ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 48 เกาะฝูอวี้ (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“ยังจำลัทธิมารที่เขาจื่อถงนั่นได้ไหม” เขาถาม ฉู่เหล่ยพยักหน้า

วันนั้นตงฟางชิงฉีช่วยฮูหยินตงฟางออกจากเขาจื่อถง สาวงามตอบแทนคุณด้วยตัวนาง แต่งงานกับเขา แต่สถานะของสาวงามเป็นที่สงสัยของฉู่เหล่ยและเจ้าหุบเขาหรง ตงฟางชิงฉีไม่สนใจเสียงวิพากษ์ ยืนยันจะแต่งกับนางเป็นสามีภรรยา

หลังแต่งงาน วันเวลาของทั้งสองคนก็มีความสุขหอมหวานดี แม้ว่าตอนนี้ยังไร้วี่แววทายาทสืบสกุล แต่ตงฟางชิงฉีก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย รักและทะนุถนอมนางราวกับสิ่งมีค่าในฝ่ามือ

ระยะนี้ได้ยินว่าลัทธิมารที่เหลือจากเขาจื่อถงเริ่มออกอาละวาดที่เขาชินซาน ตงฟางชิงฉีจึงได้ส่งศิษย์สิบกว่าคนไปกวาดล้าง จับกลับมาได้คนหนึ่ง

ฉู่เหล่ยฟังถึงตรงนี้ ก็อดคิ้วกระตุกไม่ได้ รู้ว่าเรื่องสำคัญอยู่ที่คนผู้นี้แล้ว

ตงฟางชิงฉีกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าใช้วิธีการหนึ่ง บีบให้คนผู้นั้นพูดความจริงทุกอย่างออกมา…เจ้ารู้ไหมว่าชิงหรงเป็นใคร นางไม่เพียงเป็นคนในลัทธิมาร ยังเป็นระดับเทพธิดาแห่งลัทธิอะไรแบบนั้นด้วย เพียงเพราะนางหน้าตางดงาม จึงทำให้คนอื่นเห็นเป็นดังเทพเซียนจุติลงมาโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงฟังคำสั่งนาง เรื่องใหญ่สุดในชีวิตหนึ่งของสตรีงดงามก็คือความแก่ชรา นางจึงต้องการบำเพ็ญเซียน ปรากฏบำเพ็ญเซียนไม่สำเร็จ และไม่รู้ว่าไปฟังมาจากไหนว่าใช้สตรีพรรมจรรย์ปรุงยาช่วยคงความเยาว์วัยได้ตลอดไป ดังนั้น…”

กล่าวเช่นนี้ ฮูหยินเขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่เด็กกำพร้าเขาจื่อถงอันใด แต่เป็นเสาหลักของลัทธิมาร น่าขันที่เขาถูกปิดหูปิดตามาสิบกว่าปี นางถึงกับไม่เคยเผยพิรุธ นางผู้นี้ลึกจนยากแท้หยั่งถึง น่ากลัวเหลือเกิน

ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วนิ่งเงียบเป็นนาน พลันลุกขึ้น ตงฟางชิงฉีตกใจเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไร”

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “มารร้ายนอกลู่ ทุกคนควรกำจัดทิ้ง เจ้ายังปกป้องนาง?”

ตงฟางชิงฉีนิ่งงัน เป็นนานจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ ข้าต้องขอคิดอีกสองสามวัน…”

ฉู่เหล่ยถอนใจกล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ ศิษย์ที่ถูกเจ้าขับออกไปล้วนเป็นพวกที่เหลือรอดมาจากลัทธิมารหรือ เจ้ากลัวพวกเขาเผยเรื่องราวออกไป ถึงกับไล่พวกเขาไป…”

“ไม่ใช่กลัวเผยเรื่องราวออกไป แต่กังวลชิงหรงรู้จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขา” ตงฟางชิงฉีกล่าวเสียงเบาว่า “นางเป็นอาจารย์หญิงพวกเขา คำสั่งทั้งหมด เด็กพวกนี้ย่อมไม่กล้าขัด ข้าไม่มีทางเลือก ได้แต่ลำบากพวกเขาชั่วคราวแล้ว”

“เหลวไหล การทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่ทำร้ายคนที่เจ้าขับไล่ออกไปเท่านั้น! แต่ไรมาเจ้าเองทำการกระจ่างทุกเรื่อง เหตุใดครั้งนี้จึงมีช่องโหว่เช่นนี้! เจ้ากับนางปีศาจนั่นเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ตัดใจลงมือไม่ได้ก็ไม่โทษเจ้า แต่เจ้าก็ควรคิดถึงอาจารย์เจ้าที่มอบเกาะฝูอวี้ให้เจ้า เคยกำชับอันใด!”

ไม่อาจคบหากับพวกมารปีศาจนอกลู่ ไม่อาจถูกความงามล่อลวง

ตอนนี้ตงฟางชิงฉีได้แต่ยิ้มเจื่อนเงียบงัน แม้ว่านางเป็นคนชั่วเทียมฟ้า กล่าวตามตรง นอนร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี บอกสังหารก็สังหาร น่าจะมีแต่คนจิตใจแข็งราวภูผาจึงทำได้ลง

ก่อนหน้าฉู่เหล่ยกล่าวว่าทุกคนควรกำจัดทิ้ง แต่ก็แค่แสดงท่าทีเท่านั้น นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของตงฟางชิงฉี เขาเองไม่มีสิทธิ์ไปสังหารภรรยาผู้อื่น ได้แต่เตือนสติเขา ให้เขาอย่าได้เลอะเลือนหลงใหลไม่ยอมตื่น ยามนี้เห็นท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเขาแล้ว ก็ได้แต่แอบทอดถอนใจ

“ออกไปเดินข้างนอกกันเถอะ ข้าไม่ได้ชมทิวทัศน์เกาะฝูอวี้นานแล้ว”

เขาตบหลังตงฟางชิงฉี “ข้าไม่บังคับเจ้า มีบางเรื่อง เจ้าต้องคิดให้กระจ่างด้วยตนเอง”

*****

โอวหยางเป็นพ่อบ้านเกาะฝูอวี้ ปกติยุ่งมาก บางครั้งแอบหาเวลาว่างได้บ้างก็ชอบไปนั่งอยู่ที่ภูเขาเล็กๆ บนเกาะ พิงต้นไม้อ่านหนังสือหรือไม่ก็หลับตาทำสมาธิ

วันนี้เขาพอมีเวลาว่างอยู่ก็มานั่งใต้ต้นไม้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้อ่านหนังสือ แต่เป็นเศษกระดาษเล็กมากแผ่นหนึ่ง

ไม่รู้เศษกระดาษนั่นเขียนอะไร เขามองแล้วตกอยู่ในภวังค์เป็นนาน

ด้านหลังพลันมีมือขาวราวหิมะยื่นมาแย่งกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างแผ่วเบา เขาตะลึงงัน ได้ยินเสียงหัวเราะอ่อนหวานข้างหู ออดอ้อนว่า “ข้าดูหน่อย พ่อบ้านเราอ่านอันใดจนดื่มด่ำเช่นนี้?”

เขารีบลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า “คารวะฮูหยิน”

ดังคาด คนผู้นั้นคือชิงหรง เห็นเขาท่าทางนอบน้อม นางอดย่นจมูกไม่ได้ “ทำแข็งกระด้างเย็นชาใส่ข้าอีกแล้ว ที่กล่าววันนั้น เจ้าไม่ได้เอาไปใส่ใจเลย”

โอวหยางเงียบงัน เห็นชัดว่าสตรีงามเบื้องหน้าไม่อาจทำอันใดกับน้ำเต้าที่ไร้ความรู้สึกเช่นเขาได้ไ ด้แต่ถอนหายใจยาวสองเสียง กุมมือเขาไว้พลางกระซิบว่า “เจ้า เจ้าอย่าไป เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่ดีต่อข้าหรือ เหตุใดอยู่ๆ จะจากไปเล่า”

โอวหยางเงียบงันเป็นนาน กล่าวว่า “ข้าตอบแทนบุญคุณหมดแล้ว ถึงเวลาต้องจากไปแล้ว”

“บุญคุณอันใด ข้ามีคุณกับเจ้า?” สาวงามแนบแก้มลงกับใบหน้าเขา ขนตากะพริบอยู่ที่กรอบใบหู จักจี้ยิ่ง

โอวหยางยิ้มเจื่อน “ฮูหยินรู้ดี ไยยังถามอีก มนุษย์กับปีศาจอย่างไรก็คนละเส้นทาง ข้าอยู่บนเกาะนี้นานไปย่อมไม่ดี”

สาวงามสะบัดมือเขาออก ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าคิดแต่บุญเขาที่มีต่อเจ้า! นั่นคือบุญคุณใด?! ก็แค่ดึงเจ้าไว้ ไม่ได้ปล่อยให้เจ้าจมน้ำตายก็เท่านั้น! เคยมีความจริงใจสักนิดไหม? ข้าสิจริงใจต่อจ้า! ข้าสิดีกับเจ้า หรือว่าไม่นับเป็นบุญคุณ? ทำไมเจ้าต้องรีบร้อนจากไป?!”

โอวหยางตกในสภาวะเงียบงันอีกครา เขาพบเรื่องที่ลำบากใจก็มักจะนิ่งเงียบเสมอ

สาวงามร้องไห้ครู่หนึ่งก่อนกล่าวอีกว่า “หากเจ้ายังต้องการไปก็พาข้าไปด้วย! ที่แห่งนี้ ข้าไม่คิดอยู่ต่อแม้เพียงนาทีเดียว! ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือปีศาจ อย่างไรข้าก็ชอบเจ้า! ข้าจะติดตามเจ้า!”

นางเองก็ไร้หนทางแล้ว คนผู้นี้ราวกับท่อนไม้ แม้ว่าหัวอ่อน แต่เจ้าตีเขาด่าเขาเล่นงานเขา เขากลับไม่มีเสียงสักนิด ความเงียบงันนี้ทรมานทำคนแทบคลั่ง

โอวหยางมองเศษกระดาษในมือนางเงียบๆ บนนั้นวาดยันต์ประหลาดไว้ มองดูเหมือนเป็นมนตร์คาถา

เขาจ้องมองอยู่นาน พลันกล่าวว่า “ตกลง ข้าพาเจ้าไปได้”

ชิงหรงแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นางอึ้งมองเขาเป็นนาน ในที่สุดก็อ้าแขนออกกอดเขาแน่น สะอื้นกล่าวว่า “ที่เจ้าพูดมานั้นจริงหรือ ยอมพาข้าไปจริงหรือ”

“แน่นอนว่าจริง”

ชิงหรงกอดเขาแน่น ใบหน้าเปล่งประกายราวกับจมอยู่ในห้วงฝัน กระซิบว่า “ข้ารู้เจ้าตัดจากข้าไปไม่ได้…ยังจำตอนที่ข้ารู้สถานะเจ้าได้ไหม เจ้าเคยบอกว่าอย่างไร”

โอวหยางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ามีเป้าหมายเพื่อบำเพ็ญวิถีเซียน แม้ว่าเป็นปีศาจ แต่ไม่ทำร้ายคนเด็ดขาด นับประสาอันใดกับการที่หากข้าจะใช้พลังวัตรข้าทำร้ายเจ้าหรือเจ้าเกาะ ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ข้ามาก็เพื่อตอบแทนคุณ”

ชิงหรงยิ้ม กล่าวว่า “ไม่เลว วาจาเจ้าวันนั้น ข้ายังจำได้เสมอ โอวหยางคนดี เจ้าแข็งแกร่งกว่าคนที่นี่ทุกคน…สำนักบำเพ็ญเซียนพวกนั้น วันๆ เอาแต่เพ้อฝันว่าบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนได้ แต่ไม่มีวิธีใช้การได้สักอย่าง…เจ้าพาข้าไป สอนข้าบำเพ็ญ พวกเราสำเร็จผลเป็นเซียนด้วยกัน ไม่แยกจากกันตลอดไป”

โอวหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าควรยังจำที่ข้าเคยกล่าวไว้ได้ สำเร็จผลเป็นเซียนไม่ง่าย ปีศาจบำเพ็ญเซียนหลายพันปีหลายตน ก็แค่บำเพ็ญเป็นมนุษย์ได้ ไม่อาจก้าวไปอีกขั้น นับประสาอันใดกับเจ้าไม่ใช่ปีศาจ เป็นเพียงคนธรรมดา เจ้ามั่นใจว่าตนจะสำเร็จผลเป็นเซียน?”

“มีเจ้าอยู่ เพื่อเจ้า ข้าต้องสำเร็จผลเป็นเซียนได้แน่”

วาจาคำมั่นนางมักจะง่ายดายเช่นนี้เสมอ ไม่มีแรงโน้มน้าว แต่ผู้ใดกำหนดว่าคำมั่นสัญญาต้องงดงามสลักลึกเข้ากระดูกกัน

โอวหยางเงียบงันไปนาน ในที่สุดกล่าวว่า “ตกลง ข้าพาเจ้าไป แต่เจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”

“เจ้าว่ามา”

“ใต้เกาะฝูอวี้มีห้องลับห้องหนึ่ง อยากให้เจ้าช่วยข้าหาให้เจอ เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก”

เขาเห็นนางอ้าปากคิดถาม ก็กล่าวว่า “ไม่ต้องถามอันใดทั้งสิ้น หลังพาเจ้าจากไปแล้ว ข้าย่อมบอกเจ้าทุกเรื่อง”

สีหน้านางทอประกายความสุข หันกายจากไปทันที

ความสุขเช่นนั้นเป็นเพราะเขา หรือเป็นเพราะจะบำเพ็ญวิถีเซียนได้?

โอวหยางยังคงยืนยิ่งอยู่ที่เดิมเป็นนาน ในที่สุดก็ก้มลงไปเก็บเศษกระดาษที่พื้นขึ้นมา ขยี้ลงในฝ่ามือ กระดาษกลายเป็นเถ้าปลิวกระจายไปกับสายลม

เขาหันหลังจะจากไป ราวกับไม่ทันเห็น มีเงาร่างหนี่งยืนอยู่หลังต้นไม้ไกลออกไป วูบไหวตามไป