บทที่ 457 อยู่ที่โรงพยาบาลตามลำพัง

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 457 อยู่ที่โรงพยาบาลตามลำพัง

บทที่ 457 อยู่ที่โรงพยาบาลตามลำพัง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เฉิงอยากอยู่ดูแลฉัน แต่ฉันเกรงใจเลยให้เธอกลับไปก่อน พยาบาลที่นี่ใจดีมากเลยนะคะ พวกเขาช่วยเหลือฉันทุกอย่าง”

หลิวว่านฉิงเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นกังวล เธอจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ครับ”

โรงพยาบาลแห่งนี้มีค่ารักษาแพงที่สุดในเมืองฮ่วยอัน แน่นอนว่าพยาบาลจะต้องดูแลคนได้อย่างดีเช่นกัน

แต่ก็ไม่ดีเท่ามีคนใกล้ชิดคอยดูแล

“คุณมี…ญาติคนอื่นอีกไหมครับ?”

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่สามารถคิดหาคนที่เหมาะสมที่จะดูแลอีกฝ่ายได้จึงถามออกมา

“ไม่มีแล้วค่ะ”

หลังจากตอบอย่างนั้น สีหน้าของหลิวว่านฉิงก็เศร้าลง

“พวกเราสองแม่ลูกอาศัยอยู่ที่ฮ่วยอันกว่าสิบปีแล้ว ตั้งแต่พ่อฉันตายไป พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อญาติที่บ้านเกิดอีกเลย แถมแม่ของฉันเพิ่งจะได้ผ่าตัด”

“เข้าใจแล้วครับ”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าก่อนตัดสินใจ

“ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งผู้ชายคนเมื่อวานมาดูแลคุณ เขา…เขาเป็นคนดีมากครับ”

“อืม…ค่ะ”

ผู้ป่วยกระดูกหักไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก หลิวว่านฉิงลังเลชั่วครู่ก่อนตอบตกลง

เขาใจดีเกินไปแล้ว

เธอมองชายหนุ่มตรงหน้า ขณะรู้สึกว่าความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายเปรียบเสมือนให้ถ่านกลางหิมะ*[1]

นอกจากชื่นชมแล้วเธอก็ไม่กล้าคิดมากเกินกว่านั้น

ผู้ชายคนนี้สูงส่งเกินไป

ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สว่างไสวบนท้องฟ้า แม้จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น แต่หลิวว่านฉิงรู้ดีว่าเขาอยู่ห่างไกลกับตัวเองมากแค่ไหน

เธอรู้สถานะของตัวเองเสมอ…

“ขอบคุณมากนะคะ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี”

“ฮ่า ๆ ผมเป็นต้นเหตุเรื่องนี้ แล้วอีกอย่างผมต้องเป็นฝ่ายขอบคุณต่างหากครับ”

อวี้ฮ่าวหรานปอกเปลือกส้มแล้วยื่นให้อีกฝ่าย

“ในเมื่อคุณปกป้องถวนถวนอย่างสุดความสามารถ ผมถือว่าคุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ แต่ในอนาคตถ้าคุณมีเรื่องลำบากใจก็โทรหาผมได้เสมอ”

พูดจบ เขาก็หยิบหนังสือออกจากมือของอีกฝ่าย

“หืม…เจน แอร์? ผมเคยอ่านเรื่องนี้ตอนเรียนมัธยม แต่…ผมลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว”

เขาพลิกหน้ากระดาษสองสามหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้นึกถึงความทรงจำที่เลือนรางมาก…

“มันนานมาแล้วสินะ”

เขาอดถอนหายใจไม่ได้หลังนึกถึงวัยหนุ่มเมื่อหลายร้อยปีก่อน

“เอ่อ…”

หลิวว่านฉิงกินส้มไปหนึ่งผลก่อนพูดออกมา

“มีอะไรเหรอ? บอกมาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ต้องยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นซะบ้าง

เธออยู่ในความมืดตามลำพังมานานพอแล้ว

“ฉันรีบมาโรงพยาบาลเลยไม่ได้เอาของใช้ส่วนตัวมาด้วย คุณช่วยกลับไปเอามาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงโดยไม่ลังเล หลังจากถามที่อยู่และรับกุญแจบ้านมาแล้ว เขาจึงเตรียมตัวกลับ

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ยังมีอีกอย่างหนึ่ง…”

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง หลิวว่านฉิงก็นึกบางอย่างได้

“เมื่อวานเป็นวันครบกำหนดจ่ายค่าเช่าบ้าน แล้วฉันต้องจ่ายเย็นวันนี้ คุณช่วยจ่ายให้หน่อยได้ไหมคะ? ขอบคุณมากค่ะ”

พูดจบ เธอก็หยิบธนบัตรหลายร้อยหยวนออกมาจากผ้าห่ม

“ทั้งหมดสี่ร้อยหยวน ถ้ารวมค่าน้ำและค่าไฟฟ้าแล้วก็ประมาณ…ห้าร้อยหยวน”

“ห้าร้อย?”

อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย นับตั้งแต่อยู่บนโลกมนุษย์ เขาก็ใช้จ่ายเงินไปมากมายมหาศาล แถมยังไม่เคยต้องมากังวลเกี่ยวกับเงินจำนวนน้อยอย่างนี้

ดูเหมือนว่าสำหรับคนธรรมดาแล้ว ไม้ขีด ข้าว น้ำมัน เกลือ*[2] จำเป็นสำหรับพวกเขาอย่างมาก

“ช่างมันเถอะครับ”

ชายหนุ่มดันเงินห้าร้อยหยวนในมือของอีกฝ่ายออกไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบโต้ เขาก็ฉีกยิ้มอย่างใจดี

“คุณคิดเหรอว่าถ้าผมไปถึงที่นั่นแล้วเห็นว่าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมเลวร้าย คุณอาจต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่หลังออกจากโรงพยาบาลก็ได้”

“คะ?”

หลิวว่านฉิงชะงักไปชั่วครู่ แต่ก่อนที่จะรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็เดินจากไปแล้วเธอถือเงินห้าร้อยหยวนไว้ในมือขณะเงียบไปครู่ใหญ่

“ทำไม…คุณถึงใจดีกับฉันอย่างนี้?”

หลังจากถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง หลิวว่านฉิงจึงพึมพำกับตัวเอง

หลังจากเดินลงบันได อวี้ฮ่าวหรานจึงล้วงโทรศัพท์ออกมา

ในตอนนี้กลุ่มคนที่เหมาะสมที่จะดูแลหลิวว่านฉิงมากที่สุดคือแก๊งพยัคฆ์เเวหา

ซึ่งแต่ละคนในแก๊งนั้น ดูเหมือนว่าคนที่น่าเชื่อถือมากที่คุณคงมีเพียงหวังเหยียนเท่านั้น

อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว หลังจากอวี้ฮ่าวหรานอธิบายสถานการณ์ต่าง ๆ หวังเหยียนก็ตอบลงทันที

“ลูกพี่อวี้ไม่ต้องห่วง! ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

“อืม นายทำดีมาก ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแก๊งพยัคฆ์เวหาให้รายงานฉันทันที”

เขาสั่งอีกฝ่ายสองสามประโยคก่อนวางสาย

โรงพยาบาลอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งห่างจากที่พักของหลิวว่านฉิงเล็กน้อย หลังจากขับรถนานเกือบสี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงอาคารหลังเก่า

“ไม่ไกลจากตึกเครือฮ่าวหรานเท่าไหร่ แต่มันเก่ามากนี่สิ”

เขาพึมพำพร้อมขมวดคิ้วขณะมองอาคารตรงหน้า

เห็นได้ชัดว่าบ้านแห่งนี้มีอายุกว่าสิบปีแล้ว

อาคารหลังนี้ทรุดโทรมเกินกว่าจะตั้งอยู่ในประเทศจีนที่หมุนไปตามกาลเวลา แต่บางทีอาจเป็นเพราะมันเป็นหอพักเช่าราคาถูกจึงยังมีผู้คนอาศัยอยู่

เมื่อเดินเข้าไปในอาคาร ชายหนุ่มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

กลิ่นเหม็นอับโชยเข้าจมูกทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป อาจเป็นเพราะอาคารทรุดโทรมมากแล้ว ผนังทั้งสองข้างของบันไดจึงมีตะไคร่น้ำและน้ำซึมออกมาเล็กน้อย

ไม่นานก็เดินมาถึงชั้นสาม พอล้วงกุญแจออกมา เขาก็พบว่ามีพวงกุญแจกระรอกน้อยห้อยอยู่

“น่ารักดีนะ ถวนถวนต้องชอบแน่”

หลังจากเพ่งมองอย่างพิจารณา อวี้ฮ่าวหรานก็พบว่าพวงกุญแจกระรอกน้อยถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่เหมือนสินค้าที่ขายอยู่ทั่วไป

ไม่นานเขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง

ภายในห้องมีสี่ห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น เห็นได้ชัดว่ามันถูกซ่อมแซมใหม่จากเดิมมีเพียงสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น

“เธอค้างค่าเช่ามาหลายเดือนแล้วนะ! นั่นใครน่ะ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าผู้พูดเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้ง ใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมซึ่งดูตระหนี่อย่างมาก

“แน่ใจนะ?”

ตอนนี้ชายหนุ่มข้างเธอที่ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกน้องมีท่าทางลังเล

“หึ! แน่ใจสิ! นังเด็กคนนี้ไม่รับโทรศัพท์ฉันมาหลายวันแล้ว ฉันคิดว่ามันหนีไปแล้วซะอีก! เข้าไปเก็บข้าวของมันโยนทิ้งไปซะ!”

ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนคนนี้จะเป็นเจ้าของหอพัก คำพูดหยาบคายและเสียงอันดังของเธอทำให้เพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งสองห้องเปิดประตูออกดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่พวกเขากลับเพิกเฉยเหมือนว่ากำลังดูละคร

“นี่…แม่สาวคนนั้นไม่ยอมจ่ายค่าเช่า เธอขี้เกียจทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สองสามเดือนก่อนเธอยังจ่ายค่าเช่าสม่ำเสมอ แต่เธอเพิ่งจะหายหน้าไปไม่กี่วันก่อนนี่เอง”

“ยังไงเธอก็ทำไม่ถูกอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องแจ้งกันก่อนสิ ใครเจอแบบนี้ก็คิดว่าเธอตั้งใจไม่จ่ายค่าเช่าทั้งนั้น”

“…”

ผู้เช่าหลายคนเลือกเข้าข้างเจ้าของหอพัก

[1] ให้ถ่านกลางหิมะ เปรียบเปรยถึงให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที

[2] ไม้ขีด ข้าว น้ำมัน เกลือ มีความหมายโดยนัยหมายถึงสิ่งของเจ็ดชนิดที่สำคัญต่อทุกครอบครัว