ตอนที่ 259-1 เล่นนอกเกม เป็นสิ่งไม่ถูกต้องนะ

ชายาเคียงหทัย

ยังไม่ทันถึงยามสอง กลุ่มพลทหารหนุ่มก็ต่างพากันนำคนของตนออกมาจากค่ายทหารใหญ่เงียบๆ ตามคำสั่งของเยี่ยหลี แต่มิใช่ว่าพวกเขายอมรับนับถือกุนซือที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนอย่างเยี่ยหลี แต่หากพวกเขาไม่ทำตามเยี่ยหลี ก็จะไม่ได้ออกรบ ในเมื่อเป็นถึงเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงจำต้องฟังคำสั่งนางอย่างไม่มีทางเลือก

ไม่รู้ว่าด้วยเพราะทหารหนุ่มกลุ่มนี้มีความสามารถจริงๆ หรือจางฉี่หลันยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทหารหนุ่มเหล่านั้นถึงได้สามารถนำคนออกมาจากค่ายใหญ่โดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ยามมายืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยหลียังเชิดคางขึ้นโดยไม่รู้ตัว ด้วยนึกลำพองใจอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

เยี่ยหลีแค่เพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีกองทหารอยู่เป็นพันนาย ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

“กุนซือ? พวกเราต้องทำอันใดกันแน่” มีคนเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่

ยามค่ำคืน เยี่ยหลีกางแผนที่ออกลงบนพื้น นางคุกเข่าลง มือหนึ่งถือคบไฟ อีกมือหนึ่งชี้นิ้วลงบนแผนที่ “ด้านหน้ามีคนของแม่ทัพจางที่นำทหารออกไปเบี่ยงเบนความสนใจของทหารฝ่ายศัตรู พวกเจ้าตามข้าปีนขึ้นไปจากทางสองฝั่งนี้ อ้อมไปทางด้านหลังของรุ่นเทียนหยา”

มีคนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อกุนซือมีแผนไว้อยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่รีบบอกมาเล่า พวกเราจะได้ส่งคนออกไปสำรวจเส้นทางก่อน”

เยี่ยหลีหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เขา “สำรวจเส้นทาง? ออกไปสำรวจเส้นทางกลางวันแสกๆ เจ้าคิดว่าคนของแม่ทัพหลี่ว์เป็นท่อนไม้ มองไม่เห็นพวกเจ้าหรือ”

“แต่การเดินทางยามค่ำคืน พวกเราจะมองไม่เห็นทางเลยนะขอรับ เช่นนี้จะเดินทางได้อย่างไร” ถึงแม้จะมิได้รู้อย่างละเอียด แต่เพียงมองดูเส้นทางบนแผนที่ที่กุนซื้อชี้ให้ดู พวกเขาก็พอรู้แล้วว่าเส้นทางนั้นอยู่ที่ใด

สภาพภูมิประเทศของพื้นที่บริเวณนี้ เดิมทีก็ง่ายต่อการรักษา ยากที่จะโจมตีอยู่แล้ว แม้แต่เป็นยามกลางวันแสกๆ เพียงมองดูก็รู้ว่าเต็มไปด้วยอันตราย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามค่ำคืนเลย

เยี่ยหลีจ้องชายหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ “ข้าถึงได้บอก…ว่าไม่รับประกันว่าจะไม่มีทางบาดเจ็บล้มตาย ที่นี่คือสนามรบ!”

ทุกคนต่างพากันอึ้งไป ถูกต้อง ที่นี่คือสนามรบ ในสนามรบอย่าว่าแต่จะต้องเดินคลำทางยามค่ำคืนเลย ในบางคราต่อให้รู้ว่าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ก็ยังต้องส่งคนเข้าไปตายเลย

เยี่ยหลีเอ่ยกับเขาว่า “หากไม่ยินดีที่จะไป มาทางไหนสามารถกลับไปทางนั้นได้เลย ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งเค่อ ไปสื่อสารกับลูกน้องของพวกเจ้า แล้วพูดให้ชัดเจนด้วยว่า มิได้อันตรายเพียงยามปีนขึ้นไปเท่านั้น ต่อให้ขึ้นไปถึงรุ่นเทียนหยาได้อย่างปลอดภัย แต่หนทางข้างหน้าก็ไม่มีทางราบรื่นอย่างแน่นอน หากระหว่างทางเกิดทำข้าเสียเรื่อง จะลงโทษตามกฎทหาร!”

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ ทุกคนก็กลับมารวมตัวตรงหน้าเยี่ยหลีอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีทหารหน่วยไหนล่าถอยไป เยี่ยหลีก็พยักหน้าด้วยความพอใจ หมุนตัวไปพลางเอ่ยว่า “ออกเดินทาง!”

ยามนี้ถึงแม้จะอยู่ในช่วงยามสองแล้ว แต่บรรยากาศยามค่ำคืนกลับไม่เงียบสงัด พื้นที่ตรงหน้าเนินเขาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ทัพของทั้งฝ่ายกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด และในช่วงจังหวะนี้เอง ที่ทหารกลุ่มหนึ่งนำโดยฉินเฟิงและเยี่ยหลี อาศัยช่วงเวลานี้ปีนขึ้นไปตามทางเล็กๆ อันลาดชันอย่างเงียบกริบไร้ซุ่มเสียง โดยมีเว่ยลิ่นรั้งปิดท้ายอยู่

เดิมทีเส้นทางที่ไม่ถือว่ายาวมากนัก แต่คนกลุ่มนั้นกลับใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าจะปีนกันขึ้นไปได้ครบ

เยี่ยหลีหันมองสภาพเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนแต่ดวงตากลับเป็นประกายของทหารหนุ่มเหล่านั้นยามอยู่ใต้แสงจันทร์ นางพยักหน้าในใจด้วยความพอใจ ถึงแม้เสื้อผ้าจะถูกหินและกิ่งไม้ข่วนจนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไปหมด และมีหลายคนที่แม้แต่บนใบหน้าก็มีรอยแผลอยู่ไม่น้อย แต่ตลอดทางที่ขึ้นมานี้ แทบไม่มีคนที่หลงคณะเลย และมิได้มีความผิดพลาดใหญ่หลวงอันใดที่จะทำให้ทัพฝ่ายศัตรูสังเกตเห็นได้ ดูท่าการฝึกตามปกติของกองทัพตระกูลม่อ คงจะผ่านมาตรฐานอยู่มากทีเดียว

ด้วยเพราะบนเขาทั้งลูกมีทหารฝ่ายศัตรูรักษาการณ์อยู่ทั่วไปหมด คณะของพวกเขามีจำนวนกว่าหนึ่งพันคน ก็ไม่ถือว่าเป็นจำนวนน้อยๆ เมื่อขึ้นเขามาแล้ว จึงต้องยิ่งระแวดระวังตัวมากขึ้น

ตลอดทางพวกเขาหลบหลีกสายตาของทหารฝ่ายศัตรูมาได้ตลอด จนเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงยามห้า ทุกคนถึงได้เดินทางมาถึงที่หมาย

เมื่อมาถึงที่หมาย เยี่ยหลียังไม่ทันสั่งให้พักผ่อนกันตามสบาย ในมุมมืดก็มีเงาคนจำนวนหนึ่งแวบผ่าน ทุกคนต่างพากันตกใจจนรีบกำอาวุธให้มั่นเพื่อเตรียมพร้อม

“ไม่ต้องตกใจ คนกันเอง” ผู้ที่มาโบกมือพลางเอ่ยยิ้มๆ ยามห้า เป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนฟ้าสาง ทุกคนต่างมองเห็นหน้าผู้มาใหม่ไม่ชัด จึงย่อมไม่กล้าผ่อนคลายความระมัดระวังตัว

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เฟิ่งซาน”

เฟิ่งจือเหยาค่อยก้าวออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะตามมาถึงที่นี่ได้จริงๆ ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าจะมาไม่ถึง จนพวกเราต้องลงมือกันเองเสียแล้ว”

เมื่อเขาก้าวออกมา ทุกคนถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจน ผู้ที่มา หากมิใช่เฟิ่งจือเหยาแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้

“แม่ทัพเฟิ่ง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เฟิ่งจือเหยาหัวเราะหึหึ “ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว มิใช่มารอพวกเจ้าหรอกหรือ คุณชายฉู่ ลำบากท่านแล้ว?”

เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขา ก่อนเอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ว์คิดจะรักษารุ่นเทียนหยาไว้ให้จงได้ ในมือหลี่ว์จิ้นเสียนยามนี้ น่าจะมีทหารอยู่ประมาณสามหมื่นนาย ในจำนวนนั้นอย่างมากมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่เพียงสองพันนาย”

สภาพพื้นที่ของรุ่นเทียนหยาเต็มไปด้วยซับซ้อนยากแก่การโจมตี หน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ที่นี่เดิมก็แสดงแสนยานุภาพได้ไม่เต็มที่อยู่แล้ว ให้รั้งอยู่ที่นี่มากไปก็มีแต่เสียเปล่า

เฟิ่งจือเหยามองกองทหารที่อยู่ด้านหลังเยี่ยหลีแล้วชมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดถึงมากันเพียงเท่านี้”

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่านำคนขึ้นมานี่มันง่ายนักหรือ คนเหล่านี้เป็นจำนวนคนมากที่สุดที่สามารถขึ้นมาได้แล้ว หากลากไปจนฟ้าสว่าง จะต้องถูกพบเข้าอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีการอำพรางไว้บ้าง แต่หากฟ้าสว่างแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะไม่พบร่องรอยที่พวกเราเดินทางขึ้นมา”

การนำทหารใหม่กลุ่มหนึ่งขึ้นมา การอำพรางร่องรอยระหว่างทางย่อมทำได้ไม่วิเศษสักเท่าไรอยู่แล้ว หากทหารลาดตระเวนของอีกฝ่ายมีสายตาที่แหลมคม ก็เป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะพบร่องรอยการเดินทางของคนกลุ่มใหญ่บนทางเส้นนั้น

เฟิ่งจือเหยาก็รู้ดีว่าตนเองร้องขอมากเกินไป จึงหันไปเอ่ยถามเยี่ยหลีว่า “ที่นี่พวกข้าก็มีกันเพียงสามพันนาย เช่นนี้จะทำอย่างไร”

เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องทำเช่นไร อาศัยจังหวะในช่วงเวลานี้ลอบวางเพลิงที่ด้านหลังพวกเขา หากแม่ทัพจางฉวยจังหวะเก่งล่ะก็ ก็น่าจะอาศัยจังหวะนี้บุกเข้ามาได้”

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”

เยี่ยหลีหันกลับไปกวาดตามองทุกคนที่อยู่ด้านหลัง “พักผ่อนตามสบายครึ่งชั่วยาม จากนั้นค่อยออกเดินทางต่อ”

พลทหารที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นว่า “กุนซือ พวกเราไม่เหนื่อย สามารถลงมือยามนี้ได้เลยขอรับ!”

เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ “ผู้ใดสนใจกันว่าพวกเจ้าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยกัน อีกเดี๋ยวพวกแม่ทัพจางยังต้องสู้รบอีกรอบหนึ่ง พวกเราจะฉวยจังหวะหนึ่งเค่อก่อนฟ้าสางไปลงมือ เมื่อก่อกวนให้เกิดความวุ่นวายได้แล้ว พวกเราจะถอนตัวกลับมาก่อนฟ้าสว่าง”

พลทหารที่ใจกล้าเอ่ยปากออกมาเมื่อครู่ถึงกับหน้าแดง ทิ้งตัวลงพักผ่อนกับพื้นด้วยความอับอาย

เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ มองกลุ่มพลทหารที่อยู่ด้านหลังเยี่ยหลีด้วยความสนอกสนใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดูท่า คุณชายฉู่ก็มีช่วงเวลาที่จัดการลำบากเช่นกันอย่างนั้นหรือ”

ด้วยสายตาของเฟิ่งจือเหยาย่อมมองออกว่า พลทหารหนุ่มกลุ่มนี้มิได้เคารพนับถือเยี่ยหลีด้วยใจจริง

เยี่ยหลีคร้านแม้แต่จะกรอกตาใส่เขา เดินออกไปนั่งลงตรงโคนต้นไม้ พิงต้นไม้พักผ่อน “ช่วยไม่ได้ อารามรีบร้อน ข้ามิอาจทำให้ทุกฝ่ายมานับถือข้าได้ ทำให้คุณชายเฟิ่งซานต้องผิดหวังแล้ว”

เมื่อรู้สึกได้ว่าเยี่ยหลีมิได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก เฟิ่งจือเหยาจึงยกมือลูบจมูก หมุนตัวไปหาที่นั่งลงหลับตาพักผ่อนบ้าง

กระโจมหลังใหญ่ชั่วคราวที่อยู่ด้านนอกรุ่นเทียนหยา หลี่ว์จิ้นเสียนกำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ บรรดาผู้บัญชาการทหารที่นั่งอยู่ด้านข้างต่างอยู่ในสีหน้าโกรธจัด “ทุกวันนี้ พวกมันลอบโจมตีเราดึกดื่นค่ำคืนทุกวัน จะไม่ให้พักผ่อนกันบ้างเลยหรือ”

อย่าว่าแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจางฉี่หลันที่หลายวันนี้ต้องหงุดหงิดใจยิ่งนักเลย ทางฟากหลี่ว์จิ้นเสียนเองก็มิได้อยู่อย่างสบายๆ เช่นกัน พื้นที่ที่พวกเขายึดเป็นที่มั่นนั้นอยู่ในมุมสูง มองลงไปเห็นพื้นที่ทางด้านล่าง ซึ่งก็ถือว่าได้เปรียบอยู่มากแล้ว ตามปกติทัพตะวันออกต้องเสียคนอย่างน้อยห้าถึงหกคน ถึงจะสามารถทำร้ายพวกเขาได้คนหนึ่ง อีกอย่างจางฉี่หลันไม่มีทางสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายกับเขาที่นี่อย่างแน่นอน ช่วงกลางวันที่ฟ้าสว่างก็ไม่เท่าไรหรอก แต่พอตกดึกทีไร อีกฝ่ายก็จะมาเล่นงานพวกเขาไม่ได้หยุด ตกดึกที่มองอันใดไม่เห็น หากไม่ระวังเพียงนิด อีกฝ่ายก็จะเข้าประชิดมาทันที ดังนั้นทหารที่รักษาเวรยามยามค่ำคืน จึงต้องคอยระมัดระวังกันมากขึ้นเป็นสองหมื่นส่วน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ครานี้อีกฝ่ายมาเพื่อเพียงทดสอบ หรือบุกขึ้นมากันทั้งหมดจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้หลายวันเข้า ทหารทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันจนเกิดเป็นความโกรธเกรี้ยวขึ้น

“ท่านแม่ทัพ ท่านอ๋องให้ม้าเร็วส่งจดหมายมาขอรับ” ด้านนอกกระโจมมีทหารมาเอ่ยรายงาน

หลี่ว์จิ้นเสียนลืมตาขึ้น กวาดตามองทุกคนที่ยังดูโกรธเกรี้ยวและหัวเสีย ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “เข้ามา”

นายทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา สองมือถือจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง

เมื่อหลี่ว์จิ้นเสียนกางจดหมายออกอ่าน คิ้วก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน

คนอื่นๆ เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก็รีบเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านอ๋องมีคำสั่งเช่นไรหรือ”

หลี่ว์จิ้นเสียนยื่นจดหมายส่งให้รองแม่ทัพที่นั่งถัดลงมา

เมื่อรองแม่ทัพได้อ่านเนื้อความในจดหมาย ก็อึ้งไปเช่นกัน รีบหันขวับไปเอ่ยกับหลี่ว์จิ้นเสียนว่า “ท่านอ๋องเอ่ยเตือนท่านแม่ทัพให้ระวังพระชายา?”

คนอื่นๆ ก็ผลัดกันอ่านเนื้อความในจดหมาย หลี่ว์จิ้นเสียนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จะว่าไป หลายวันมานี้ ดูเหมือนพระชายาจะมิได้มาปรากฏกายที่ค่ายทหารเลย”

เมื่อเอ่ยถึงพระชายา ถึงแม้จะเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่กลับทำให้ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายที่คร่ำหวอดในสนามรบกันมายาวนาน ดูมีแววเคารพเลื่อมใสไม่น้อย ซึ่งนั่นมิได้เพียงเพราะความสามารถทางการทหารที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไปของพระชายา แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือด้วยเพราะสิ่งที่หลายปีมานี้พระชายาทำเพื่อกองทัพตระกูลม่อทั้งหมด อาทิเช่น การเลื่อนขั้น เสบียงกรังและกองทุนของทหาร การจัดการกับทหารที่บาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนต่างๆ ในกองทัพ วิธีการมากมายที่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นสิ่งที่พระชายาเสนอขึ้นมาทั้งสิ้น ดังนั้นในสายตาของทหารทุกคนแล้ว ชายาติ้งอ๋องไม่มีทางเป็นเพียงพระชายาอ๋องทั่วไปอย่างแน่นอน แต่เป็นหนึ่งในผู้ที่ควบคุมกองทัพตระกูลม่ออย่างแท้จริง

การที่ท่านอ๋องเขียนจดหมายมาเอ่ยเตือนด้วยตนเอง ทำให้ทุกคนรู้สึกระแวดระวังพระชายาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงแต่ยามนี้…พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ชายาติ้งอ๋องกำลังทำสิ่งใดอยู่ ยามนี้ หลี่ว์จิ้นเสียนถึงได้รู้ตัวว่า ตนได้มองข้ามบุคคลสำคัญคนหนึ่งไปเสียแล้ว

ซึ่งมิใช่เพราะหลี่ว์จิ้นเสียนคิดว่าเยี่ยหลีเคลื่อนย้ายทหารได้เก่งกาจกว่าจางฉี่หลัน แต่เพราะจางฉี่หลันทำงานร่วมกับเขามาเป็นสิบปีแล้ว ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันดีพอสมควร แต่ชายาติ้งอ๋องกลับเป็นคนที่พวกเขาไม่รู้จักเอาเสียเลย สิ่งเดียวที่เขารู้จักเกี่ยวกับชายาติ้งอ๋องก็จำกัดอยู่เพียง การรบเมื่อหลายปีก่อนที่นางสู้รบกับเจิ้นหนานอ๋องเท่านั้น แน่นอนว่าการรบในครานั้น ก็เพียงพอให้ผู้บัญชาการทหารไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ต้องมองนางในมุมใหม่อย่างแน่นอน ตำราการศึกได้กล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ หลี่ว์จิ้นเสียนก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา