ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 154 ชนะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับลั่วลั่วยืนอยู่บนพื้นทรายของหอชำระธุลี ฐานะของทั้งสองเมื่อรวมกันแล้ว ก็เพียงพอที่จะสั่นคลอนทุกคนที่อยู่บนชั้นสอง แน่นอนว่าคนที่อยู่บนชั้นสองล้วนแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ว่าการตักเตือนของเขาชัดเจนยิ่งนัก อีกทั้งผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่างก็มีกองกำลังเป็นของตนเอง ล้วนมีอำนาจที่แตกต่างกันอยู่ในห้องนั้น ต่างฝ่ายต่างมองกัน ด้วยเหตุนี้แม้อยากฟังแต่ก็ทำได้เพียงไม่ฟัง

ในห้องนั้นเงียบ และเงียบสนิทยิ่งนัก ด้านนอกหน้าต่างมีแสงเล็ดลอดเข้ามาแต่ก็มิได้สว่าง ม่ออวี่ที่นั่งอยู่ตรงกลาง เงียบนิ่งชั่วครู่ ท่าทางนิ่งเฉยปิดตาลง คล้ายกับว่าเตรียมตัวหยุดพักผ่อนชั่วครู่ ในความเป็นจริงนางใช้การกระทำนี้แสดงความรู้สึก นางมิได้เตรียมฟังประโยคต่อมาของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

เซวียสิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองท่านก็หลับตาเช่นกัน ตามเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ ราวกั้นไม้ด้านนอกหน้าต่างพลิกลง ท้องฟ้ามีแสงสว่างฉับพลัน ขับเคลื่อนค่ายกลป้องกันเสียง ไม่อาจได้ยินเสียงที่อยู่ชั้นล่างหออีกต่อไป ส่วนนักบวชของพระราชวังหลีที่อยู่ที่อื่นเหล่านั้น ก็คงไม่กล้าที่จะแอบฟัง ก็คงหาวิธีที่จะให้ตนกลายเป็นคนหูหนวกเสีย

ผ่านไปชั่วครู่ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมิไปตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีผู้ใดแอบฟัง และยังมิได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ จ้องมองไปทางลั่วลั่วเอ่ยต่อ “ใช้อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่เพื่อยืนยันว่าข้าแข็งแกร่ง สำหรับชีวิตของข้ารวมถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่ได้รับ มิได้มีความหมายใดๆ ด้วยเหตุนี้ข้าสละสิทธิ์ได้”

ลั่วลั่วกล่าวตอบ “ประกาศแรกอันดับแรกเป็นเกียรติที่ยากจะได้รับ สามารถขยับตำแหน่งของเจ้าที่อยู่ในใจของจักรพรรดินีได้”

“หลังจากนั้นเล่า” ใบหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไร้ความรู้สึกเอ่ยต่อ “ในคนหนุ่มของตระกูลเทียนไห่ทั้งสามคน ข้าซึ่งเดิมทีเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดก็จะยิ่งโดดเด่น แล้วดีต่อข้าอย่างไรรึ สุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินสถานการณ์ภายในตระกูลของข้ายังคงเป็นบิดาข้าและบรรดาพี่น้องเหล่านั้น”

ลั่วลั่วจ้องมองเขา กล่าวถาม “ดังนั้นเจ้าจึงเตรียมจะเอาอันดับแรกประกาศแรกมาแลกเปลี่ยนสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเอ่ย “มิผิด นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงบอกว่า การสอบใหญ่สำหรับข้าแล้ว ความหมายที่สำคัญที่สุดคือการได้พบเจอองค์หญิง เพราะองค์หญิงปรารถนาความพ่ายแพ้ของข้า”

ลั่วลั่วครุ่นคิด ถามออกไป “เจ้าต้องการสิ่งใด”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเงียบนิ่งจ้องมองนาง เอ่ยออกมา “ข้าหวังว่าจะแลกเปลี่ยนมิตรภาพขององค์หญิงได้”

ลั่วลั่วมิได้คิดแม้แต่น้อย ตอบออกไปทันที “ไม่ได้”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเอ่ยเยาะหยันตนเอง “ดูแล้วสวรรค์คงจะโกรธเคืองผู้คนคงจะโมโหสกุลเทียนไห่นี้ดังคาด”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “ไม่ใช่ ข้าเพียงคิดว่ามิตรภาพไม่อาจจะแลกเปลี่ยนได้ ทำได้เพียงแค่บ่มเพาะเท่านั้น”

“มีเหตุผล” ท่าทางของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น พลางเอ่ยต่อ “เช่นนั้นข้าจะมีโอกาสบ่มเพาะมิตรภาพกับองค์หญิงหรือไม่”

ลั่วลั่วกล่าวตอบ “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ จะต้องฟังอาจารย์”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยครุ่นคิด เฉินฉางเซิงก็คงจะไม่มีความประทับใจใดๆ ต่อตนเป็นแน่ จึงถามขึ้นอีก “อย่างนั้นองค์หญิงท่านมีลูกพี่ลูกน้องหรือไม่”

ลั่วลั่วมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเหนือผู้ใด จะไม่เข้าใจความหมายของเขาได้อย่างไร เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ลูกพี่ลูกน้องข้าอยู่ที่เขตต้าซี แต่…ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ปีหน้าเจ้าก็จะต้องสมรสกับผิงกั๋วแล้วสินะ”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย เอ่ยตอบ “ท่านก็น่าจะชัดเจนยิ่งนัก ผิงกั๋วชื่นชอบชิวซาน ข้าสมรสกับนางแล้วจะมีความหมายอะไร หากพูดอีก การสมรสกับนางก็คงจะทำให้ข้าตายเร็วกว่าเดิม”

ลั่วลั่วเข้าใจความหมายของเขา หลังจากครุ่นคิดจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ จะต้องฟังท่านพ่อท่านแม่”

“เช่นนั้น ข้าสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งใดจากท่านได้” เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย

ลั่วลั่วก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมา ตอบออกไป “ข้าก็ไม่รู้จริง”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมองไปยังหน้าต่างที่ปิดสนิทของชั้นสอง อยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “คำสัญญาได้หรือไม่”

ท่าทางของลั่วลั่วสะท้านเล็กน้อย เอ่ยว่า “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าไม่แน่ใจว่าจะมีความสามารถปฏิบัติตามคำสัญญาได้หรือไม่”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกล่าวสงบนิ่ง “ข้าเชื่อมั่นในคุณธรรมขององค์หญิง เพียงแค่เวลานั้นมาถึง ท่านลองปฏิบัติตามสัญญา ข้าย่อมยอมรับได้”

ลั่วลั่ว โพล่งออกมา “เช่นนี้เจ้าก็เสียเปรียบเกินไปแล้ว”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเอ่ยตอบ “นำสิ่งที่ไม่มีไปแลกเปลี่ยนย่อมคุ้มค่าที่จะแสวงหาที่สุด ไม่ว่าเป็นอนาคตที่จะมีอยู่หรือไม่ ก็คุ้มค่าแล้ว”

ลั่วลั่วอยู่ๆ ก็สงสารเขา กล่าวถาม “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย คล้ายกับว่าอ้างว้างเล็กน้อย เอ่ยตอบ “หรือนี่ อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อการเติบโต”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็หมุนกายเดินออกไปด้านนอกหอชำระธุลี

ลั่วลั่วมองภาพด้านหลังของเขา รู้สึกจนปัญญา

คนที่เกิดอยู่ในตระกูลจักรพรรดิ มิใช่ว่าจะมีใครโชคดีดังเช่นนาง

แน่นอนว่า นางก็มีสิ่งที่ไม่โชคดีหรือว่าสิ่งที่ยากลำบาก เพียงแต่ว่ายังมาไม่ถึง

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นคนที่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาใช้การสอบใหญ่ มาแลกเปลี่ยนหลักประกันบางอย่าง

เหมือนดั่งประโยคสุดท้ายที่เขากับลั่วลั่วคุยกันเช่นนั้น

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า

จำต้องเป็นเช่นนี้

ราวกั้นไม้เปิดออก แสงจากท้องฟ้าเข้ามาอีกครา เสียงก็เข้ามาในห้องที่เงียบสนิท นั่นเป็นเสียงฝีเท้าที่จากไปของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

ทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง

ไม่มีใครรู้ว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับลั่วลั่วคุยอะไรกัน อันที่จริงถึงแม้จะได้ยินประโยคนั้น ก็ไร้หนทางจะยืนยันว่าระหว่างเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับลั่วลั่วมีข้อตกลงอะไรกัน คนที่อยู่ในสนามล้วนแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ล้วนแต่มีสติปัญญาเพียงพอ นอกจากเฉินหลิวอ๋อง คนที่เหลือต่างก็มิได้มีฐานะดังเช่นลั่วลั่วกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะเข้าใจความหวาดกลัวที่สุดของพวกเขา

ผู้คนมองเห็นเพียงแค่เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจากไปดื้อๆ สละสิทธิ์การต่อสู้ครั้งนี้

ม่ออวี่ปรายตามองใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านที่มีท่าทางหนักอึ้ง ในใจครุ่นคิดเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่จริงแล้วก็แซ่เทียนไห่ จะถูกพวกเจ้าหาประโยชน์ได้อย่างไร แม้แต่บิดาของเขายังทำไม่ได้เลย

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยออกจากตำหนักฝึกฝน มิได้เข้าร่วมการสอบใหญ่ต่อ ถึงอย่างไรคะแนนสอบความรู้ของเขาอย่างน้อยก็อยู่ห้าอันดับแรก ใครก็ไม่กล้าให้เขาออกจากสามอันดับแรก

นักบวชพระราชวังหลียืนอยู่บนบันไดหิน อ่านประกาศ “สำนักฝึกหลวง องค์หญิงลั่วลั่ว ชนะในการไม่ต่อสู้”

ชนะในการไม่ต่อสู้รึ

การต่อสู้ครั้งนี้ผู้แกร่งกล้าล้วนจับตามองมากมายจนไร้สิ่งใดเปรียบ คาดไม่ถึงว่าไม่ได้เริ่มรึ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าจะออกจากการแข่งขันดื้อๆ บรรดาผู้เข้าสอบด้านนอกหอชำระธุลีต่างตกตะลึงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าในหอชำระธุลีก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้น

ลั่วลั่วเดินกลับไปยังข้างชายป่า

เฉินฉางเซิงมองนาง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น”

ท่าทางบนใบหน้าเล็กของลั่วลั่วผิดหวังห่อเหี่ยวใจ มิใช่ความผิดหวังที่ไม่ล่วงรู้ แต่เป็นความผิดหวังห่อเหี่ยวเพราะสะเทือนใจ

นางมองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยตอบ “อาจารย์ ข้ารับปากเขาว่าจะบอกไม่บอกผู้ใด รวมถึงท่านแล้วก็ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอโทษ”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน กล่าวตอบ “ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

การสอบใหญ่ในรอบที่สองได้สิ้นสุดอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อไปก็คือการสอบรอบที่สาม มีคนเข้ารอบสิบหกคน การต่อสู้รอบที่สามก็ยังคงเป็นการจับฉลาก ทว่าไม่เหมือนกับรอบที่สอง การจับฉลากในรอบนี้ก็มิได้ตื่นเต้นเท่า ผู้เข้าสอบที่เข้ารอบครั้งที่สาม โดยพื้นฐานก็ยืนยันได้ว่าสามารถเข้าไปอยู่สามอันดับของการสอบใหญ่ มองเพียงแค่ลำดับโดยรวมครั้งสุดท้ายเท่านั้น ผู้เข้าสอบที่พึงพอใจเมื่อเข้าไปอยู่ในสามอันดับ เป็นธรรมดาที่จะไม่สนใจว่าต่อไปจะจับฉลากต่อสู้กับผู้ใด นอกเหนือจากว่าผู้เข้าสอบที่มีความคิดกว้างไกลอยากจะเข้าไปอยู่ลำดับแรก สุดท้ายแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นแล้วลำดับต่อไปจะจับฉลากได้ผู้ใดก็มิได้สนใจ

ผู้เข้าสอบที่พ่ายแพ้ในรอบที่สอง นอกจากซูม่ออวี๋ ฮั่วกวงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้อีก ยังมีเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่ยอมแพ้อย่างแปลกประหลาด ที่เหลือต่างก็เตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันเพิ่มเติมหลังจากนี้ ด้านนอกหอชำระล้างธุลียังมีผู้เข้าสอบอีกหกสิบเอ็ดคน ทว่าสายตาจำนวนมากของผู้เข้าสอบต่างร่วงหล่นอยู่บนคนไม่กี่คนของสำนักฝึกหลวงข้างป่าไม้

ผู้ยิ่งใหญ่ในนิกายหลวงเหล่านั้นจะยังคงลงมือกับการจับฉลากมอบคู่ต่อสู้ที่ยากจะเอาชนะให้แก่ลั่วลั่วและเฉินฉางเซิงหรือไม่ ทว่าตอนนี้ผู้คนที่อยู่ในการแข่งขันต่างก็แปลกประหลาดเพียงหนึ่งเรื่อง หลังจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจากไปแล้ว คนที่จะสามารถเอาชนะองค์หญิงลั่วลั่วได้ก็มีเพียงคนเดียว คือโก่วหานสือ

ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง ที่ทำให้บรรดาผู้เข้าสอบตึงเครียด นั่นก็คือผู้ใดจะจับฉลากได้คู่กับเจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่า แม้จะกล่าวว่ามาถึงยังรอบที่สาม หากจับได้ผู้ใดก็เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับเจ๋อซิ่วเป็นแน่ ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้นับว่าดี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหนุ่มน้อยผู้นี้เลือดเย็นดุร้าย หากต่อสู้กับเขาแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัสก็มิใช่สิ่งที่ดีนัก

นักบวชพระราชวังหลีหยิบฉลากที่ใช้ชื่อปลอมเขียนไว้ว่าจางทิงเทาออกมาอย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ของเจ๋อซิ่วก็คือกวนเฟยไป๋

บนใบหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงไม่แสดงความรู้สึกอะไร คล้ายกับว่าภายนอกเป็นคนเฉยเมย ทว่าจากนัยน์ตาของเขาสามารถมองออกว่าเขาพึงพอใจต่อคู่ต่อสู้ผู้นี้ยิ่งนัก

กวนเฟยไป๋มิได้เอ่ยสิ่งใด เงียบนิ่งอย่างยิ่ง มองไม่ออกว่าเวลานี้จิตใจของเขาเป็นอย่างไร

การต่อสู้ของประกาศชิงอวิ๋นลำดับที่สามกับที่ห้า หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าเลือดเย็นที่มาจากดินแดนหิมะกับลำดับที่สี่ของเจ็ดคำโคลงดินแดนเทพจากพรรคกระบี่หลีซาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงจากที่ไหน ต่างก็เพียงพอให้การต่อสู้สนามนี้ดุเดือดขึ้นมา รวมถึงพวกผู้เข้าสอบที่เดิมไม่คิดสนใจเรื่องการจับฉลาก ต่างล้วนส่งเสียงตะโกนออกมาเกรียวกราว

เสียงร้องตะโกนยังมิได้หยุด เวลาต่อมาพลันยิ่งดังขึ้นไปอีก

เพราะว่าเหลียงปั้นหูพบกับชีเจียน

นี่เป็นเรื่องอันใดกัน

ท่าทางของโก่วหานสือเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย

เวลาต่อมา เขาจับได้หนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าของสำนักเด็ดดารา

บรรดาผู้เข้าสอบต่างก็พูดคุยกันเซ็งแซ่

การต่อสู้ในรอบที่สองต้องการเล่นงานสำนักฝึกหลวง รอบที่สามก็ลงมือกับพรรคกระบี่หลีซานอย่างนั้นรึ

รอบนี้คู่ต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วค่อนข้างอ่อนด้อย

แต่ว่าในบรรดาคนที่สุดมุ่งหมายประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ โชคของพวกเขาก็ไม่ได้ดีที่สุด

จวงห้วนอวี่แห่งสำนักเทียนเต้าพบกับคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างอ่อนด้อยมาสามรอบติดต่อกัน

และคนที่คล้ายคลึงกันก็คือจงฮุ่ยแห่งสำนักต้นไหว

โก่วหานสือเดินเข้าไปในหอชำระธุลี

ตั้งแต่การต่อสู้ของการสอบใหญ่ได้เริ่มขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลงสนาม

หลังจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยออกไป ในบรรดาผู้เข้าสอบ ระดับวิทยายุทธ์ของเขาแข็งแกร่งที่สุด

เป็นธรรมดาที่การต่อสู้สนามนี้จะดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามการต่อสู้ในสนามนี้กลับดำเนินไปอย่างสงบนิ่ง ปกติอย่างยิ่ง จนถึงขนาดเอ่ยได้ว่าน่าเบื่อจนเกินไป

เวลาไม่ได้ผ่านไปนาน ประตูของหอชำระธุลีได้เปิดอีกครา

โก่วหานสือกับหนุ่มน้อยผู้เข้าสอบสำนักเด็ดดาราเดินออกจากในหอชำระธุลีมาต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะตามร่างกายของเขา หรือว่าบนร่างกายของหนุ่มน้อยสำนักเด็ดดารา ต่างก็ไม่มีคราบโลหิต คล้ายกับว่ามิได้รับบาดเจ็บ จนถึงขนาดว่าแม้กระทั่งฝุ่นละอองก็ไม่มี ประหนึ่งคนทั้งสองเดิมทีมิได้ต่อสู้กัน

ธรรมดาว่าผู้ชนะก็คือโก่วหานสือ

“ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ห่างกันไกลเหลือเกิน”

ลั่วลั่วมองไปยังโก่วหานสือที่เดินไปยังริมแม่น้ำ รู้สึกเลื่อมใส ทว่ารู้สึกไม่สงบ พลางเอ่ยว่า “ถึงแม้เวลานี้ข้าจะอยู่ขั้นทะลวงอเวจี โอกาสก็คงไม่มาก”

“คิดฟุ้งซ่านอันใด” เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “เขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ไม่ใช่เจ้า”

ครั้งแรกในการลงสนามของโก่วหานสือน่าเบื่อจนเหนือความคาดหมาย

ชีเจียนกับเหลียงปั้นหู การต่อสู้ระหว่างลูกศิษย์พรรคกระบี่หลีซานด้วยกัน กลับยิ่งทำให้ผู้คนยิ่งเหนือความคาดหมาย

การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดจนไม่คาดคิด ค่ายกลกั้นเสียงของหอชำระธุลี เดิมทีก็ไม่อาจกลบเสียงกระบี่ที่ทรงพลังน่าเกรงกลัวไว้ได้ บนท้องฟ้าสีคราม ปรากฏเส้นแสงของพลังกระบี่ที่ตัดประสานกันจำนวนไม่ถ้วน ถึงแม้จะยืนอยู่ด้านนอกหอ ต่างก็รับรู้ถึงพลังและความอันตรายของกระบี่ทั้งสอง

สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วผู้ชนะมิใช่เหลียงปั้นหู แต่เป็นชีเจียน