เนื่องจากต้องการช่วยให้ความจำของเสี่ยวชีกลับคืนมา มู่เฉียนซีจึงหาสถานที่ที่เงียบสงบเพื่อการปรุงยา นางนำหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ออกมา เรียกให้เสี่ยวหงช่วยจุดไฟให้เพราะเปลวไฟของเสี่ยวหงนั้นน่าทึ่ง ทั้งยังถือว่าเก่งกาจกว่าหินเหล็กไฟเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีหยิบเอาสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วนใส่เข้าไปในหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ นางปรุงยาขวดใหญ่ออกมาขวดหนึ่ง จากนั้นใช้เข็มจำนวนนับไม่ถ้วนสูบยาเหล่านั้นออกมาก่อนที่เข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนนี้จะพุ่งไปที่ด้านหน้าของเสี่ยวชี
มู่เฉียนซีกล่าว ใบหน้าทาบทาความเคร่งขรึมเต็มสิบส่วน “เจ็บเพียงเล็กน้อย เจ้าอดทนเอาหน่อยก็แล้วกัน”
— ฟึ่บ! —
เข็มยาเหล่านี้ฉีดเข้าไปที่ร่างของเสี่ยวชีโดยตรง ร่างกายของเขาไม่เจ็บปวด ทว่าหัวสมองของเขาในเวลานี้นั้น ราวกับกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว
ใครใช้ให้เขาความจำเสื่อม มีปัญหาทางสมองเช่นนี้กันเล่า ?!
ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดราวจะขาดใจเพียงใด ทว่าเสี่ยวชีนั้นยังคงกัดฟันสู้โดยที่ไม่เปล่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงที่ตื่นเต้นพลันดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่ ข้าเหมือนได้กลิ่นหอมยา ข้าได้กลิ่นหอมยาจริง ๆ หรือว่าจะมีคนปรุงยาอยู่ที่นี่ ?”
“เจ้าโง่! เป็นไปไม่ได้ ผู้ใดจะมาปรุงยาในเทือกเขาชีชงแห่งนี้กันเล่า เจ้าบ้าไปแล้วรึ ?”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณที่มู่เฉียนซีกำลังปรุงยา นำมาด้วยสตรีในอาภรณ์งามสีชมพู และบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาวซึ่งเป็นผู้นำ ข้างหลังพวกเขามีองครักษ์ส่วนหนึ่งติดตามมา มีทั้งผู้มีพลังวิญญาณระดับราชาและระดับจักรพรรดิ
สายตาของสตรีผู้นั้นมองมู่เฉียนซี นางกล่าวอย่างตระหนกตกใจ “เจ้าเป็นนักปรุงยารึ ?!”
แต่ในขณะที่สายตาของนางมองไปที่ขวดยาในมือของมู่เฉียนซี ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก นางกล่าวด้วยความโกรธเพราะนางรู้สึกว่าตนเองถูกหลอก “อะไรกัน ?! เจ้าไม่ใช่นักปรุงยาแต่เป็นเพียงแค่หมอยาไร้คุณธรรม แสร้งทำเป็นนักปรุงยาแห่งเทือกเขาชีชง”
มู่เฉียนซีไม่อยากสนใจแมลงหวี่แมลงวันเหล่านี้ นางมองเพียงแต่เสี่ยวชีที่กำลังดิ้นรนเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่เท่านั้น
สตรีผู้นั้นมองเสี่ยวชี นางเห็นเส้นเอ็นของเขากระตุกอย่างบ้าคลั่งก็ยิ่งทวีความโกรธขึ้น “เจ้าหมอยา แม้กระทั่งผู้ใต้บัญชาของตัวเองเจ้าก็เอาเขามาเป็นหนูทดลองยา รูปงามแท้ ๆ แต่สติฟั่นเฟือนยิ่งนัก เหอะ!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองสตรีปากกล้าวาจาร้ายผู้นั้น มีหรือนางจะยอมแพ้ นางแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา
“หนวกหู!”
พลังความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดาเลย หากฝ่ายตรงข้ามไม่หาเรื่องนางก่อน นางก็จะไม่ล้ำเส้นพวกเขา แต่สตรีปากร้ายผู้นี้ เพียงเห็นว่านางไม่ใช่นักปรุงยามือฉมังแห่งเทือกเขาชีชง ก็เอาแต่กล่าววาจาเหน็บแนมถากถาง ตำหนินางอยู่ไม่ยอมเลิกรา
มู่เฉียนซีไม่อยากสนใจหมาบ้าตัวนี้ อีกไม่นานความทรงจำของเสี่ยวชีก็จะกลับมาเป็นปกติแล้ว นางจะต้องเก็บหม้อเทพปาฮวางชิงมู่และออกไปจากตรงนี้
สตรีปากร้ายผู้นั้นหันไปมองหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นราวกับเห็นคนรักในความฝันก็มิปาน นางกล่าวด้วยความตื่นเต้น “อ๊า! หม้อยานั่นไม่เลวเลย ข้าชอบ เจ้าบอกราคามา ข้าจะซื้อมัน”
“ไม่ขาย” น้ำเสียงของมู่เฉียนซีเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
คุณหนูใหญ่ผู้นี้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าไม่ใช่นักปรุงยาเสียหน่อย หากหม้อยานี้อยู่กับเจ้ามีหวังต้องเสียหายเป็นแน่ เจ้าทำให้มันเลอะฝุ่นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรกับมันแล้วรึ ?”
“ตอนที่ข้าอายุสิบห้าปี ข้าก็ได้เป็นนักปรุงยาระดับต่ำแล้ว ข้ามีพรสวรรค์สูงส่ง ข้าเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับหม้อยานี้”
“เจ้าเหมาะสมรึ ?” มู่เฉียนซีมองสตรีปากร้ายผู้นั้นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางแสยะยิ้มและมองด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงอันตราย
บุรุษหนุ่มชุดขาวที่ยืนข้างสตรีผู้นั้นรับรู้ได้ว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้าที่ใบหน้างามอย่างไร้คำบรรยายผู้นี้ก็เป็นนักปรุงยาเช่นกัน จะบอกว่าเป็นเพียงปรมาจารย์ภูตมาเดินลัดเลาะที่เทือกเขาชีชงนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
เขาดึงสตรีชุดชมพูไว้ก่อนจะกล่าวเสียงเครียด “ศิษย์น้อง ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย”
ทว่าสตรีชุดชมพูผู้นี้ไม่มีท่าทีจะยอมลดละ “แต่หม้อยาเหล่านั้นที่ท่านอาจารย์ให้ข้าไม่มีหม้อใดที่ถูกใจข้าเลย ข้าอยากได้หม้อใบนี้”
“หนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทองคำ จะขายหรือไม่ ?” สตรีชุดชมพูใช้เงินล่อมู่เฉียนซี
“เหอะ ๆ หนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทองคำงั้นรึ ? กระจอกจริง ๆ” มู่เฉียนซีได้ยินก็หัวเราะออกมา “เงินทองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เจ้าคิดว่าจะอยู่ในสายตาข้าหรือ ?”
ความมั่งคั่งของตระกูลมู่นั้น มิได้เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหรือตระกูลเศรษฐีใดจะจินตนาการได้ หนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทองคำยังเทียบกับค่ายาหนึ่งเม็ดของนางไม่ได้เลย
“เจ้าช่างโลภมากยิ่งนัก หนึ่งล้านสองแสน!”
มู่เฉียนซีโบกมืออย่างรำคาญใจ “ต่อให้เจ้านำเอาทรัพย์สินเงินทองทั้งตระกูลมาซื้อข้าก็ไม่ขาย”
เวลานี้เสี่ยวชีไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแล้ว และในหัวสมองของเขาก็เริ่มปรากฏข้อมูลบางอย่างขึ้น… ข้อมูลเหล่านี้เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณและการสังหาร โหดร้ายราวกับต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในนรก
— ปัง! —
ครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็แผ่จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังผงะไป พวกเขามองร่างสีเทานั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“โอ้! พลังจิตสังหารนี้ เจ้าหนุ่มชุดเทานั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
“เจ้าหนุ่มผู้นั้นเพิ่งจะอายุไม่กี่ปี เขากลับมีจิตสังหารแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าก็เพิ่งจะเคยเห็น”
สตรีผู้นี้ที่เดิมทีคิดว่ามู่เฉียนซีเอาเสี่ยวชีเป็นหนูทดลองยา สีหน้านางซีดเผือด นางมองเสี่ยวชีพลางกล่าว “ตัวประหลาด เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นตัวประหลาด ฆ่าเขาซะ!”
นางไม่ชอบใจเลย หากเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เขาจะมีจิตสังหารที่ทำให้นางกลัวจนร่างสั่นเทาเช่นนี้ได้อย่างไร ?!
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังนาง เมื่อได้ยินคำสั่งของคุณหนูใหญ่เช่นนี้แล้ว ต่อให้เจ้าเด็กหนุ่มชุดเทาผู้นี้จะมีจิตสังหารอันแรงกล้าที่น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงปรมาจารย์ภูต คิดจะสังหารเขาคงไม่ใช่เรื่องยาก
— ฟึ่บ! —
ขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าหาเสี่ยวชีนั้น กระบี่ของเสี่ยวชีก็เริ่มลงมือตอบโต้
— ฟั่บ! —
เลือดสดสีแดงซ่านพุ่งกระเซ็นออกมา แต่เลือดนี้ไม่ใช่เลือดของเสี่ยวชี ทว่ากลับเป็นเลือดขององครักษ์เหล่านั้น
เสี่ยวชีกลายเป็นเครื่องมือสังหารที่สมบูรณ์แบบไปแล้ว ความทรงจำในหัวของเขาทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเครื่องจักรแห่งการการฆ่าสังหารอย่างบ้าคลั่ง ภายในชั่วพริบตาเดียว เขาทำให้คุณหนูใหญ่หวาดกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง
“รีบหนี! รีบพาข้าหนีประเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!”
ภายใต้การสังหารที่บ้าคลั่งและแข็งแกร่งของเสี่ยวชีนี้ ทำให้องครักษ์เหล่านั้นเลือกที่จะรีบพาคุณหนูใหญ่ของตนหลบหนีไป หากคุณหนูใหญ่บาดเจ็บขึ้นมาแม้แต่ปลายเล็บมือ มีหวังพวกเขาคงจะรับผิดชอบไม่ไหวแน่นอน
พวกเขาล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไร้เหยื่อแล้ว เสี่ยวชีก็มองมู่เฉียนซีด้วยสายตาว่างเปล่า ทว่าจิตสังหารของเขานั้นยังคงอยู่
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วก่อนจะกล่าวถาม “อะไรรึ ? แม้แต่ข้า เจ้าก็จะฆ่าทิ้งเช่นนั้นรึ ?”
พลังของพันธสัญญานั้นทำให้เสี่ยวชีกลับมามีสติอีกครั้ง เขาคุกเข่าพลางกล่าว “ไม่ขอรับนายท่าน”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ดี เวลานี้ความจำของเจ้ากลับคืนมาแล้ว และเจ้าเป็นคนของข้า เจ้าพอใจหรือไม่ ?”
“ข้าเป็นกระบี่มือสังหารมาโดยตลอด จะเป็นกระบี่ของผู้ใดนั้นก็ไม่ต่างอะไรกัน” เสี่ยวชีกล่าวสีหน้าหมองหม่น
“กระบี่มือสังหารรึ ? บอกข้ามาว่าในความทรงจำของเจ้ามีอะไรบ้าง ?”
หลังจากที่ได้ฟังคำกล่าวของเสี่ยวชีแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้รู้ว่าตนเองประสบกับปัญหาใหญ่เข้าแล้วนั่นก็คือกลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งของเซี่ยโจว หออสูรทมิฬ
เสี่ยวชีเป็นกระบี่มือสังหารที่ผู้นำหออสูรทมิฬตั้งอกตั้งใจอบรมสั่งสอนมาเป็นพิเศษ เพราะเขามีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์
ในขณะที่ผู้นำหออสูรทมิฬคิดจะใช้ทักษะลึกลับเพื่อทำให้เสี่ยวชีกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายก็โดนทรยศหักหลังจับตัวเขาไปและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสก่อนจะทิ้งเขาไว้ในเทือกเขาชีชงอย่างไม่ใยดี
ทว่าเคราะห์ดี เขาได้รับความช่วยเหลือจากหลางเทียน
มู่เฉียนซีมองเสี่ยวชีที่อยู่ตรงหน้านาง นางกล่าวขึ้น “ข้ามีกระบี่ของข้าอยู่แล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ใช่กระบี่มือสังหาร เจ้าคือมนุษย์คนหนึ่ง”
“ขอรับ”
“เพียงแต่… สถานะของเจ้านั้นค่อนข้างที่จะลำบากสักหน่อยหากอยู่กับข้า” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงต่ำ