ตอนที่ 40 - 3 ความรู้สึกลึกซึ้ง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

นางอยู่ในท่านี้นานเหลือเกิน จวบจนกระทั่งสมองขาดออกซิเจนเล็กน้อยถึงเงยหน้าขึ้น ลงจากเตียงเปิดประตูเดินออกไป ตะโกนใส่ท้องฟ้าว่า “ข้อสอบใหม่! ข้าจะทดสอบ!”

 

 

ต้องหาอะไรทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมองสับสนวุ่นวาย ถึงได้ไม่คิดมากขนาดนั้น

 

 

เหล่าบุรุษมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางก็พลันฮึกเหิมอยากทดสอบขนาดนี้แล้ว

 

 

กางเกงชั้นในที่ลอยลงมาจากท้องฟ้า ครานี้ยงเสวี่ยแย่งได้แล้ว

 

 

บนกางเกงชั้นในไม่ใช่หัวข้อที่เสนอให้ครั้งก่อน คราวนี้เริ่มด้วยคำถาม

 

 

“เอ่ยชื่อเพลงที่ร้องยากที่สุดที่เจ้านึกได้เป็นเพลงแรก”

 

 

จิ่งเหิงปัวโพล่งออกมาว่า “เพลงตกอกตกใจ” กางเกงชั้นในตัวที่สองลอยลงมา “มองเหนือศีรษะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะมีกางเกงชั้นในห้อยเต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อไร พลิ้วไหวราวกับธงนานาชาติ

 

 

อีกด้านเจ็ดสังหารเข็นชั้นวางหนึ่งชั้นเข้ามา ข้างบนแต่ละช่องต่างเป็นลิ้นชัก ทุกลิ้นชักมีสีสันแตกต่างกัน

 

 

กางเกงชั้นในตัวที่สามลอยลงมา “ร้องเพลงตกอกตกใจ พร้อมกับโยนกางเกงชั้นในเหล่านี้ไปในน้ำ ให้แม่นางน้อยสองคนซักสะอาดแล้ว เจ้าค่อยใส่กางเกงชั้นในเข้าไปในลิ้นชัก สีกางเกงชั้นในทุกตัวต้องตรงกับสีลิ้นชัก เสียงเพลงห้ามร้องผิด ห้ามหยุดชะงัก ร้องผิดหยุดชะงักหรือเกิดความผิดพลาดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็นับว่าพ่ายแพ้ ทำไม่สำเร็จในหนึ่งเค่อก็นับว่าพ่ายแพ้ ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้สำเร็จราบรื่นในสามวันจะได้เพิ่มสองแต้ม ทำไม่สำเร็จติดลบห้าแต้ม”

 

 

“เฮงซวย!” จิ่งเหิงปัวโยนกางเกงชั้นในทิ้งไป จื่อหรุ่ยรีบพุ่งเข้าไปรับไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่กางเกงชั้นในหลากสีพวกนั้น เจ้าผู้ชราจื่อเวยคนนี้ ความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือทรมานคนอื่นสินะ? แต่ไหนแต่ไรความสามารถพิเศษต้องรวบรวมสมาธิ เคลื่อนที่พริบตาเอย เคลื่อนย้ายสิ่งของเอย ต้องใช้สมาธิทั้งหมดในพริบตาหนึ่งนั้นที่แสดงออกมา ยิ่งกว่านั้นเพลงตกอกตกใจเป็นเพลงที่ร้องยากที่สุดทำลายสมาธิที่สุด แค่นางร้องเพลงตกอกตกใจก็คล่องแคล่วได้ยากแล้ว ยังให้นางร้องเพลงที่สับสนวุ่นวายนี้เคลื่อนย้ายสิ่งของ? ร้องเพลงเคลื่อนย้ายสิ่งของก็ยากระดับเทพแล้ว ยังให้นางแยกประเภทส่งกางเกงชั้นในเข้าลิ้นชักต่างสีสัน? นี่มันเท่ากับทำสี่อย่างพร้อมกันเลยไม่ใช่เหรอ? ร้องเพลง เคลื่อนย้ายสิ่งของ จำแนกสีสัน และคำนวณเวลา

 

 

เจ็ดสังหารเป็นสุขอย่างยิ่งอยู่ฝั่งหนึ่ง

 

 

“หัวข้อนี้ดี! มีคนซักกางเกงชั้นในให้พวกเราแล้ว!”

 

 

“ง่ายกว่าหัวข้อยามนั้นของพวกเรา ดูถูกปัวปัวแล้ว”

 

 

“หัวข้อยามนั้นของพวกเราคืออะไรนะ? ข้าลืมแล้ว”

 

 

“โอ้ก็เป็นเช่นนั้น ต่อสู้กันพร้อมกับถอนขนเส้นที่สามใต้ก้นนกอินทรีที่บินผ่านเหนือศีรษะทุกตัวและย้อมสีขนในถังย้อมทำเป็นพัดขนนกหนึ่งเล่ม”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวสูดหายใจ ช่างเถอะ ดูท่าเจ้าผู้ชราคงไม่นับว่ากลั่นแกล้งนางจริงๆ

 

 

พวกเพื่อนเลวได้ยินว่ามีหัวข้อใหม่อีกแล้ว ทยอยพากันตามมา เอ่ยว่าจะให้กำลังใจนาง แต่จิ่งเหิงปัวเห็นแล้ว อิงไป๋กำลังดื่มเหล้า เผยซูกำลังคิดจะดวลเหล้ากับเขา เทียนชี่ชื่นชมเครื่องประดับแต่ละชิ้นในกล่องที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหนอยู่ตรงนั้น เหล่าเจ็ดสังหารกำลังหากระดาษกับพู่กันเตรียมจดเนื้อเพลงตกอกตกใจ อย่างไรเสียไม่มีสักคนทำท่าทางวางแผนช่วยนาง

 

 

จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยยอมรับชะตากรรมยิ่งนัก ย้ายอ่างใหญ่มาแล้ว เตรียมกระดานซักผ้าพร้อมสรรพ ข้างบ้านก็มีสระน้ำน้อย ใช้สำหรับซักอาภรณ์ได้พอดี

 

 

จิ่งเหิงปัวคำนวณตำแหน่งเล็กน้อย ปรับตำแหน่งตู้ใส่เสื้อผ้าเป็นอันดับแรก ให้เป็นเส้นตรงกับอ่างกับสระน้ำ ตู้นั้นก็ตั้งไว้บนข้างหน้าผา ลมภูเขาพัดผ่านสั่นไหวใกล้ร่วงหล่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้านางใจร้อน ออกแรงมากเกินไป เป็นไปได้ว่าก็จะชนตู้ร่วงหน้าผา พอถึงตอนนั้นคงหนีไม่พ้นติดลบสิบแต้ม

 

 

รำลึกเนื้อเพลงตกอกตกใจให้แม่นก่อน ตัดสินใจว่าตรงไหนจำไม่ได้ก็ร้องมั่ว อย่างไรเสียเพลงนี้ก็ร้องมั่วเช่นกัน

 

 

น้ำเสียงสดใสเริ่มร้องว่า “อาโอ๋ อาโอ๋ไอ อาซือเตออาซือเตอ…”

 

 

ร้องไปไม่กี่ท่อน เริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งของ มือสะบัดเพียงครั้ง ลืมเนื้อร้องแล้ว

 

 

ช่างเถอะเอาใหม่

 

 

แค่ร้องไปด้วยเคลื่อนย้ายสิ่งของไปด้วยก็พ่ายแพ้นับไม่ถ้วนครั้งแล้ว จิ่งเหิงปัวรู้ดีว่านี่ถึงเป็นส่วนที่ยากที่สุด เป็นพื้นฐานในการทำทั้งสี่เรื่องพร้อมกัน แต่ตลอดทั้งวันแรก ขอแค่เริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งของท่ามกลางเสียงเพลง บางครั้งเสียงเพลงหยุดชะงัก บางครั้งเคลื่อนย้ายสิ่งของล้มเหลว ไม่สำเร็จสักอย่าง

 

 

เรื่องนี้จะโทษนางไม่ได้ นี่ก็คือสัญชาตญาณ เป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติของมนุษย์ เดิมทีมนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ซับซ้อน ความคิดยุ่งเหยิง จิตสำนึกกระเจิดกระเจิง ทำเรื่องตรงกันข้ามสองเรื่องพร้อมกันได้ยากมาก เปรียบเสมือนมือหนึ่งวาดวงกลม มือหนึ่งวาดสี่เหลี่ยม ถ้าไม่ใช่คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ คงทำได้ยากมาก

 

 

วันแรกผ่านไป จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยตาปริบๆ รอตลอดทั้งวัน มือจุ่มน้ำรอซักผ้าอย่างเคร่งเครียดตลอดเวลา แช่น้ำจนมือเ**่ยวแล้วยังไม่ได้ซักกางเกงชั้นในสักตัว

 

 

เสียงนางก็แหบแล้ว พอตกเย็นแม้แต่จะพูดยังพูดไม่ได้ ข้าวก็ไม่อยากกิน ยงเสวี่ยทำอาหารแล้วตักมาให้นาง นางแค่โบกมือ สมองยังคงคิดว่าทำอย่างไรถึงทำสองสิ่งพร้อมกันได้?

 

 

จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยก็โน้มนาวไม่กี่คำเท่านั้น สองคนรีบออกไปข้างนอก จิ่งเหิงปัวนอนอยู่สักพัก ลุกขึ้นเดินไปข้างประตู มองเห็นข้างลำธารมีอ่างวางอยู่ เด็กหญิงสองคนนั้นกำลังซักผ้า

 

 

เสื้อผ้าไม่ใช่กางเกงชั้นใน กางเกงชั้นในเป็นของใช้ในการทดสอบ พวกนางซักเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนของตน แต่จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าเสื้อผ้าพวกนี้ยังสะอาดอยู่เลย

 

 

สองคนนั่งยองอยู่ข้างลำธาร คนหนึ่งลงอ่างซักน้ำ เปียกแล้วเหวี่ยงให้อีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งรีบทุบผ้า พลิกมือเหวี่ยงผ้าไปทางตู้

 

 

เทียนชี่นั่งยองอยู่พวกข้างกายนาง เอ่ยอย่างต่อเนื่องว่า “สามส่วนใต้ข้อมือ ใช่แล้ว เช่นนี้ล่ะ สะบัด! ถูกต้อง! เวลาลงมีดมุมนี้ก็ดีนัก สะบั้นเส้นเอ็นได้ง่ายนัก…ยงเสวี่ยเจ้าใช้แรงมากเกินไปแล้ว ไม่นานก็จะตามไม่ทัน ต้องรู้จักออกแรงให้ชาญฉลาด เรี่ยวแรงที่น้อยที่สุดได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด…ถูกต้อง เช่นนี้ล่ะ…มากไปๆ จะชนตู้ล้ม…ครานี้ก็น้อยไปแล้ว!”

 

 

ภายใต้การชี้แนะของเขา สองคนนั้นร่วมมือสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น เคลื่อนไหวเร็วมากยิ่งขึ้น มุมล้ำเลิศมากยิ่งขึ้น เทียนชี่เหวี่ยงผ้าออกมาจากทุกมุม จื่อหรุ่ยไม่มองด้วยซ้ำก็รับไว้ได้ ลงอ่างซักน้ำ นิ้วมือเชิดขึ้นสะบัดออกไปให้ยงเสวี่ย ยงเสวี่ยใช้ไม้ทุบผ้าติดต่อกัน ครบสามครั้งแล้วเหวี่ยงลงบ่อน้ำล้างให้สะอาด จากนั้นสะบัดผ้าเปียกไปทางตู้ดังฟิ้ว…อาภรณ์ปลิวว่อนบนมือขาวราวหิมะสองคู่ รบกวนแสงจันทร์มัวสลัวบนยอดเขา

 

 

สองคนนั้นซักผ้าพลางให้กำลังใจซึ่งกันและกันไป

 

 

“เร็ว เร็วขึ้นอีก!”

 

 

“อย่าห่วงแต่เร็ว ต้องนิ่งด้วย นิ่ง!”

 

 

“ครานี้เร็วกว่าเมื่อครู่ใช่หรือไม่?”

 

 

“อืม พยายามอีกหน่อย ทำให้เร็วที่สุด!”

 

 

“ต้องทำได้!”

 

 

จิ่งเหิงปัวพิงวงกบประตู แอบฟังอยู่สักพัก หันหลัง

 

 

นางกอดอกด้วยสองมือ มองเมฆหมอกระหว่างเขาที่คล้อยไปในหน้าต่างริมหน้าผา ปลิดปลิวพลิ้วไหวไม่หยุดนิ่ง

 

 

บนโลกนี้มีอารมณ์ล่องลอยยากไขว่คว้ามากเพียงใด ก็ย่อมมีความอ่อนโยนตั้งตระหง่านแน่วแน่มากเพียงนั้น

 

 

พวกนางพยายามเพื่อนางขนาดนี้ แล้วนางมีเหตุผลอะไรให้ท้อแท้?

 

 

คล้ายมีแรงขึ้นมากะทันหัน นางถลกแขนเสื้อขึ้น เตรียมเข้าร่วมการฝึกฝนของพวกนาง

 

 

พลันมีคนเคาะหน้าต่าง ใบหน้ายิ้มแย้มของอีชีห้อยลงมาจากใต้ชายคาห้อง วางผลไม้ที่ที่มีน้ำค้างแข็งเกาะไว้บนโต๊ะตรงหน้าต่าง ชี้ไปที่ผลไม้ แล้วชี้ไปที่คอหอยของนาง

 

 

เขายังยิ้มร้ายกาจแบบนั้น แต่ในใจจิ่งเหิงปัวอบอุ่นอีกครั้ง กำลังอยากด่าเขาระบายอารมณ์สักหน่อย ได้ยินเสียงพลั่กกะทันหัน ไม่รู้ว่าเขาโดนไอ้เฮฮาตัวไหนถีบตกหน้าผาไปอีกแล้ว…

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมาก ยังไม่ได้หันหลัง ขายาวข้างหนึ่งก้าวเข้ามาตามใจชอบ ผู้มาเยือนเอาก้นนั่งทับบนโต๊ะของนาง คว้าผลไม้ที่อีชีวางไว้บนโต๊ะมากัดกร้วมดังกังวาน แทะพลางร้อง “ถุย” เอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่งว่า “ผลไม้อะไรกัน เย็นขนาดนี้! ไม่อร่อย!”

 

 

ภายใต้แสงจันทร์เมฆหมอก ใบหน้าที่งดงามน่าตื่นตะลึงยิ่งนักของเผยซูนั้น เปล่งประกายแพรวพราว

 

 

“ผู้ใดใช้ให้เจ้ากิน?” จิ่งเหิงปัวกลอกตาอย่างอารมณ์เสีย เสียงแหบแห้ง

 

 

เผยซูมองนางปราดเดียว มือเอื้อมไปข้างหลัง ล้วงกล่องอาหารที่ประณีตงดงามออกมาปานเล่นกล แกว่งไปมาให้นางเห็นอย่างโอ้อวด “ดูสิ ของข้านี้ถึงเป็นของดี”

 

 

จิ่งเหิงปัวคร้านจะสนใจเขา หันหลังจากไป เผยซูกระโดดลงมาจากบนโต๊ะ สาวเท้าพุ่งขึ้นมาคว้าไหล่ของนางไว้ “เฮ้ มองสักหน่อยเจ้าจะสิ้นชีพหรือไร?” ซ้ำยังบ่นว่า “หน้าตาเฉกเช่นอนุภรรยาผู้ที่ทรงเสน่ห์ล้นเหลือ ทว่าเข้าใจยากเป็นที่สุด สิ้นเปลืองความหวังดีของข้า…”

 

 

“เจ้าสิเมียน้อย เจ้าเป็นเมียน้อยของอิงไป๋!” จิ่งเหิงปัวด่ากลับด้วยเสียงแหบแห้ง

 

 

“เขาเป็นอนุภรรยาของข้า? คู่ควรหรือ? กลิ่นสุรากลิ่นแป้งชาดทั่วร่าง น่าขยะแขยง!” เผยซูแค่นเสียงออกมา ก่อนจะเปิดฝากล่องออก ชูขึ้นประหนึ่งมอบของขวัญล้ำค่า “ดูสิ ข้าไปหามาจากเมืองซั่งหยวน!”

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินว่าเมืองซั่งหยวนก็ชะงักงัน นี่มันเมืองหลวงไต้เม่าไม่ใช่เหรอ? เดินทางไปมาห่างจากที่นี่ตั้งหลายร้อยลี้เลยนะ

 

 

มิน่าล่ะบ่ายวันนี้ถึงมองไม่เห็นเขา เขาวิ่งไปวิ่งมาตั้งหลายร้อยลี้ทำอะไร?

 

 

พอก้มหน้ามอง ข้างในกล่องอาหารเป็นขนมโก๋อ่อนหนึ่งจาน แตกต่างจากขนมโก๋ทั่วไป เห็นแล้วก็รู้ว่านวลเนียนนุ่มนิ่มเป็นพิเศษ กลิ่นหอมอบอวลยิ่งนัก แม้แต่ลวดลายบนขนมโก๋ยังประณีตงดงาม ขนมแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่หาซื้อได้ในท้องตลาดแน่นอน คล้ายเป็นขนมในวังมากกว่า

 

 

ซ้ำยังมีขนมผลึกแก้วโปร่งแสงทรงดอกกุหลาบแดงที่เด้งดึ๋ง ดูท่าทางคล้ายวุ้นขนาดใหญ่ แวววาวโปร่งใสใต้แสงเทียนราวกับผลงานศิลปะ ซ้ำยังประดับกลีบดอกไม้สดใหม่สีชมพู ข้างล่างรองด้วยใบไม้สีเขียว สีสันสดใสบนจานกระเบื้องขาวราวหิมะ

 

 

“ของสองสิ่งนี้ ข้าค้นทั่วห้องเครื่องถึงขโมยมาได้เชียวนะ!” เผยซูลำพองใจ “โก๋หยกขาวกับวุ้นดอกไม้ เย็นเยือกนุ่มนิ่มละลายในปาก ซ้ำยังใส่สะระแหน่ด้วย กินแล้วมีประโยชน์ต่อลำคอ กลืนลงไปก็ไม่เจ็บ รีบกิน ข้าใช้อาภรณ์ห่อกลับมา หากยังไม่กินขนมโก๋จะเย็นชืดแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องขนมโก๋กับวุ้นนั้นเขม็ง ระยะทางห้าร้อยลี้ อากาศหนาวเย็น บุกเข้าพระราชวังกลางราตรี ขนมโก๋หนึ่งจานกับวุ้นหนึ่งชิ้น

 

 

เรื่องแบบนี้ใครทำก็เป็นไปได้ มังกรอารมณ์ร้ายที่เห็นผู้หญิงเป็นหมูหมาเป็นคนทำเหรอ?

 

 

ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย ซ้ำยังรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่รู้ว่าจะสัมผัสความละเอียดลออเอาใจใส่ที่คล้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดนี้อย่างไร

 

 

“กินสิ” เผยซูยื่นขนมโก๋ไปตรงหน้านาง สีหน้าภูมิใจ คิ้วดำขลับคล้ายจะเชิดขึ้นไปบนฟ้า

 

 

จิ่งเหิงปัวเกิดอารมณ์ซับซ้อน อยากปฏิเสธ มองดวงตาเป็นประกายของเขา แต่สุดท้ายค่อยๆ รับเอาไว้

 

 

การให้และความหวังดีของเขา ตรงไปตรงไปมาเพียงนี้และบริสุทธิ์เพียงนี้ ไม่มีเหตุผลให้นางทำลายอย่างโหดร้ายด้วยเพราะอารมณ์ซับซ้อนหลากหลายของตัวเอง

 

 

ขนมโก๋ละลายในปากจริงด้วย วุ้นยิ่งนุ่มนิ่มเยือกเย็น กินเข้าไปแล้ว ลำคอที่อักเสบบวมแดงเริ่มทุเลา สบายจนอยากถอนใจ

 

 

ฝั่งตรงข้าม เผยซูเหยียดขาสองข้าง ศีรษะหนุนมือทั้งสองเอนหลัง นั่งบนม้านั่งด้วยท่าทางที่ยืดเส้นยืดสาย มองนางกินขนมด้วยความสนุกสนาน

 

 

แท้จริงแล้วเขาก็คอแห้ง หิวน้ำและเหน็ดเหนื่อย เขาไปเมืองชีเฟิงก่อน ทว่าไม่ได้ของดีอะไรในเมือง เดินไปตลอดทางค้นหาตลอดทาง สุดท้ายไปค้นหาในพระราชวังซั่งหยวนเสียเลย แม้ผู้นำเผ่าไต้เม่าเป็นคนไร้ความสามารถที่สุดในหมู่ทุกชนเผ่า แต่ด้วยเพราะเผด็จการมากเกินไป เพื่อปกป้องตนเอง การป้องกันในวังจึงเป็นอันดับหนึ่ง เขาบุกเข้าบุกออก จึงออกแรงต่อสู้หลายครั้ง ซ้ำยังต้องปกป้องกล่องอาหารในอ้อมแขนไม่ให้ถูกทำลายด้วย เหล่าองครักษ์พวกนั้นนึกว่าเขาขโมยของสำคัญอะไรจากในวัง พยายามพุ่งมาคว้าในอ้อมแขนเขา

 

 

ไปกลับหลายร้อยลี้ ประคองสิ่งของกลับมาประหนึ่งอุ้มทารก ยามแรกเริ่มเขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เรื่องที่แต่ก่อนไม่อยู่ในสายตาเช่นนี้ตนเองทำไปได้อย่างไร? เมื่อหลายปีก่อนมีแต่สตรีคุกเข่ามเสนอสิ่งของให้เขา เขายังใช้เท้าเหยียบย่ำ ส่วนเรื่องที่บุรุษทุ่มเทให้สตรีอะไรเช่นนี้ เขายิ่งเหยียดหยาม บัดนี้นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

 

 

ทว่าความคิดนี้ก็กะพริบผ่านเพียงครั้ง ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหามากเท่าใด เขาคือเทพสงครามที่โด่งดังและฝึกฝนต่อสู้มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้เรืองนาม แต่ด้วยเพราะในใจรักสงครามรักการต่อสู้ ไม่ได้ใช้ความคิดกับเรื่องอื่นมากเท่าใด แม้เดินทางโลกมนุษย์แต่ไม่ข้องเกี่ยวโลกโลกีย์ หลากหลายเรื่องราวบนโลกนี้ เขานั้นมองเห็นเพียงหมอกควันสนามรบ มองเห็นวรยุทธ์ในโลกหล้า มองเห็นหัวใจของตนเอง

 

 

จวบจนบัดนี้ เพิ่มมาอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือมองเห็นนาง