ตอนที่ 497 ผลสุดท้ายก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย

พันธกานต์ปราณอัคคี

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น กริชฟันปลาฟันฉับลงบนขลุ่ยหยก 

 

 

ฮวาเชียนซู่รู้สึกชาที่ง่ามนิ้ว ขลุ่ยหยกเกือบหลุดออกจากมือ 

 

 

กริชฟันปลาอีกข้างในมือของมั่วชิงเฉินละเว้นขลุ่ยหยก มุ่งเป้าไปยังหน้าอกของฮวาเชียนซู่อย่างว่องไว ปราณกระบี่ที่แสงวิญญาณของกริชสร้างขึ้นนั้นคมเสียยิ่งกว่ากระบี่ระดับสูง เกิดเสียงแหวกอากาศดังกึกก้อง ก่อนที่กริชจะไปถึง บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวนั่นก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเสียแล้ว 

 

 

รอยยิ้มของฮวาเชียนซู่ค่อยๆ กว้างขึ้น พลันเห็นขลุ่ยหยกผิวมันวาวขยับขึ้นลงเป็นลูกคลื่น และกลายเป็นงูเขียวตัวหนึ่ง มันแลบลิ้นสองแฉกและพุ่งตรงไปพันรอบข้อมือของมั่วชิงเฉิน ฉับพลันนั้นที่มืออีกข้างก็มีพัดด้ามจิ้วปรากฏออกมาหนึ่งเล่ม มันพัดไปมาเบาๆ ให้กับมั่วชิงเฉิน 

 

 

ฝนโปรยปรายกระทบใบหน้า หยาดฝนชุ่มฉ่ำไร้เสียง คล้ายจะปลุกทุกสรรพสิ่งให้ฟื้นคืน นกขมิ้นบินผีเสื้อเริงระบำรวมตัวกันเป็นภาพวาดค่อยๆ คลี่ออกเบื้องหน้านาง 

 

 

มั่วชิงเฉินนึกได้ขึ้นมากะทันหันว่าการเคลื่อนไหวของนางช้าลง ร่างกายดูเหมือนจะถูกสิ่งของไร้รูปร่างพันธนาการเอาไว้ งูเขียวตัวนั้นอาศัยจังหวะที่นางเคลื่อนไหวได้ช้าลงเช่นนี้รัดข้อมือ จากนั้นใช้เขี้ยวอันแหลมคมงับลงไป 

 

 

เพียงแค่ดีดนิ้ว เข็มเล่มเล็กสีเขียวเข้มก็ถูกส่งออกไป พุ่งตรงเข้าไปในปากของงูเขียว ทันใดนั้นร่างท่อนบนของงูที่อยู่กลางอากาศก็สั่นไหวไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ 

 

 

มั่วชิงเฉินเคลื่อนพลังวิญญาณฝ่าพันธนาการไร้รูปร่าง ยื่นมือขวาออกมาและใช้สองนิ้วเด็ดส่วนหัวของงูเขียวออกมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

งูอ้าปากกว้าง ลิ้นจุกปาก ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงขลุ่ยอันทุกข์ระทมออกมา 

 

 

มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกสมองล้า หนังตาหนักอึ้ง 

 

 

ชั่วขณะนั้นกายของงูเขียวก็ใหญ่ขึ้น เลื้อยมาตามแขนด้วยความเร็วขึ้นไปพันอยู่รอบคอของมั่วชิงเฉิน 

 

 

ความรู้สึกราวหายใจไม่ออกกะทันหันทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกตัว นางยื่นทั้งสองมือออกมาจับหัวและหางของงูเขียวเอาไว้ ฝ่ามือเรียกเปลวไฟสีฟ้าอ่อน 

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์คือไฟที่เย็นที่สุด สัตว์จำพวกงูคือสัตว์เลือดเย็น แม้ว่างูเขียวจะกลายร่างมาจากขลุ่ยหยก แต่ในเมื่อมีจิตวิญญาณของงู ก็ย่อมต้องมีจุดอ่อนของงู เมื่อถูกความหนาวเย็นถึงขั้วกระดูกเข้า ร่างงูก็แข็งทันที 

 

 

มั่วชิงเฉินใช้มือสองข้างดึงงูเขียวให้เหยียดตรง จากนั้นก็ขว้างมายังฮวาเชียนซู่ นางหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ย “ฝีมือต่ำต้อยยิ่งนัก!” 

 

 

บุรุษผู้นี้ แค่มองก็รู้สึกอยากจะอาเจียนแล้ว นางไม่ลังเลอีกต่อไป มือทั้งสองข้างพลิกไปมาจนค่อยๆ กลายเป็นภาพลวงตา พริบตาเดียวเคล็ดวิญญาณนับหมื่นก็ถูกเรียกออกมา แสงมรกตปรากฏอยู่ระหว่างฝ่ามือ 

 

 

ทั้งสองมือค่อยๆ ประกบกัน จากนั้นก็ผลักออกมาพลางเอ่ย “เพลงยุทธ์คลื่นมรกตเทใจ” 

 

 

สายมรกตราวกับแสงดาวระยิบระยับ พุ่งตรงไปยังฮวาเชียนซู่ 

 

 

แรงกดดันไร้ที่มาค่อยๆ กดทับลงมา รอยยิ้มของฮวาเชียนซู่แข็งค้าง มือโบกพัดด้ามจิ้ว พลันภูเขาสีเขียวสูงตระหง่านลูกหนึ่งก็ลอยอยู่ตรงหน้า 

 

 

สายมรกตกลายเป็นกระบี่ยาวสีมรกตที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงวิญญาณ ปราณวิญญาณพรั่งพรูออกมา บรรยากาศชวนให้ผู้คนตกตะลึง ประหนึ่งมือไร้รูปร่างที่ยกขึ้นสูงสับลงไปยังเขาสีเขียวอย่างแรง 

 

 

เกิดเสียงดังราวกับฟ้าร้อง ตามด้วยควันและฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย ตรงกลางภูเขาสีเขียวลูกนั้นแยกออกจากกัน กลายเป็นควันที่เปล่งแสงแพรวพราว หลังจากควันจางลง ก็เผยให้เห็นฮวาเชียนซู่ที่ก้าวถอยหลังและล้มลงกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปาก 

 

 

กระบี่ยาวสีมรกตยังคงลอยอยู่กลางอากาศ มั่วชิงเฉินมองฮวาเชียนซู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นางมิได้กล่าวสิ่งใด นิ้วร่ายเคล็ดวิญญาณให้ซึมเข้าไปในกระบี่ยาว กระบี่ยาวเล่มนั้นก็ฟันลงบนร่างของฮวาเชียนซู่ 

 

 

ฮวาเชียนซู่ใช้ขลุ่ยหยกยันกายขึ้น เงยหน้าขึ้นมองมั่วชิงเฉิน ปลายนิ้วปรากฏแสงอัคคีสีดำวูบไหว จากนั้นพุ่งไปยังหว่างคิ้ว 

 

 

ดอกพลับพลึงสีดำผลิบานระหว่างคิ้ว ตามด้วยลามลงมาเรื่อยๆ ชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วร่างเขา กลุ่มควันสีดำทะมึนไหลวนรอบๆ 

 

 

กระบี่ยาวสีมรกตทะลวงผ่านกลุ่มควัน ฟันได้แค่กลีบดอกพลับพลึงที่ปกคลุมกาย ไม่สามารถฟันลึกลงไปได้กว่านั้น 

 

 

ในสถานการณ์ปกติแล้ว การเรียกใช้วิชาลับเพลงยุทธ์คลื่นมรกตเทใจจะทำให้มั่วชิงเฉินเสียพลังวิญญาณในกายไปถึงเจ็ดแปดส่วน แต่เพราะตันเถียนหลอมรวมเข้ากับปราณวิญญาณเทพแล้ว ทำให้พลังวิญญาณในกายของนางฟื้นคืนกลับมาได้ในชั่วพริบตา 

 

 

ลางสังหรณ์อันแรงกล้าบอกนางว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของฮวาเชียนซู่ไม่ดีกับนางนัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหันหลังกลับ นางส่งพลังวิญญาณทั้งหมดไปที่กระบี่ยาวสีมรกต 

 

 

กระบี่ยาวสีมรกตสว่างโชติช่วง จากนั้นค่อยๆ ซึมหายเข้าไปในดอกพลับพลึง 

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงกลางรู้สึกได้ถึงแรงต้านอันรุนแรง ทุกคราที่กระบี่ยาวแทงเข้าไปข้างหน้าหนึ่งส่วน แรงกดดันนั้นจะหนักขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า 

 

 

“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้น ทันใดนั้นดอกพลับพลึงที่ปกคลุมฮวาเชียนซู่อยู่ก็ระเบิดออก กลีบดอกไม้ลอยไปรอบๆ พวกเขาสองคน ลมกรรโชกแรงล้อมพวกเขาไว้ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่โดยรอบ  

 

 

ฝนดอกไม้สีดำทั้งงดงามมีเสน่ห์ แต่แฝงกลิ่นอายความโหดร้าย ร่างทั้งสองท่ามกลางฝนดอกไม้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น 

 

 

ฮวาเชียนซู่ยิ้มมุมปาก เขาตวัดลิ้นเลียเลือดสดๆ มุมปาก จากนั้นก้าวยาวๆ มายังมั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่น รู้สึกได้ถึงความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจ 

 

 

ฮวาเชียนซู่ใช้วิชาลับใดกันแน่ แค่ครู่เดียวพลังยุทธ์ก็เลื่อนขั้นจากระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายไปเป็นระดับก่อกำเนิดแล้ว! 

 

 

เป็นไปได้อย่างไร! 

 

 

เขาเดินก้าวเข้ามาทีละก้าว พลังอันน่าอัศจรรย์ก็เผยออกมา วิหคและอสูรในหุบเขาต่างก็ล่าถอย ต้นไม้โน้มลงให้กับพลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ประจันอยู่ตรงหน้า 

 

 

สถานการณ์อันน่าประหลาดเช่นนี้ กลับทำให้มั่วชิงเฉินสงบลงอย่างเร็ว แกว่งมือเพียงคราเดียวก็ปรากฏตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง ตามด้วยใช้เคล็ดวิญญาณโยนตะเกียงน้ำมันนั่นออกไป 

 

 

ตะเกียงน้ำมันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ส่งคลื่นแสงสีมรกตหนึ่งวงที่ปกคลุมรอบกายทั้งสองคนเอาไว้ 

 

 

ฮวาเชียนซู่หยุดฝีเท้าลง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณในกายติดอยู่ข้างในกุญแจที่มองไม่เห็น มิอาจทำได้ตามใจตัวเอง 

 

 

มั่วชิงเฉินทราบดีว่าการเผชิญหน้ากับฮวาเชียนซู่ที่มีกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ไฟสะท้อนหทัยสามารถกักตัวเขาได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ความเป็นตายของนางก็ถูกกำหนดอยู่ในเวลาสั้นๆ นี้เช่นเดียวกัน 

 

 

จิตใจของนางไร้ซึ่งความตระหนก ไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความสงบไร้คลื่น สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเป็นผู้ชม ธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา นางดึงสายธนูเพื่อยิงศรคม ศรเหมันต์ ศรไม้ท้อ ทั้งสามดอกออกไปพร้อมกัน พวกมันนำพาแสงสามสีกลางอากาศพุ่งไปยังฮวาเชียนซู่ 

 

 

แม้ว่าฮวาเชียนซู่ซึ่งถูกพันธนาการที่มองไม่เห็นทำให้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้อย่างอิสระ แต่ก็แค่ทำให้มันมีพลังโจมตีลดลง ไม่ใช่ว่าไม่สามารถใช้ได้ เมื่อเห็นศรทั้งสามดอกพุ่งเข้ามา พัดด้ามจิ้วในมือก็โบกขึ้นอีกครา ระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าก็ซัดสาดเข้ามา ขณะเดียวกันนั้นเขาก็เบี่ยงตัวหลบ 

 

 

ศรทั้งสามดอกฝ่าคลื่น ศรคมที่นำหน้าเกิดเสียงดังฟิ้วและปักลงบนไหล่ของฮวาเชียนซู่ ในตอนนั้นไฟสะท้อนหทัยก็สว่างวาบขึ้นพริบตาเดียวก็มอดไป ฮวาเชียนซู่มิได้เปล่งเสียงอันใดออกมา นิ้วเรียวยาวปรากฏแสงวิญญาณ คว้าศรเหมันต์และศรไม้ท้อเอาไว้ 

 

 

ไฟที่เย็นที่สุดเปล่งแสงสีฟ้าออกมาบนปลายนิ้วขาวราวกับหยกของเขา น้ำแข็งทอดยาวขึ้นไปจากปลายนิ้วของเขา ชั่วพริบตาเดียวแขนข้างหนึ่งก็มีน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมอยู่ 

 

 

ฮวาเชียนซู่ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ นิ้วรวมกันดุจมีด จากนั้นหั่นลงไปที่ไหล่ แขนทั้งข้างกระเด็นออกไป ศรโลหิตสายหนึ่งก็พุ่งออกมา 

 

 

ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกโลหิต รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากถูกส่งไปยังมั่วชิงเฉิน “ทีแรกข้าอยากจะพาเจ้ากลับไปรักและทะนุถนอมเสียหน่อย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าทำลายเจ้าดูท่าจะน่าสนใจกว่า” 

 

 

ในตอนที่เขาพูดออกมา มั่วชิงเฉินก็เห็นด้วยตาตัวเองว่าไหล่ซ้ายอันว่างเปล่าของเขาสั่นไหวขึ้นมา จากนั้นแขนหนึ่งข้างก็งอกออกมา 

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปากค้าง ฮวาเชียนซู่ฝึกวิชามารอันใดกัน เหตุใดถึงได้แปลกประหลาดเยี่ยงนี้ 

 

 

ดูเหมือนว่าฮวาเชียนซู่จะรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เขาหัวเราะเสียงเย็นพลางตอบ “ขอบคุณทุกสิ่งที่เจ้ามอบให้ในปีนั้น ความอับอายที่ต้องบวชนั้นยากจะลืม ข้าจักมิยอมให้เจ้าทิ้งข้าไว้ข้างหลัง” 

 

 

เมื่อนึกถึงสามปีนั้นที่ต้องโกนผม ฮวาเชียนซู่ก็กัดริมฝีปากอย่างแรง 

 

 

ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าผมจะงอกกลับมาอีกหรือไม่ ออกไปที่ใดก็มีแต่คนมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ร่างของมั่วชิงเฉินและความแค้นที่มีต่อเขานั้น เขาทราบดีว่าสักวันหนึ่งนางจักต้องมาเอาคืนเขาแน่ ไม่แน่อาจจะมีอาจารย์ของนางและเหอกวงเจินจวินคอยช่วยเหลือ 

 

 

แล้วเขาจะนั่งรอความตายได้อย่างไร แม้ว่าจะต้องสูญเสียอายุขัยไปถึงครึ่งแต่ก็ต้องฝึกวิชามารนี้ให้ได้ เขาอยากจะรู้นักว่าคนที่หัวเราะได้ถึงที่สุดนั่นคือใครกันแน่! 

 

 

“วิธีลัดเช่นนี้ มีอันใดให้น่าภูมิใจกัน ท้ายที่สุดแล้วเจ้าจักต้องโดนทัณฑ์สวรรค์!” มั่วชิงเฉินมองฮวาเชียนซู่ที่แสยะยิ้มประหนึ่งมารร้าย น่าแปลกที่ใจกลับไม่กลัวเลยสักนิด นางพูดพลางยิ้มเย็น 

 

 

ทันใดนั้นดวงตาของฮวาเชียนซู่ก็มีแสงโลหิตบดบัง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนโยน “ชิงเฉินน้อย ไม่นึกเลยว่าเจ้าจักมิกลัวข้า เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร อาศัยเพลิงแก้วใจกระจ่างของเจ้าหรือ คิดว่าข้ามิกล้าเอาชีวิตเจ้าหรือ จะโดนทัณฑ์สวรรค์เมื่อใดข้ามิทราบ แต่ข้ารู้ว่าในตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มรสของการถูกลงโทษเสียแล้วสิ”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองฮวาเชียนซู่ที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างเย็นชา มือทั้งสองข้างยกขึ้นขว้างระเบิดสะท้านฟ้านับร้อยลูกออกไป กลางอากาศเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง 

 

 

การระเบิดที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้เกิดกระแสลมหมุนวนจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวสะท้อนลงมา 

 

 

ฮวาเชียนซู่อยู่ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำนิ่งไม่ไหวติง ขลุ่ยหยกในมือกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง มันทะลวงผ่านความว่างเปล่า จากนั้นกลายเป็นใบมีดแหลมคมพุ่งตรงไปยังศีรษะของมั่วชิงเฉิน 

 

 

ดวงตาดอกท้อของมั่วชิงเฉินเป็นประกายดุจน้ำหมึก ตามองขึ้นไปยังใบมีดแหลมคมที่บินมาไม่กะพริบและไม่หลบหลีก แต่กลับยื่นมือขึ้นไปตบ  

 

 

เสียงฉับดังขึ้น เสียงใบมีดแหลมคมปักเข้าที่เนื้อดังขึ้น เลือดกระเซ็นทำให้ลูกปากว้าสีขาวดำลอยขึ้น ซึมเข้าไปในขลุ่ยหยก ในขณะเดียวกัน เข็มจิตสัมผัสที่รวบรวมได้แล้ว ก็แทงเข้าไปในจิตสัมผัสที่มองไม่เห็นซึ่งเชื่อมระหว่างขลุ่ยหยกและฮวาเชียนซู่เข้าด้วยกันอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ทันใดนั้นสีหน้าของฮวาเชียนซู่ก็ซีดขาว เขากรีดร้องพร้อมกันนั้นร่างกายก็สั่นไหว ตามด้วยยกมือขึ้นเพื่อเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วทั้งกายเพื่อใช้โจมตีอย่างแรง 

 

 

ขณะนั้นเม็ดทรายคละคลุ้ง ก้อนหินกระจาย ท้องฟ้าสะท้านผืนดินสะเทือน กระแสลมวนในอากาศหมุนเร็วขึ้น แสงสว่างเจิดจ้าเสียจนทำให้ผู้คนหวาดหวั่น 

 

 

เข็มจิตสัมผัสถูกพลังมหาศาลตีกลับมา มั่วชิงเฉินรู้สึกแค่เพียงเจ็บตา จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา 

 

 

ชั่วขณะที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิด มั่วชิงเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง ฮวาเชียนซู่ที่พอๆ กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มิใช่ผู้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นนางจะสามารถเอาชนะได้เช่นนั้นหรือ ใช้กำลังอย่างสุดความสามารถก็ได้เพียงแค่เสมอ ไม่สิ แม้ว่านางจะรับรู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บหนัก ทว่าก็ยังมีกำลังพอจะเอาชีวิตนางที่นี่ 

 

 

อีกด้านหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงที่มิได้รีบร้อนเดินทางพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งออก เขากลายเป็นดาวตกสายหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า 

 

 

เสียงลมดังข้างใบหู เขาไม่เคยรีบขนาดนี้มาก่อน รวดเร็วเสียจนเร็วเป็นมนุษย์ที่เร็วที่สุด รีบเสียจนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมท่ามกลางผืนฟ้าและผืนดิน 

 

 

ภาพที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาของเขา ก็คือขลุ่ยหยกเลานั้นกำลังพุ่งเข้าหาหน้าอกของมั่วชิงเฉิน 

 

 

ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน กระบี่รอบนิ้วคว้าขลุ่ยหยกดึงไปข้างๆ จากนั้นก็อุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นและหมุนตัวจากไป 

 

 

เดิมที่การระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าก็ทำให้กลางอากาศเกิดกระแสลมจำนวนมาก การโจมตีที่ทำให้ท้องฟ้าและผืนแผ่นดินสะเทือนนั้น ก็ยิ่งทำให้กระแสลมวนเหล่านั้นปริออกเป็นรอยแยกมิติ หลัวอวี้เฉิงร้อนใจมาช่วยคน จึงไม่รู้ว่าความเร็วของเขานั้นทำให้กระแสลมบังเอิญเปิดรอยแยกหนึ่งรอยให้กว้างขึ้น กลายเป็นหลุมดำ เขาอุ้มมั่วชิงเฉินหมุนกายหนึ่งครา พลันรู้สึกว่าตรงหน้านั้นมืด จากนั้นก็ตกลงไปในหลุมดำ