ตอนที่ 506 อาภรณ์ม่วงดั่งมรกต

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 506 อาภรณ์ม่วงดั่งมรกต โดย ProjectZyphon

สำนักศึกษาเงียบสงบ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่โบราณทรงคุณภูมิ

ประจวบเหมาะกับเป็นรุ่งเช้า ในสำนักศึกษาบรรดาศิษย์มากมายทยอยปรากฏร่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่างก็อายุน้อยอยู่ในช่วงวัยกำลังรุ่งโรจน์ เปล่งประกายเบิกบานมีชีวิตชีวา

เมื่อเห็นร่างหลินสวินและเสิ่นทั่วเดินออกมาพร้อมกัน เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีพลันดังขึ้นทันที

“อาจารย์เสี่ยวหลิน!”

“อาจารย์เสี่ยวหลิน พวกเราจะสนับสนุนท่านไปตลอดกาล!”

“อาจารย์เสี่ยวหลิน เมื่อไหร่จะสอนพวกเราหลอมชุดศึกสลักวิญญาณล่ะขอรับ”

สีหน้าท่าทางศิษย์เหล่านั้นฉายแววเทิดทูนและตื่นเต้นยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ บ้างก็ใจกล้าและตรงไปตรงมาตามประสาคนรุ่นเยาว์

ศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งถึงขั้นตื่นเต้นจนแก้มแดงระเรื่อแววตาหลงใหล เห็นได้ว่ายามนี้สถานะของหลินสวินในใจศิษย์เหล่านี้พิเศษโดดเด่นเพียงไหน

หากไม่ใช่เพราะเสิ่นทั่วอยู่ด้วย บรรดาศิษย์เหล่านั้นคงจะล้อมกรอบหลินสวินล้อมไปนานแล้ว

“คนหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ”

หลินสวินทอดถอนใจประโยคหนึ่ง

เสิ่นทั่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ คำพูดนี้ควรเป็นข้าที่ทอดถอนใจถึงจะถูก”

หลินสวินยิ้มฟังโดยไม่คัดค้าน

เมื่อเดินผ่านหอหลอมวิญญาณ จู่ๆ หลินสวินก็เห็นร่างที่คุ้นเคย

ฉู่ซานเหอ!

เพียงแต่เขาในเวลานี้มือถือไม้กวาด กำลังปัดกวาดพื้นหน้าหอหลอมวิญญาณเหมือนข้ารับใช้อายุมากคนหนึ่ง

พริบตาที่เหลือบเห็นหลินสวิน สีหน้าฉู่ซานเหอพลันเปลี่ยนไปในทันที นัยน์ตาฉายแววอาฆาต คับแค้นใจ หวาดกลัว หดหู่ ซับซ้อนสับสนเหลือประมาณ

ท้ายที่สุดเขาแค่นเสียงไม่พอใจก่อนหันกลับเข้าไปยังหอหลอมวิญญาณ

“นี่คือบทลงโทษที่เจ้าสำนักให้แก่เขา ถอนตำแหน่งรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ ลดขั้นลงมาเป็นคนงานดูแลหอหลอมวิญญาณร้อยปี”

เสิ่นทั่วอธิบาย

หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น “การลงโทษนี้ไม่เบาเกินไปหน่อยหรือขอรับ”

เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ “เจ้าไม่เข้าใจ บุคคลยิ่งใหญ่ที่องอาจผ่าเผยคนหนึ่งจากตระกูลฉู่ ตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่ เป็นถึงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ มีหน้ามีตาระดับไหน แต่มาวันนี้กลับถูกลดขั้นลงเป็นคนงาน สูญเสียอำนาจและเกียรติภูมิทั้งหมดไป รสชาติของการถูกกระแทกตกลงมาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาเช่นนี้ยังแย่กว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก”

หลินสวินคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก

นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนัก เท่ากับได้มอบความยุติธรรมให้ตนเองแล้ว เขาไหนเลยจะสามารถไม่พอใจได้

แน่นอนว่า ถ้าหากยึดตามความคิดของหลินสวิน ต่อให้ไม่ฆ่าฉู่ซานเหอ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เขาพิการ ไม่มีโอกาสล้างแค้นตนได้อีก

โถงรับรอง

ทันทีที่มาถึงหลินสวินก็มองเห็นจ้าวไท่ไหล เขาเป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับกลับทำตัวเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง แต่งกายหรูหราฟุ้งเฟ้อ รูปร่างอวบอ้วนยิ้มแย้ม ดูน่าสนิทชิดเชื้ออย่างเป็นธรรมชาติ

เพียงแต่หลินสวินรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่คือตัวแทนแห่งตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เท่านั้น คิดจะดึงข้อมูลออกจากปากเขาเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อสิ้นดี

“โอ้ ในที่สุดปรมาจารย์หลินสวินก็ปรากฏตัวแล้ว ทำให้ข้าผู้แซ่จ้าวรู้สึกตื่นตะลึงที่ได้รับการโปรดปรานยิ่งนัก”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดังเดินเข้ามาต้อนรับ

“ฮ่าๆๆ ได้พบผู้อาวุโสที่นี่ก็ทำให้ข้ายินดีอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน”

หลินสวินเองก็หัวเราะเดินเข้าไปหาราวกับว่าดีใจเป็นอย่างมาก

เสิ่นทั่วหมดคำพูดไปพักหนึ่ง ช่างเป็นคู่หูจอมปลอมเสียจริง

เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นจ้าวไท่ไหลหรือหลินสวินต่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจสักนิด กลับกลายเป็นว่าทักทายกันอย่างกระตือรือร้นไม่หยุดหย่อนราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน

นั่นทำให้เสิ่นทั่วตกตะลึงอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง เสแสร้งจอมปลอมถึงขนาดนี้ ไม่ให้นับถือก็คงไม่ได้

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาครานี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”

กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงเอ่ยปากถาม

สายตาเขามองไปยังอีกด้านอย่างคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตรงนั้นมีคนวัยหนุ่มสาวอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่ ศีรษะประดับเกี้ยวขนนก เอวคาดเข็มขัดหยกขาว เท้าใส่รองเท้างูเหลือม ริมฝีปากแดงฟันขาว คิ้วกระบี่เนตรดารา มีรูปลักษณ์งามสง่าบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา

เพียงแต่หลินสวินสังเกตเห็นว่า ผิวของคนผู้นี้ก็เกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างเกินไป ประหนึ่งหยกงามไร้ที่ติ ช่วงหางคิ้วแฝงไอวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เลือนราง ช่างพิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก

“อ้อ ก่อนคุยกันถึงเรื่องหลักข้าขอแนะนำสักหน่อย นี่คือหลานคนหนึ่งของข้าชื่อจ้าวเสวียน มาครั้งนี้เพราะต้องการชื่นชมความสง่างามของปรมาจารย์เสี่ยวหลินสักหน่อย”

จ้าวไท่ไหลพูดอย่างยิ้มแย้ม

“ยินดีที่ได้พบสหายร่วมวิถีหลินสวิน”

จ้าวเสวียนยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ยิ้มพลางคารวะ เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบ รอยยิ้มนั้นดูสะอาดบริสุทธิ์ราวธารน้ำใส

ที่พิเศษที่สุดคือเขาเรียกหลินสวินว่า ‘สหายร่วมวิถี’ เห็นชัดว่าเขามองตนเป็นผู้อยู่ในวิถีเดียวกันจึงเรียกขานเช่นนั้น

หลินสวินยิ้มพลางคารวะตอบ ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ คนในอาภรณ์ม่วงเบื้องหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา อากัปกิริยา หรือแม้แต่คำพูดคำจาต่างล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น ประหนึ่งหยกงามบริสุทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติชิ้นหนึ่ง สุภาพอ่อนโยนไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจได้โดยง่าย

หลังจากนั้นเสิ่นทั่วเดินจากไปอย่างรู้ตนดี ปล่อยให้หลินสวินและจ้าวไท่ไหลอยู่ในโถง ด้วยรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากัน

“การมาที่นี่ครานี้ หนึ่งคือมาแสดงความยินดีกับสหายน้อยที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้สำเร็จ ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน โดดเด่นเป็นสง่าบนเส้นทางนักสลักวิญญาณ”

จ้าวไท่ไหลออกปากพูดยิ้มระรื่น “สอง ก็คือได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น เป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุผลอย่างหนึ่ง”

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่กีดกันคนในอาภรณ์ม่วงนั้นออกไป เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะถูกฝ่ายหลังได้ยินเรื่องลับส่วนตัว

หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวทันที “นี่ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็มีเรื่องรบกวนผู้อาวุโสอยู่พอดี”

จ้าวไท่ไหลมุมปากกระตุกยกขึ้นอย่างยากจะสังเกตเห็น หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นมิสู้สหายน้อยพูดก่อนเป็นอย่างไร”

“เชิญท่านผู้อาวุโสว่ามาก่อนเถิด”

หลินสวินยิ้มบอกปัด

คราวนี้คนในอาภรณ์ม่วงยิ้มเงียบๆ อย่างอดไม่อยู่ เห็นชัดว่าเขามองออกว่าจ้าวไท่ไหลและหลินสวินกำลังหยั่งเชิงกัน

จ้าวไท่ไหลกระแอมเล็กน้อย สีหน้าภูมิฐานเคร่งขรึม “อืม อันที่จริงคำร้องขออันไม่สมเหตุสมผลของข้านี้ง่ายมาก คืออยากให้สหายน้อยลงมือช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งให้ด้วยตนเอง”

หลินสวินชะงัก เอ่ยเสียงขรึม “สิ่งนี้… อันที่จริงก็จัดการได้ง่าย เพียงแต่… ตอนนี้ข้ามีกิจรัดตัว เกรงว่าจะรวบรวมสมาธิได้ยาก…”

ไม่รอให้พูดจบจ้าวไท่ไหลก็ตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่างเถอะๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าไม่ยอมรับปากง่ายๆ พูดมา เจ้ามีเงื่อนไขอะไร”

หลินสวินยิ้มทันที “เฮ้อ ผู้อาวุโสคำพูดนี้ของท่านช่างเห็นข้าเป็นคนนอกเหลือเกิน แต่ว่าข้ามีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนท่านจริงๆ”

“พูด!”

จ้าวไท่ไหลคร้านจะพูดมากความอีก เขาดูออกว่าหากตบตีกับเจ้าจิ้งจอกน้อยหลินสวินนี่ต่อไป รังแต่จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ หาส่วนดีไม่ได้สักกระผีก

“ในเมื่อผู้อาวุโสตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ”

หลินสวินยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ข้าได้ยินมาว่าในส่วนลึกของราชวังมีหอคอยกระบวนแปรจุติอยู่หลังหนึ่ง ไม่ทราบว่าสามารถพาสหายของข้าเข้าไปบำเพ็ญตนในนั้นสักพักหนึ่งได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินชื่อหอคอยกระบวนแปรจุตินี้เข้า ในใจจ้าวไท่ไหลพลันกระตุกวูบ และเมื่อได้รู้ความตั้งใจที่แท้จริงของหลินสวินแล้ว เขายิ่งอดรนทนไม่ได้ทันที “เจ้าหนู ข้อเรียกร้องนี้ของเจ้า… เกินไปหน่อยกระมัง”

“เกินไปหรือขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ

“ที่นั่นคือสถานที่ต้องห้ามของราชวัง แม้แต่บุคคลสำคัญของราชวงศ์ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น เจ้าคิดว่าคนนอกคนหนึ่งจะสามารถเข้าไปได้ไหมล่ะ”

จ้าวไท่ไหลแค่นเสียง

หลินสวินคิ้วขมวด “ดูแล้วเรื่องนี้ยากจะทำได้จริงดังว่า…”

“เพื่อนของเจ้าต้องการไปหอคอยกระบวนแปรจุติเพื่ออะไร”

ทันใดนั้นเองคนในอาภรณ์ม่วงพลันเอ่ยปากถาม

“เขาติดอยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงสุดหลายปี อายุขัยใกล้หมดลงแล้ว หากยังไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นไปได้จะต้องเกิดเรื่องไม่อาจคาดคิดขึ้นแน่นอน”

เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้คนอาภรณ์ม่วงนั้นกระจ่างแจ้งทันที พยักหน้ากล่าว “เป็นปัญหาจริงๆ ระดับมหาสมุทรวิญญาณมีอายุขัยสามร้อยปี ระดับหยั่งสัจจะมีอายุขัยหกร้อยปี หากไม่อาจเลื่อนระดับขึ้นไปได้ ไม่ว่าจะฝึกปราณถึงขั้นสูงสุด ท้ายที่สุดก็ต้องหยุดกลางทาง เปลี่ยนเป็นซากกระดูกกองหนึ่ง”

หลินสวินเองก็รู้สึกเช่นนั้น ก่อนพูดอย่างทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ที่พี่จ้าวกล่าวมาทั้งหมดตรงใจข้า น่าเสียดาย นอกจากเข้าไปยังหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ส่วนลึกของราชวังแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่ายังมีหนทางอื่นที่สามารถช่วยสหายแก้ไขปัญหานี้ได้อีกหรือไม่”

จ้าวไท่ไหลซึ่งอยู่ด้านข้างพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ข้อเรียกร้องนี้ของเจ้าเกินไปหน่อยจริงๆ ที่นั่นเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามของราชวังเชียวนะ!”

หลินสวินร้องอ้อหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงได้แต่หาคนอื่นมาช่วยแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยฝีมือที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้!”

เห็นดังนั้นจ้าวไท่ไหลก็ลนลานทันที “เอ๊ะ เจ้าหนูเจ้าหมายความว่าอะไร นี่เจตนาให้ข้าลำบากใจใช่ไหม”

หลินสวินถอนหายใจ “ผู้อาวุโส ข้าไม่กล้าไม่เคารพท่าน เพียงแต่หากไม่จัดการปัญหานี้ก็เหมือนใจอัดอั้น ข้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่”

จ้าวไท่ไหลแทบจะกลอกตาใส่ “เจ้าหนูอย่างเจ้านี่เห็นชัดว่าจงใจ!”

ไม่รอให้เขาพูดมากความ จ้าวเสวียนในอาภรณ์ม่วงที่อยู่ด้านข้างยิ้มพลางออกปาก “สหายร่วมวิถีหลินสวิน เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้าได้”

หลินสวินมีชีวิตชีวาขึ้นมา “จริงรึ”

“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะ!” จ้าวไท่ไหลที่อยู่ด้านข้างตะโกนอย่างร้อนรน

“ท่านอาเก้า ตกลงตามนี้เถิด แค่โอกาสเข้าไปบำเพ็ญในหอคอยกระบวนแปรจุติครั้งเดียวเท่านั้นเอง หากสามารถช่วยสหายร่วมยุทธ์หลินสวินจัดการปัญหาของเพื่อนได้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลอง”

จ้าวเสวียนยิ้มตอบ เขาดูประหนึ่งหยกงาม ริมฝีปากแดงฟันขาว รอยยิ้มกระจ่างดุจกระแสธารใสสะอาด ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์อย่างยากจะอธิบาย

เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจว่า ฐานะของจ้าวเสวียนคนนี้ต้องพิเศษโดดเด่นมากในหมู่เชื้อพระวงศ์แน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้ารับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เช่นนี้

“ฮึ! เจ้าหนู เจ้ายังไม่รีบขอบคุณอีก”

จ้าวไท่ไหลถลึงตาใส่หลินสวิน

หลินสวินสำรวมสีหน้า ประสานมืออย่างจริงจังทันที “บุญคุณใหญ่หลวงของพี่จ้าว ข้าผู้แซ่หลินจะไม่ลืมตลอดชีวิต หลังจากนี้จะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องเกรงใจ” จ้าวเสวียนมุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น นัยน์ตาดำเป็นประกายกระจ่าง

“คิดจะตอบแทนยังไม่ง่ายอีกรึ ครั้งนี้ช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่สามารถข้ามด่านเคราะห์อสนีมาได้เหมือนเดิมชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว”

จ้าวไท่ไหลเหล่มองหลินสวิน

“จะทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน”

หลินสวินรับคำอย่างเต็มใจ พริบตาก็เปลี่ยนประเด็นทันทีเหมือนคิดอะไรได้ “เพียงแต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณแบบไหน และต้องการหลอมให้ใคร”

“เตาใบหนึ่ง”

ผู้ตอบคือจ้าวเสวียน เขาในเวลานี้ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าตาจริงจังมีบรรยากาศน่าเกรงขามยากจะบรรยายอย่างหนึ่ง

“เตา?”

“ไม่ผิด พูดให้ถูกคือเตาสมบัติเก้ามังกร วัตถุดิบวิญญาณรวบรวมไว้ครบถ้วนแล้ว หวังว่าสหายหลินสวินจะช่วยหลอมออกมาให้ หากมีมันข้าก็สามารถไปดินแดนรกร้างโบราณเพื่อบำเพ็ญเพียรได้อย่างวางใจ”

เมื่อจ้าวเสวียนพูดคำนี้ออกมา ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจว่า ที่แท้การที่จ้าวไท่ไหลมาวันนี้ทั้งหมดล้วนเพื่อจ้าวเสวียนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้!

“ได้”

ใคร่ครวญเล็กน้อยหลินสวินก็รับปาก เพียงแค่อีกฝ่ายยินยอมให้จูเหล่าซานเข้าไปบำเพ็ญเพียรในหอคอยกระบวนแปรจุติ หลินสวินก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว

ชั่วขณะนั้นเองจ้าวไท่ไหลที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผ่อนคลายลงทั้งตัว ยิ้มออกมา

เพียงแต่ยามจ้าวไท่ไหลคิดว่าทุกอย่างจบเสร็จสิ้นลงได้ด้วยดีทั้งสองฝ่าย กลับเห็นจ้าวเสวียนพลันยืนขึ้น สายตามองไปยังหลินสวิน ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“ได้ยินมาว่าในวิถียุทธ์สหายหลินสวินก็เรียกได้ว่ามากความสามารถ และตอนนี้ยังรั้งอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ มิสู้เจ้ากับข้าอาศัยโอกาสนี้ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นอย่างไร”

……………………