนิสัยของเขาแต่ไหนแต่ไรก็มิเกี่ยวข้องกับสงบเสงี่ยมเงียบขรึม ผู้ที่สงบเสงี่ยมคนหนึ่ง หลังจากกลับมาจากด่านยงเสวี่ยเรื่องที่ทำก็คงจะไม่ไปทำลายประตูของสำนักฝึกหลวงเป็นแน่

แต่วันนี้เขาสงบเสงี่ยมจริงๆ ตั้งแต่การสอบใหญ่เริ่มขึ้นจนกระทั่งขณะนี้ เขาเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดมาตลอด ยืนอยู่ในกลุ่มผู้เข้าสอบประหนึ่งเป็นผู้เข้าสอบธรรมดา แม้แต่ท่าทางต่างก็มิได้แสดงออกมา

มีคนจำนวนมากได้สังเกตเห็นความนิ่งเงียบของเขา เฉินฉางเซิงก็เช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่าอันตรายยิ่งนัก

หากเอ่ยว่าจากสายตาที่จ้องมองลั่วลั่วของหนุ่มน้อยเจ๋อซิ่วเผ่าหมาป่าผู้นั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็อันตรายอยู่ในอันดับที่สอง

เพราะว่าทั้งสองคนต่างก็มีพลังที่จะเอาชนะลั่วลั่วได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

เป็นหลานชายที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญที่สุด เขาไม่ได้อยู่ในเมืองจิงตูที่เจริญรุ่งเรืองเพื่อใช้ชีวิตแบบลูกหลานคนมีเงิน กลับไปต่อสู้กับเผ่ามารอยู่ด่านยงเสวี่ยที่ไกลโพ้น เป็นเพราะว่าเขาอยากจะแข็งแกร่ง

จากนั้นเขาก็ได้ข้ามผ่านขั้นความเป็นความตายที่ด่านยงเสวี่ย ทะลวงขั้นทะลวงอเวจีสำเร็จ

การสอบใหญ่ในปีนี้ เขากับโก่วหานสือทั้งสองเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด

ลั่วลั่วทราบดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย แต่ว่านางยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้ในสนามนี้

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น สายตาไปส่งนางด้านหน้าหอชำระธุลี ท่าทางหนักอึ้ง เป็นกังวลยิ่งนัก

ถังซานสือลิ่วแคะเปลือกต้นหยางที่แข็งออกมา โยนไปบนหัวของเขาอย่างแม่นยำ เอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงถึงเข้าร่วมการสอบใหญ่”