บทที่ 210 ยาฟื้นฟูเก้าโคจร

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 210 ยาฟื้นฟูเก้าโคจร

พอแอนเดอร์สันได้ยินฟางหนิงแจ้งว่าจะปรับเปลี่ยนแผนเป้าหมาย เพิ่มการแข่งขันขึ้นอีกหนึ่งรายการในมิติในตำนานก็นิ่งไปก่อนตอบรับอย่างสบายๆ

ฟางหนิงเคยเป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน เข้าใจเรื่องคำขอปรับแก้ประสาทๆ พวกนี้ดี และเขาก็เป็นคนใจอ่อน ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ยากพอควร แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ต้องใช้ นายค่อยๆ ใส่มันลงไปในแผนเดิมก็พอ”

เมื่อแอนเดอร์สันได้ยินสีหน้าพลันดูซับซ้อน ก่อนผงกศีรษะตอบรับ

เขาพูดอยู่ในใจว่า นายท่านผู้นี้เป็นคนขี้สงสารจริงๆ ด้วย เมื่อก่อนตอนที่ตัวเองมอบหมายงานให้พวกลูกน้องไม่เคยสนใจใยดีความยากง่ายมาก่อนเลย มักทิ้งไว้แค่ประโยคเดียวเท่านั้นว่า ฉันต้องได้พรุ่งนี้เช้า…

เมื่อมอบหมายงานนี้เสร็จ ในที่สุดเทพแห่งระบบก็เลิกจมจ่อกับเรื่องจะหลอมหนังสือเกมที่รักเสียที ฟางหนิงจึงเบาใจลง

การแข่งขันจบลง อัศวิน A กลับไปยังห้องพัก ครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ได้รับเช็คจำนวนหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ที่ผู้จัดอันดับมืดส่งคนมามอบให้

มีแค่ค่าลงสนาม ไอเทมของขวัญก็ไม่มีให้ ดูท่าคงตัดความคิดที่จะเชิญอัศวิน A มาร่วมการแข่งขันไปแล้ว…

เทพแห่งระบบที่ได้รับเงินแล้วย่อมไม่ยอมเสียเวลาอีก ได้แล้วก็คิดจะจากไปทันที ทว่าพลันมีเสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้น

อัศวิน A โบกมือประตูก็เปิดออกเอง ผู้สูงวัยซึ่งเป็นคนขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา

รูปร่างค่อนข้างท้วม ใบหน้ายับย่น หัวล้าน แต่ก็ยังมีเส้นผมสีขาวไม่กี่เส้นที่ยังคงยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวราวกับประกาศกร้าวว่านี่ยังไม่ใช่ “หัวล้าน”…

“สวัสดีครับ ผมควรเรียกท่านว่าท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณใช่ไหม” ตาเฒ่าหัวล้านสีหน้าดูกังวล

เขาพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว ฟังดูแล้วไม่แพ้แอนเดอร์สันเลย

เมื่อมีเค้าลางยุคฟื้นฟูพลังชีวิต หลายคนก็ตระหนักถึงประเทศใหญ่ๆ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานว่าจะผุดโผล่ขึ้นมาอย่างแน่นอน ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของพวกเขา

ฟางหนิงถูกเทพแห่งระบบผลักออกมารับแขก จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าเอง ท่านผู้เฒ่ามีอะไรจะชี้แนะเหรอ”

เมื่อตาเฒ่าซึ่งเป็นคนขาวได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของอีกฝ่ายก็รู้สึกคลายกังวลไปไม่น้อย

เขารู้มาจากข้อมูลก่อนแล้วว่าท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณผู้นี้เป็นคนที่เข้าถึงง่ายที่สุดในบรรดาผู้แข็งแกร่งตอนนี้ มักปรากฏตัวอยู่ตามตรอกซอกซอย ตลาดเกษตร อีกทั้งยังขยันกว่าสไปเดอร์แมนและแบทแมน

เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ผมชื่อดีแลน เทร์รี ท่านเรียกผมว่าดีแลนก็พอ ครึ่งชั่วโมงก่อนผมยังเป็นหนึ่งในสามของกรรมาธิการผู้ดำเนินงานการแข่งขันจัดอันดับมืด ตอนนี้เป็นอดีตกรรมาธิการผู้ดำเนินงานแล้ว ที่มาที่นี่เพราะอยากพบท่านเทพด้วยตาตัวเองสักครั้งก่อนจากไป ตอนนี้เห็นแล้ว ท่านเทพยังดูน่าเกรงขาม เหมือนทูตแห่งความยุติธรรม ผมก็จากไปได้อย่างสบายใจแล้ว”

เมื่อฟางหนิงได้ยินคำว่า “อดีต” ก็พอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็นเพราะเกิดเหตุขึ้นติดๆ กัน ระดับสูงจึงถูกไล่ออก

เขาพยักหน้า “คุณดีแลนชมเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเหรอ”

ดีแลนได้ยินก็ยิ้มขืนๆ ตอบว่า “อืม เรื่องนี้ก็ควรแจ้งท่านเทพให้ทราบไว้ก่อน เมื่อครู่ผมกับกรรมาธิการอีกสองคนพูดคุยกันว่าจิตใจผดุงคุณธรรมของท่านเทพแทบจะอยู่ในสายเลือด ขอเพียงอีกฝ่ายมีพื้นเพชั่วร้าย คาดว่าคงไม่มีทางปล่อยให้รอดไปได้แน่ เมื่อครู่หลังจากแจ้งแก่คณะกรรมการบริหาร พวกเขารู้สึกว่ากระทบต่อการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจจะเลิกเชิญท่านเทพมาอีกแล้ว พวกเขาบอกว่าไม่สนใจว่าผู้เข้าแข่งขันจะดีหรือชั่ว สนใจก็แต่การแข่งขันจะดำเนินไปตามปกติได้หรือไม่ จะดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้นได้หรือไม่เท่านั้นเอง”

ฟางหนิงได้ฟังก็พยักหน้าน้อยๆ โลกนี้คนฉลาดมีถมเถไป เรื่องแค่นี้มองไม่ออกสิแปลก

เขาเตรียมใจไว้แล้ว พอได้ยินจึงไม่แปลกใจ เพียงแต่ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเขาเลยไล่คุณออกเหรอ แต่เรื่องนี้ก็เป็นอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกผู้จัดงาน ไม่ควรเป็นเช่นนี้”

ดีแลนหัวล้านถอนหายใจ รู้สึกแอบเสียใจ “ผมขอลาออกเอง เพราะจากคำตอบของคณะกรรมการบริหาร ผมว่าการแข่งขันจัดอันดับมืดนี้กำลังจะกลายเป็นสวนสนุกของพวกชั่วช้า ค่าลงสนามที่สูงลิบพวกนั้น ยังมีพวกของขวัญไอเทมลับหายาก พวกนี้เป็นแหล่งที่จะทำให้พวกมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทั้งนั้น

“ผมก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่อยากจะกลายเป็นผู้สมคบคิด แต่ผมยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ไปต่อต้านพวกเขาไม่ไหว เลยเลือกลาออกแทน แต่เกรงว่าพวกผู้ถือหุ้นการแข่งขันผู้วิเศษคนอื่นๆ ก็คงมีความคิดทำนองเดียวกัน ผมคิดไปคิดมาก็คงได้แต่ไปหางานในพวกการแข่งขันของคนธรรมดาแล้วล่ะ”

ฟางหนิงได้ฟังก็รู้สึกนับถือ ตาเฒ่าผู้นี้มีขอบเขตของตัวเองอยู่ในใจ เขาไม่ต้องดูข้อมูลก็รู้ว่าแนวโน้มความดีความชั่วของเขานั้นเอนไปทางมีคุณธรรม

นี่ก็เป็นการเลือกของคนธรรมดา ไม่มีแรงต่อกรกับความชั่ว แต่ก็ไม่ร่วมทางไปกับความเลว

เขาขบคิดก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าก็มีงานเป็นการมอบโอกาสให้คุณได้ลงแรงเพื่อคุณธรรมได้เหมือนกัน”

หนึ่งวันผ่านไป ณ หุบเขาวิญญาณถ้ำราชาผี

หนอนเขียวยักษ์ “การแข่งขันจบไปแล้ว ต้องโทษพวกแกที่เหาะกันช้าเหลือเกิน นี่แค่หมื่นกว่าลี้ พวกแกดันใช้เวลาเหาะมา 7 ชั่วโมงกว่า พอมาถึงคนอื่นๆ เขาก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว” หนอนเขียวยักษ์บ่นไม่หยุด “บัดซบ รู้แต่แรกข้าเหาะมาเองคนเดียวแล้ว ไม่น่ารอพวกแกเลย”

ผู้อาวุโสกุ่ยต้าเหล่มองกุ่ยเอ้อร์โดยไม่พูดไม่จา

กุ่ยเอ้อร์พูดอย่างจนปัญญาว่า “ท่านหัวหน้าหนอนผู้ยิ่งใหญ่พลังเวทสูงล้ำ พวกผู้น้อยย่อมเทียบท่านไม่ติด แต่ว่านี่ก็โทษพวกเราไม่ได้ ข้าเพิ่งได้ข่าวมาจากฮัมมิงเบิร์ด ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณใช้หนังสือเทพจัดการศัตรูในคราเดียว เดิมทีต้องสู้กันถึง 8 ชั่วโมง ครั้งนี้ใช้ไปแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น”

หนอนเขียวยักษ์ตาเป็นประกาย “มิน่าเล่า เจ้านี่ถึงไม่กังวลเลยสักนิด ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขามีของดีเยอะ น่าเสียดายอาวุธวิเศษของข้าหายไปหมดแล้ว ถ้ายังอยู่ล่ะก็ สุ่มหยิบมาสักชิ้นก็พาพวกเจ้าเหาะไปได้แล้ว ในเมื่อมังกรเขียวไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจเขาแล้ว กุ่ยเอ้อร์ เจ้าไปดูสิว่าสำนักงานสัจธรรมมีภารกิจอะไรประกาศออกมาหรือเปล่า มังกรเขียวบอกไว้แล้วว่าให้ข้าพึ่งตัวเอง จะให้พวกเจ้าเลี้ยงดูเปล่าๆ ไม่ได้”

เมื่อผู้อาวุโสกุ่ยต้าได้ยินเช่นก็ปลื้มปริ่มยิ่งนัก ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณผู้นี้ช่างเอาใจใส่ผู้คนเหลือเกิน นายท่านผู้นี้เจริญอาหารจนน่ากลัว จากบัญชีที่ร้านอาหารตระกูลฟางเคยแจ้งไว้ ไม่มากไม่น้อย สามสิบล้านพอดิบพอดี นี่แค่สำหรับมื้อเดียวเท่านั้น

คิดจะเลี้ยงดูอีกฝ่าย ราชาปีศาจคงได้ลากเลือด ปีหนึ่งต้องกินเงินสมาคมเท่าไรกัน…

กุ่ยเอ้อร์ยิ่งดีใจ พระโพธิสัตว์ปิดด่าน ด้วยเป็นหน่วยความร่วมมือของสำนักงานสัจธรรม แต่ไม่ได้รับความเชื่อถือ ด้วยเป็นผู้มีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในทางใต้ แต่กลับขาดอำนาจปราบปราม ช่วงนี้แต่ละวันผ่านไปอย่างลำบาก

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เกิดใหม่ให้กำเนิดหนอนที่ทรงพลังท่านนี้ออกมาได้ แต่ดันเป็นเจ้านายที่ไม่ได้ความ โชคดีที่ตอนนี้มีท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณควบคุมมันได้อยู่

เขาจดจำภารกิจต่างๆ ได้ขึ้นใจหมดแล้ว เมื่อได้ฟังจึงตอบว่า “มีเรื่องที่ต้องให้ท่านออกหน้าพอดีเลย เมืองคั่วหลวนทางเหนือที่อยู่ใกล้เขตแดนประเทศเสินโจว กุ่ยฟาง หลัวซาทั้งสามประเทศนี้ ปีที่แล้วเริ่มมีพวกปีศาจปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นมีราชาผีที่แกร่งกล้ามาก ความสามารถอยู่ขั้นสูงสุดของระดับ B ได้ยินมาว่าใกล้เลื่อนขั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ปิดด่านยากจะปลีกตัว จึงไม่ได้ไปกำราบ”

“โชคดีที่ราชาผีตนนี้ไม่ก่อความวุ่นวาย ยังไม่ชักนำให้เกิดความโกลาหล เนื่องจากสำนักงานสัจธรรมอยู่บนจุดยืนของทางการ ไม่สามารถทำอะไรให้โหญ่โตในแถบนั้นได้ จึงได้ส่งมอบเรื่องนี้ให้กับหน่วยความร่วมมือไปตั้งนานแล้ว มีค่าตอบแทนเจ็ดสิบล้านแล้วก็ยาลูกกลอนธาตุหยิน ถ้าพวกเราปราบราชาผีนี้ได้ เชื่อว่าพระโพธิสัตว์จะต้องดีใจแน่ๆ”

หนอนเขียวยักษ์ได้ยินก็พูดอย่างตกตะลึง “เจ็ดสิบล้าน ! พอให้ข้ากิน…”

พูดถึงตรงนี้ มันก็หยุดชะงักอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนรีบกางขาหลายขาของตัวเองออกมานับ สุดท้ายจึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หนึ่งมื้อสามสิบล้าน โอ้ เช่นนั้นก็กินอิ่มได้สองมื้อครึ่ง ดีมากๆ พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย”

พูดจบมันก็เหาะไปทางนอกถ้ำทันทีพลางพึมพำไปด้วยว่า “จะให้คนอื่นแย่งค่าอาหารข้าไปไม่ได้เชียว ตอนนี้ข้าสงสัยอย่างหนักว่าพ่อข้าเลี้ยงข้าไม่ไหวถึงได้หลอกข้าลงมา ไม่อย่างนั้นแม้ประชากรบนสวรรค์ของเราจะน้อย แต่เหนือข้าขึ้นไปยังมีพี่สาวลูกพี่ลูกน้องอีกสอง ทำไมไม่ให้พวกนางลงมาก่อนเล่า”

ผู้อาสุโสยิ้มขมขื่น สองมื้อ เจ็ดสิบล้าน นี่เจ๋งกว่าท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณตั้งเยอะ แม้ผู้อื่นจะกินเยอะ แต่ปกติกินมื้อเดียวก็ไม่กินไปอีกหลายเดือนนะ

กุ่ยเอ้อร์ได้ยินกลับตะลึงงัน เคยได้ยินพระโพธิสัตว์เล่าว่าบนสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาล แต่ฟังจากที่ท่านหัวหน้าหนอนพูด ดูแล้วก็ไม่ได้ร่ำรวย เขาแข็งแกร่งมากขนาดนี้ หาคนเลี้ยงดูยากเหรอ ถึงท่านหัวหน้าหนอนจะต้องกินอาหารที่มีปราณกำเนิด แต่ในเมื่อบนโลกยังกินอิ่มได้ ไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าบนสวรรค์เลี้ยงดูไม่ไหว

ด้วยอุปนิสัยของเขาแล้ว ไม่ควรจะลงมาบนโลกตามลำพัง บิดาผู้ทรงพลังผู้นั้นของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ

เพียงแต่เขาไม่เอ่ยปากถามหรอก ได้แต่เก็บมันไว้ในใจเท่านั้น

ณ ห้องที่ดูเรียบง่ายห้องหนึ่งในชั้นใต้ดิน

ไป๋ซื่อซินกำลังต้อนรับแขกอยู่ที่บ้าน

“ซื่อฟู่ ครั้งนี้ใช้หินแมกมามหาศาลใต้ดินสร้างศูนย์พลังงานความร้อนใต้พิภพได้สำเร็จ รากฐานพันปีของหนูยักษ์เราเสร็จสมบูรณ์แล้ว ล้วนเป็นเพราะนายเป็นคนนำพี่น้องคนอื่นๆ ไปดักซุ่มที่เมืองจี้ อาศัยทรัพยากรของมนุษย์ถึงได้แก้ปัญหาเทคนิคยากๆ พวกนั้นได้ อันตรายอย่างยิ่ง คุณูปการใหญ่หลวง

เชื่อว่าไม่นานหลังจากนี้ เมื่อเผ่าหนูยักษ์ของเราสร้างประเทศอันใหญ่โตในใต้ดินนี้ นายไม่รับตำแหน่งใหญ่ก็ต้องเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในกองทัพ ช่างน่ายินดีจริงๆ” ไป๋ซื่อซินชูแก้วสุราพลางกล่าวกับคนตรงหน้า

ไป๋ซื่อฟู่ บุรุษวัยกลางคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับไป๋ซื่อซิน เพียงแต่ใบหน้าคล้ำและดูแข็งกร้าวกว่ามาก

เขาชูแก้วตอบเช่นกัน “ขอบคุณพี่ซื่อซินที่ชื่นชม น้องชายขอขอบคุณไว้ตรงนี้ ครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะแผนกลยุทธ์ของพี่ซื่อซินที่มีจิตใจกว้าง คำนึงถึงส่วนรวม ไม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน หากก่อนหน้านี้น้องชายไม่รู้ความไปบ้าง ขอพี่ใหญ่โปรดให้อภัย”

ไป๋ซื่อซินยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเกรงใจ พี่น้องกันทั้งนั้น พวกเราต่างก็รับใช้ปรมาจารย์กันตั้งแต่บนสวรรค์ ตอนนี้ก็ยิ่งสมควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันถึงจะสร้างถิ่นของเราในโลกยุคใหม่นี้ได้”

เมื่อทั้งสองดื่มกันไปหลายแก้ว บรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้น

ไป๋ซื่อฟู่พูดขึ้นอีกว่า “น้องชายเป็นคนตรงๆ ได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่ใหญ่ไม่ค่อยดีเท่าไร เหมือนพี่สะใภ้จะไม่อยู่? ”

ไป๋ซื่อซินได้ฟังก็เงยหน้าดื่มอีกแก้ว ก่อนพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ไม่พูดเรื่องนี้ พวกมนุษย์ เมื่อก่อนล้วนเป็นพวกชีวิตสั้น ไม่เคยใช้ชีวิตยืนยาวมาก่อน ข้าคิดว่านางจะอยู่ด้วยกันไปตลอด คิดไม่ถึงว่านางจะจากไป”

ไป๋ซื่อฟู่พูดอย่างอัดอั้น “เป็นเพราะไอ้เนรคุณนั่นแท้ๆ มันชื่อเนี่ยยวนใช่ไหม ไอ้พวกตัวดีที่เกิดจากคนท้องถิ่น ถือว่าเป็นที่รักของปรมาจารย์ก็กล้าเหิมเกริมขนาดนี้ กล้าขโมย…! หมดแก้วนี้ ข้าจะไปฆ่ามัน! เชื่อว่าปรมาจารย์จะเห็นแก่ความดีความชอบของข้า ไม่ลงโทษหนักเกินไป”

ไป๋ซื่อซินรีบยื่นมือเข้าห้าม “น้องชายอย่าทำเช่นนี้ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ปรมาจารย์ได้สร้างกฎระเบียบตามพวกมนุษย์ไว้ เรื่องของชายหญิง ยึดตามความสมัครใจ จะใช้กฎบนสวรรค์อีกไม่ได้ ต้องโทษที่เส้นลมปราณข้าพังทลายไปหมด หยูกยาก็ยากจะช่วย ไร้พลังเวท ฝึกฝนใหม่ก็ไม่ได้แล้ว จิงเอ๋อร์อยู่กับปีศาจอย่างพวกเรา ต้องการความรู้สึกมั่นคงมากที่สุด แม้ข้าจะเป็นคนที่ปรมาจารย์ไว้ใจมาโดยตลอด แต่ก็หมดความก้าวหน้าในการฝึกแล้ว เป็แค่แหนลอยน้ำ นางจะไปก็เป็นเรื่องธรรมดา”

ไป๋ซื่อฟู่ได้ฟังก็พูดอย่างไม่เข้าใจ “ครั้งก่อนตอนที่พวกเราไปดูศูนย์พลังงานความร้อนใต้พิภพที่เพิ่งเสร็จด้วยกัน ได้ยินปรมาจารย์บอกว่าจะซื้อยารักษาให้พี่ใหญ่ หรือว่า…”

ไป๋ซื่อซินพูดขัดขึ้น “ปรมาจารย์ย่อมพูดได้ทำได้ ข้ากินยาฟื้นฟูเก้าโคจรไปแล้ว ต้องขอบคุณบุญคุณของท่าน อาการบาดเจ็บของเส้นลมปราณดีขึ้นมาก ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่น้อย ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยไอแล้วด้วย แต่ไม่รู้ทำไม ปราณมังกรขุมนั้นที่แอบซุ่มอยู่ในร่างกลับหยั่งรากลึก แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย”

ไป๋ซื่อฟู่ได้ฟังสีหน้าพลันเปลี่ยนไป นิ่งเงียบไม่พูดจา

ไป๋ซื่อซินก็เงียบไปเช่นกัน เขากำลังคิด หรือว่าปรมาจารย์จะมองแผนอันแยบยลของตนออกตั้งนานแล้ว ยาลูกกลอนที่ปรมาจารย์มอบให้เม็ดนี้ ก่อนที่เขาจะกินมันก็ได้ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ เลย เป็นยาชั้นดีอย่างแท้จริง

กินเข้าไปแล้วร่างกายดีขึ้นจริงๆ ชดเชยลมปราณกว่าครึ่งปีนี้ที่หายไปได้อย่างมาก แต่ทำไมถึงเป็นตัวช่วยเพิ่มพลังให้ปราณมังกรเพลิงวายุสองขุมนั้นด้วยนะ

ตนฝึกวิชามากว่าครึ่งปี พลังปราณค่อยๆ ลึกขึ้น เดิมทีก็พอฝืนควบคุมปราณมังกรเพลิงวายุไว้ได้แล้ว กำลังค่อยๆ สลายมัน เส้นลมปราณก็ดูจะฟื้นฟูได้ดี

แต่หลังจากที่กินยาฟื้นฟูเก้าโคจรลงไป ปราณมังกรเพลิงวายุที่เลื่อนลอยขุมนั้นกลับหยั่งรากลึกลงมา ยึดครองจุดตันเถียนของตน ไม่ว่าตนจะกลืนหรือคายปราณกำเนิดก็โดนมันแย่งไปเพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนไม่เหลือให้เลยสักนิด เกรงว่าพระโพธิสัตว์ราชาปีศาจก็คงจัดการกับสภาวะแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน นอกเสียจากจะสร้างกายเนื้อขึ้นใหม่ หรือไม่ก็ไปสิงร่างคนอื่น

ยามนี้ ไป๋ซื่อฟู่เอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่ซื่อซิน ข้าออกข้างนอกบ่อย ข่าวสารฉับไว ได้ยินว่ายาลูกกลอนที่ปรมาจารย์ให้ท่าน อัศวิน A เป็นผู้หลอมออกมาขายให้กับป๋ายเฉ่าเหมินในงานแลกเปลี่ยนสมบัติ”

ไป๋ซื่อซินลุกพรวด ก่อนทรุดนั่งอย่างหดหู่ เขาไม่มีพลังเวท ข่าวสารถูกปิดกั้น เพื่อเลี่ยงการตกเป็นที่สงสัยลูกน้องที่เคยมีจึงติดต่อกันน้อยมาก จึงไม่รู้ข่าวคราว

เขาได้ฟังก็เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้นี่เอง ปรมาจารย์จะมีน้ำใจรอให้ตนฟื้นฟูเส้นลมปราณได้อย่างไร มีแต่ที่ปรึกษาทางทหารที่พิการแล้วเท่านั้น เขาถึงจะใช้งานได้อย่างวางใจ

แต่ต่อให้ตนรู้ข่าวแล้ว จะไม่กินยาลูกกลอนนั้นได้เหรอ

เป็นไปไม่ได้ ปรมาจารย์ต้องสังเกตอย่างละเอียดแน่นอน ยาที่อัศวิน A นำออกขายย่อมเป็นของชั้นเลิศ หากไม่เกิดผลใดๆ ขึ้นกับร่างกายตนเองเลยก็เป็นเพราะตนไม่ได้กินมัน

อัศวิน A เป็นมังกรแท้ ยาลูกกลอนที่เขาปรุงย่อมช่วยให้ปราณมังกรเติบโตขึ้นเป็นธรรมดา ในร่างคนอื่นไม่มีปราณมังกรแฝงอยู่ ศูนย์คูณอะไรก็เป็นศูนย์ เมื่อกินลงไปก็ไม่มีผลข้างเคียงอันนี้ ย่อมไม่ต้องกังวล แต่สำหรับตัวเองนั้น มันก็คือดาวพิฆาต

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็กำหมัดแน่น

หากไป๋ซื่อซินสามารถเห็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของ “ยาฟื้นฟูเก้าโคจร” ได้ก็คงไม่สงสัยขนาดนี้ เพราะมันเขียนแปะไว้ว่า ยาบำรุงโลหิต “ฤทธิ์แรง” สรรพคุณใช้รักษาเส้นลมปราณที่ถูกทำลายได้เล็กน้อย บำรุงเลือดลม สามารถเพิ่มสมรรถภาพร่างกายเมื่อใช้ในระยะยาว”

มีบำรุงเลือด”ลม” อยู่ในนั้นด้วย ลมในที่นี้ก็คือค่าปราณแท้ของเทพแห่งระบบ ว่าไปว่ามาสุดท้ายปราณมังกรเพลิงวายุก็คือลักษณะเฉพาะเพลิงวายุหลังจากที่เทพแห่งระบบปล่อยปราณแท้ออกมา

……………………………………….