หลังจากที่เสาสำริดทั้งหมดเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมายอดสุดก็เปล่งลำแสงสีขาวออกกมาเป็นกลุ่มๆ สร้างภาพลวงตาหัวมังกรที่ดุร้ายออกมาเป็นหัวๆ ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหว ล้วนอ้าปากออก พ่นประจุไฟฟ้าสีดำเป็นสายๆ ออกมา

 

 

เป้าหมายคือหมอกสีดำที่อยู่ในเขตอาคม

 

 

เสียงคำรามต่ำๆ ดังออกมาจากม่านหมอก ฉับพลันนั้นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพลันดีดออกมาจากลำแสงสเงิน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ อสูรอัสนีก็มาปรากฎตัวที่มุมหนึ่งของตาข่ายไฟฟ้า แต่ประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านั้นดูเหมือนจะล็อคเป้าหมายเป็นอสูรตนนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว ล้วนหักเลี้ยวครั้งหนึ่ง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบเช่นกันแล้วโจมตีไปยังอสูรอัสนีอีกครั้ง

 

 

อสูรอัสนีพลันตกตะลึง ปากพลันเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวประจุไฟฟ้าสีดำเป็นอย่างมาก สำแดงอัสนีหลีกหนีหนีไปทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง

 

 

ครานี้เห็นเพียงลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งกระพริบวาบๆ ในเขตอาคม บินไปทั้งสี่ทิศราวกับภูตผี ส่วนด้านหลังของเขากลับมีประจุไฟฟ้าสีดำยี่สิบสามสิบต้น ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าร้องพลันดังขึ้นในเขตอาคม เจ้าของร้านพลันบริกรรมคาถาขึ้น กระตุ้นเขตอาคมอยู่ที่ด้านนอก

 

 

ความเร็วในการดีดตัวของประจุไฟฟ้าสีดำยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็สร้างภาพลวงตาเป็นเงาเป็นสายๆ ขึ้น ราวกับจะปกคลุมลำแสงสีดำที่อยู่กลางอากาศทั้งหมดในเขตอาคมเอาไว้

 

 

หานลี่มองทุกอย่างด้วยความตกตะลึงอยู่ภายนอก

 

 

ไม่รู้ว่าประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านี้คืออัสนีชนิดใด ความเร็วของมันช่างน่าตกตะลึงจริงๆ หากเข้าถูกกักอยู่ในเขตอาคมนี้ แม้ว่าจะมีปีกวายุอัสนีก็ไม่อาจหนีไปได้นานนัก

 

 

แม้ว่าอสูรอัสนีตัวนี้จะเชี่ยวชาญในอัสนีหลีกหนี เกรงว่าก็ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้

 

 

ดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างไรอย่างนั้น แค่ชั่วครู่ อสูรอัสนีที่กลายเป็นลำแสงสีเงินแค่ประมาทเล็กน้อย ก็ถูกประจุไฟฟ้าสีดำสองสามสายโจมตีไปที่ร่าง

 

 

หลังจากเสียงโหยหวนดังขึ้น ชั่วขณะนั้นร่างของอสูรอัสนีก็สั่นเทาและเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นกลางอากาศ ร่างกายหยุดชะงัก

 

 

เช่นนี้ประจุไฟฟ้าสีดำอื่นๆ จึงโจมตีไปยังร่างของอสูรตนนี้ราวกับเข็มขัดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นจากปากของอสูรอัสนี ร่างกายมีประจุไฟฟ้าสีแดงขาวฟ้าทองสี่สีที่ไม่เหมือนกันปรากฎขึ้น พยายามต้านทานการโจมตีจากประจุไฟฟ้าสีดำเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนั้น แววตาทั้งสองพลันเปล่งประกาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วสาวเท้าไปข้างหน้า มือหนึ่งตบไปที่เสาสำริดต้นที่อยู่เบื้องหน้า

 

 

ชั่วพริบตาพลังวิญญาณสีขาวโพลนเป็นกลุ่มๆ ทะลุผ่านฝ่ามือนี้ไป ตรงไปยังเสาสำริด

 

 

ประจุไฟฟ้าบางๆ ที่พ่นออกมาจากปากของหัวมังกร ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางเสียงร้องหลายเท่า

 

 

อีกด้านหนึ่งในที่สุดอสูรอัสนีที่ถูกประจุไฟฟ้าสีดำกักเอาไว้ก็ต้านทานเอาไว้ไม่ไหวตกลงมาสู่พื้น ประจุไฟฟ้าสี่สีบนร่างเริ่มหม่นแสงลงจนไร้สีสัน

 

 

ประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านั้นเปล่งเสียงสว่างจ้าในชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่าจะสร้างภาพลวงตาเป็นโซ๋สีดำสนิทเป็นสายๆ ชั่วครู่ก็รัดตรึงอสูรตนนั้นเอาไว้แน่น ไม่อาจขยับกายได้เลยสักนิด

 

 

“เอาล่ะ เหล่าสหายเข้าไปได้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมตะโกนออกมา

 

 

ดึงฝ่ามือที่กดไปที่เสาสำริดออก ร่ายอาคมสายหนึ่งเข้าไปข้างใน

 

 

เสาสำริดต้นนั้นสั่นเทา ตาข่ายไฟฟ้าขนาดยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็สลายหายไป

 

 

หานลี่และพวกทั้งสามมองสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณบินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ทั้งสามแยกกันไปยืนอยู่ห่างจากอสูรอัสนีที่ถูกรัดเอาไว้สองสามจั้ง และไม่ได้เข้าใกล้อสูรตนนี้มากเกินไปนัก

 

 

ส่วนบุรุษร่างกายผ่ายผอมเองนั้นก็เก็บอาคม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ข้างกายของพวกของหานลี่เช่นกัน

 

 

“ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับสะกดอัสนีในร่างของอสูรตนนี้เอาไว้ ทั้งสามแค่ฟังคำสั่งของข้า ใส่พลังอัสนีเข้าไปในร่างของอสูรตนนี้ก็พอแล้ว” เจ้าของร้านไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ แค่ออกคำสั่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

 

จากนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีกริชสีดำสนิทห้าเล่มปรากฎขึ้น

 

 

ลอยพลิ้วไป ราวกับสร้างขึ้นจากไม้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

“กริชดาวทมิฬ” เมื่อเห็นกริชทั้งห้าเล่ม ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มก็หน้าเปลี่ยนสี

 

 

หานลี่พลันขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

 

 

แต่แม้ว่าชายร่างใหญ่และชายร่างหนุ่มจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยซักถามอะไร

 

 

ส่วนเจ้าของร้านก็ไม่ได้มีใจจะอธิบาย แค่ชูมือหนึ่งขึ้น

 

 

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบ กริชทั้งห้าแยกกันปักไปที่แขนขาทั้งสี่และหัวใจของอสูรอัสนี

 

 

อสูรอัสนีเปล่งเสียงร้องคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา ร่างกายที่อยู่ในโซ่สีดำสั่นเทา จุดที่ถูกกริชปักลงไปไม่มีโลหิตสดๆ ไหลออกมาเลยสักนิด

 

 

กริชทั้งห้าเล่มมีลำแสงวิญญาณโคจรอยู่ ดวงตาของอสูรอัสนีหม่นแสงลง สุดท้ายประจุไฟฟ้าสี่สีบนร่างก็หายไป

 

 

เจ้าของร้านเห็นเช่นนี้ ก็พ่นลำแสงสีขาวอีกกลุ่มหนึ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผลึกศิลาเพชรสีขาวก้อนหนึ่ง มีขนาดแค่กำปั้นเท่านั้น

 

 

แต่ผิวสีขาวนวลนั้นเต็มไปด้วยพลังแรงกดที่น่าตกตะลึง

 

 

หานลี่อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้

 

 

ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นสูง ชนชั้นสูงของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่มีจิตวิญญาณสีทองและทารกวิญญาณ แต่จะฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่า ‘แก่นผลึก’ ตามความสำคัญของมันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับจิตวิญญาณสีทองและทารกวิญญาณของเผ่ามนุษย์นัก

 

 

เสียง “แค่ก” ดังขึ้น กระอักโลหิตสดๆ ออกมา พ่นไปยังแก่นผลึก เจ้าของร้านชี้ไปที่แก่นผลึกอีกครั้ง

 

 

ชั่วขณะนั้นผลึกพลันจมลง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหัวของอสูรอัสนี

 

 

“ลงมือ” แทบจะในเวลาเดียวกัน บุรุษร่างกายผ่ายผอมก็ร้องตะโกนออกมา

 

 

ชายหนุ่มและพวกก็สำแดงฝีมือทันที

 

 

เห็นเพียงหานลี่ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ระหว่างฝ่ามือมีประจุไฟฟ้าสีทองเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น

 

 

ส่วนชายร่างใหญ่กลับอ้าปากออก ลำแสงสีขาวและลำแสงอัสนีพลันปรากฎขึ้นลางๆ ในปาก ปีกที่แผ่นหลังของชายหนุ่มหน้าหวานกลับสะบัดออก ประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ปรากฎขึ้นบนปีก

 

 

เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบพร้อมกัน ประจุไฟฟ้าทั้งสามชนิดที่ไม่เหมือนกันพลันโจมตีไปยังร่างของอสูรอัสนี

 

 

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น

 

 

ไม่ว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของหานลี่ หรือว่าประจุไฟฟ้าที่อีกสองคนควบคุมอยู่ เมื่อสัมผัสกับร่างของอสูรอัสนี ก็เปล่งเสียง “ครืนๆ” ออกมาและถูกกริชสีดำทั้งห้าเล่มดูดเข้าไป

 

 

ทันใดนั้นกริชทั้งห้าเล่มก็เปล่งแสงสีดำเป็นชั้นๆ ออกมา กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีดำเป็นสายๆ จมหายเข้าไปในร่างของอสูรอัสนีอย่างเงียบเชียบ

 

 

ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่ประจุไฟฟ้าในมือกลับทะลักออกไปอย่างไม่หยุดเลยสักนิด

 

 

ชั่วขณะนั้นกริชทั้งห้าเล่มที่มีลำแสงสีดำปรากฎออกมาพลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น แม้กระทั่งตัวกริชยังเริ่มสั่นเทาเบาๆ

 

 

หลังจากที่หานลี่มองสถานการณ์นี้แล้วกลับเหลือบตาไปมองเจ้าของร้านที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง

 

 

เห็นเพียงบุรุษร่างกายผ่ายผอมนั่งสมาธิอยู่ด้านข้าง ปิดตาทั้งสองข้างลง สองมือร่ายอาคมประหลาดๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะสำแดงเคล็ดวิชาลับอะไรสักอย่างอยู่ ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบที่เรือนร่าง เห็นได้ชัดว่ากำลังกระตุ้นพลังลมปราณรอบกายจนถึงขีดสุด

 

 

และไม่เห็นความผิดปกติใดๆ หานลี่ถอนสายตากลับมา ไม่สนใจอีกฝ่ายชั่วคราว และตั้งใจควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย

 

 

และไม่รู้ว่าร่างของอสูรอัสนีนั้นประหลาดหรือว่ากริชดาวทมิฬนั้นมีจุดอะไรที่พิเศษ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร กริชที่กลืนกินอัสนีจำนวนมากเข้าไปแล้วก็สั่นเทาไม่หยุดอยู่บนร่างของอสูรอัสนี และไม่ได้มีความผิดปกติอะไรอีก

 

 

กลับเป็นเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดบางๆ ปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และยิ่งไปกว่านั้นบนขมับทั้งสองและลำคอ ยังมีเส้นเลือดปรากฎขึ้นเป็นสายๆ ท่าทางเหนื่อยล้า แม้แต่ลำแสงวิญญาณบนร่างก็ยังอ่อนแสงลงสามส่วน

 

 

ตรงหว่างคิ้วของเขามีเงาผลึกหินสีขาวขนาดเท่ากำปั้นปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นั่นคือเงาแก่นผลึกของเขา กำลังเปล่งแสงระยิบระยับไม่แน่นอน

 

 

“ทั้งสามใส่พลังอัสนีเข้าไปอีก!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าของบุรุษที่ไร้ซึ่งสีเลือด ก็เปล่งเสียงแหบแห้งออกมา

 

 

เมื่อได้ฟังหานลี่และพวกของชายหนุ่มพลันขมวดคิ้ว

 

 

ต้องเข้าใจว่าการที่ใส่พลังลงไปไม่หยุดเมื่อครู่ ก็แทบจะกลืนพลังอัสนีของทั้งสามไปกว่าครึ่งแล้ว หากใส่เข้าไปอีกล่ะก็ เกรงว่าทั้งสามคนคงไม่อาจต้านทานได้นานนัก

 

 

แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่มั่นใจของเจ้าของร้าน พวกเขาก็ไม่ได้ลังเลอีก ทยอยกันทำตามคำพูดของเจ้าของร้าน

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงอัสนีพลันดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม ประจุไฟฟ้าสามสีแทบจะกลืนกินอสูรอัสนีทั้งหมดเข้าไปด้านใน

 

 

ภายใต้การใส่พลังอัสนีเข้าไปทั้งหมดของทั้งสาม ชั่วครู่ในที่สุดกริชทั้งห้าเล่มที่ปักอยู่บนร่างของอสูรอัสนีก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

 

 

พวกมันดูดซับพลังอัสนีไม่หยุด ทั้งเล่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับดูดซับโลหิตเข้าไปก็ไม่ปาน และยิ่งไปกว่านั้นบังค่อนๆ เป็นสีแดงสด

 

 

ครานี้เงาแกนผลึกตรงหว่างคิ้วของบุรุษร่างกายผ่ายผอมพลันกลายเป็นสีโลหิตเช่นกัน และเริ่มหดเล็กลงทีละนิดๆ

 

 

เสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้น บุรุษเบิกตาทั้งสองข้างออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมาจากปาก

 

 

นั่นคือแผ่นป้ายไม้สีเขียวมรกต ด้านบนมีอักขระที่สลับซับซ้อนสลักอยู่เป้นชั้นๆ ดูลึกลับมาก

 

 

เมื่อแผ่นป้ายไม้ปรากฎขึ้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปอยู่ที่ศีรษะของอสูรอัสนี แล้วพลิ้วไหวร่อนลงมาด้านล่าง

 

 

เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวบางๆ ทะลักออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหัวของอสูรอัสนี

 

 

ร่างของอสูรอัสนีที่ดูเหมือนหลับใหลไปพลันสั่นเทา ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ของแผ่นป้ายไม้ เงาลวงตาของอสูรอัสนีสีเขียวขนาดจิ๋วตัวหนึ่งถูกเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ ดึงออกมาจากหัวของอสูรอัสนีครึ่งหนึ่ง

 

 

เจ้าของร้านเห็นเช่นนั้น ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวไม่หยุด ในเวลาเดียวกันปากก็ร่ายคาถาอย่างไร้สุ้มเสียงออกมา

 

 

แผ่นป้ายไม้เปล่งเสียงหึ่งๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นถูกกระตุ้น คาดไม่ถึงว่าจะฝืนดึงจิตวิญญาณของอสูรอัสนีต่อทีละนิดๆ

 

 

ฉับพลันนั้นดวงตาที่ไร้แสงของอสูรอัสนีพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ผิวของร่างกายเปล่งเสียงฟ้าร้องออกมา กริชสีดำทั้งห้าเล่มที่ปักอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายสั่นคลอนอย่างหนัก คาดไม่ถึงว่าจะถูกดันออกมาจากร่างแล้วครึ่งหนึ่ง

 

 

ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าสี่สี่ปรากฎขึ้นอีกครั้ง

 

 

เจ้าของร้านพลันตกตะลึง ยังไม่ทันได้สำแดงอะไร จิตวิญญาณของอสูรอัสนีที่เมื่อครู่ถูกดึงออกมาครึ่งหนึ่งพลันเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าจนแสบตาออกมา คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในร่างของอสูรอัสนีอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันปากของอสูรอัสนีก็เปล่งเสียงร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งออกมา ประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้าออกมาจากเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์

 

 

“พวกเจ้ายังเพิ่มพลังอัสนีได้อีกหรือไม่?” บุรุษร่างกายผ่ายผอมรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธขึง พลางรีบร้อนเอ่ยถามหานลี่และพวกทั้งสามคน

 

 

“ไม่ได้แล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย

 

 

“ข้าเองก็ไม่มีแรงจะใส่พลังอัสนีมากกว่านี้แล้ว” สถานการณ์ของชายหนุ่มดีกว่าหน่อย แต่ก็แสดงออกว่าไม่ไหวเช่นกัน

 

 

หานลี่แค่สั่นศีรษะ

 

 

“เอาล่ะ มีแต่ต้องเสี่ยงแล้ว สหายทั้งสามโปรดรักษาระดับพลังอัสนีเอาไว้ ข้าจะสำแดงอัสนีเบญจสวรรค์ เชื่อว่าอาศัยแค่พลังของอัสนีนี้ก็น่าจะมีหวังว่าจะสำเร็จ” เจ้าของร้านรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยแต่ทันใดนั้นก็กัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน หานลี่และพวกทั้งสามก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่สุดพท้ายก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยคัดค้าน

 

 

เจ้าของร้านไม่สนใจอสูรอัสนีที่ดิ้นรนขัดขืนอีก หลังจากปีกที่แผ่นหลังของเขากระพือ ก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า