ตอนที่ 498-2 มิติที่ไม่รู้จัก

พันธกานต์ปราณอัคคี

เดิมทีนางกำลังคิดจะจากหลัวอวี้เฉิงไปโดยไม่ลา จากนั้นขี่หมาป่าน้อยกลับไปที่เหยากวงเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น นาง…ไม่อยากทดสอบความเป็นมนุษย์

 

 

รู้อย่างนี้แล้ว นางจะแสร้งทำไม่เป็นไรอยู่ไย!

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินท่าทางสับสน มุมปากของหลัวอี้เฉิงก็ยกขึ้นเงียบๆ จากนั้นหมุนตัวเดินไปข้างหน้า

 

 

ได้ยินเสียงฝีเท้าของหลัวอวี้เฉิงห่างออกไป มั่วชิงเฉินฝืนลุกขึ้นและเดินตามไป แต่กลับชนเข้ากับร่างอุ่น

 

 

เสียงหัวเราะเบาๆ อย่างหยอกล้อดังขึ้น “สหายมั่ว เจ้าจะอิงแอบแนบชิดข้าหรือ”

 

 

เจ้าคนปากร้าย!

 

 

ความละอายใจส่วนน้อยของมั่วชิงเฉินสลายหายไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “เจ้าอุ้มได้หรือ ข้าจำได้ว่าเมื่อปีก่อนพละกำลังของคนบางคนยังมิได้มากไปกว่าข้า”

 

 

ไม่ทันพูดจบก็ต้องร้องออกมา ร่างทั้งร่างถูกอุ้มขึ้นสูง

 

 

“สมควรตาย หลัวอวี้เฉิง ปล่อยข้างลงเดี๋ยวนี้!” มั่วชิงเฉินหน้าแดง

 

 

“เจ้าแน่ใจหรือ”

 

 

แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงใบหน้าน่ารำคาญที่มีรอยยิ้มล้อเลียนนั่น นางพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าแน่ใจแน่นอน”

 

 

มือที่อุ้มนางไว้คลายออกโดยพลัน มั่วชิงเฉินที่เตรียมตัวนานแล้ว กายของนางร่วงหล่นลง ทว่าได้ยินเสียงกระทบน้ำ ศีรษะจมอยู่ใต้น้ำ เท้าทั้งสองข้างจมอยู่ในโคลนตม

 

 

แม้ว่าจิตสัมผัสและดวงตาของมั่วชิงเฉินจะใช้การไม่ได้ แต่พลังวิญญาณนั้นไม่ได้หายไป นางใช้พลังวิญญาณกระโดดขึ้นจากบึงน้ำ ทะยานขึ้นข้างบนทันที

 

 

นางมองไม่เห็นทิวทัศน์รอบกาย ไม่รู้ว่าบึงน้ำนี้กว้างใหญ่เพียงใด ร่อนลงแล้วจะตกลงไปในบ่อน้ำอีกหรือไม่ แต่เหาะขึ้นไปข้างบนมักไม่ค่อยมีปัญหา

 

 

หลัวอวี้เฉิงพูดออกมาช้าๆ “ข้างบนมีกิ่งไม้!”

 

 

น่าเสียดายที่เตือนช้าไป มั่วชิงเฉินรู้สึกเจ็บที่ศีรษะ นางชนเข้ากับกิ่งไม้หนาและแข็งที่ยื่นออกมาเข้าอย่างแรง

 

 

หลังสูญเสียสัมผัสทั้งห้า การได้ยินของนางก็ยิ่งไวขึ้น มั่วชิงเฉินตามเสียงไปจนถึงที่ที่หลัวอวี้เฉิงอยู่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง นางเตะอย่างไม่ลังเล แต่กลับเตะถูกเพียงอากาศ

 

 

เสียงถอนหายใจดังขึ้นชัดเจน “สหายมั่ว ถ้าหากทราบว่าเจ้าอยากจะเตะข้า อวี้เฉิงคงไม่ทำตามอำเภอใจเช่นนี้”

 

 

นี่คือการเสียดสีใช่หรือไม่ การเสียดสีอย่างโจ่งแจ้งใช่หรือไม่!

 

 

สีหน้าของมั่วชิงเฉินเริ่มเขียวคล้ำด้วยความโกรธ “สหายหลัว ซ้ำเติมคนอื่นสนุกหรือ”

 

 

จู่ๆ มือก็ถูกกุมเอาไว้ หลัวอวี้เฉิงพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “แล้วโอ้อวดนั้นสนุกหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้กล่าวอะไรอีก ปล่อยให้หลัวอวี้เฉิงลากนางเหาะไปข้างหน้า จนเหาะเลยบ่อน้ำถึงได้ค่อยๆ ร่อนลงบนพื้น

 

 

หลัวอวี้เฉิงเห็นนางเงียบ ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่ถือสา เจ้าเองก็อย่าถือสาเลย เรื่องเล็กน้อย”

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด

 

 

ว่ากันตามคุณธรรมแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามรับนางเป็นสหาย เช่นนั้นแล้วการที่นางปิดบังก็เป็นการทำร้ายที่มองไม่เห็น แม้จะไม่มีใครพูดขึ้น แต่รอยแตกร้าวนั้นคงฝังซ่อนไว้ในส่วนลึกแล้ว รอยแตกเช่นนี้มักซ่อมแซมได้ยากที่สุด ถึงอย่างไรจิตใจของคนก็ล้ำลึกได้ถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะคนที่ฉลาดอย่างหลัวอวี้เฉิง นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลังจากมั่วชิงเฉินค้นพบข้อผิดพลาดของตัวเอง และลังเลจนไม่ปริปาก

 

 

แต่ตอนนี้นางถึงได้รู้สึกตัว หลังจากถูกหลัวอวี้เฉิงล้อเล่น ความคิดที่ยุ่งเหยิงพวกนั้นพลันมลายหายไป จากนั้นก็ทะเลาะกับเขาเช่นเคยโดยไม่รู้ตัว

 

 

นางถอนหายใจเบาๆ ในใจ บนโลกนี้มีคนเช่นนี้ เขาสามารถอ่านผู้คนได้อย่างง่ายได้ ตราบใดที่เขายินดี ก็สามารถเข้าถึงจิตใจผู้คนได้ ยอมให้ผู้อื่นปลดปล่อยเรื่องที่คั่งค้างในใจออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ถ้าหากว่าเขาไม่ต้องการ เขาก็จะมองอย่างไม่ใส่ใจและทิ้งไว้ให้ตาย

 

 

โชคดีที่พวกเขาเป็นสหายกัน

 

 

โชคดีที่พวกเขาเป็นแค่สหายกัน

 

 

หลัวอวี้เฉิงเริ่มอธิบายทิวทัศน์ทุกอย่างที่เห็นให้มั่วชิงเฉินฟัง “ที่นี่คือป่าผืนหนึ่ง ยังไม่เห็นชายป่าในร้อยลี้ ต้นไม้สูงมาก ท้องฟ้าถูกตัดออกเป็นขนาดเท่าฝ่ามือ เหมือนกับแหจับปลาอันไม่มีที่สิ้นสุด พุ่มไม้หนาม กิ่งไม้และเถาวัลย์พันผสานผสมปนเปกัน โธ่ หากสายตาไม่ดี ก็มิควรพุ่งไปชนมัน”

 

 

น้ำเสียงของเขาอบอุ่นและอ่อนโยน ไม่รีบไม่ร้อนยามบรรยายทิวทัศน์ที่เห็น ถึงขนาดที่นกที่มีขนหางหลากสีบินออกมาอย่างกะทันหัน ปากเขาก็บรรยายมันออกมาได้อย่างชัดเจน

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่สมองก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความรู้สึกหวาดกลัวจากสถานที่ที่ไม่รู้จัก เบื้องหน้ามีแต่ความมืดมิด และการสูญเสียการควบคุมในการไร้กำลังล้วนแล้วแต่สลายไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

หลัวอวี้เฉิงหันหน้ากลับไปอย่างเงียบเชียบ สายตามองไปยังใบหน้านิ่งสงบของมั่วชิงเฉิน จากนั้นก็แอบพยักหน้า

 

 

เขามองออกว่าคนตรงหน้านิ่งสงบอยู่ หรือว่ากำลังปิดบังความจริงเอาไว้

 

 

เพียงแค่ชั่วครู่ที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตามองไม่เห็น ก็รีบปิดบังความรู้สึกเอาไว้ทันทีประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ถ้าหากไม่ได้ตกลงมาที่นี่ ตนเองก็ไม่ได้คิดจะเปิดโปงหรอก

 

 

แม้ว่าในใจจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่ก็เข้าใจความคิดของนาง เพียงแต่หากเป็นสตรีธรรมดาก็คงจะกรีดร้องเสียงแหลม จากนั้นก็ถามว่า ทำไมข้าถึงมองไม่เห็น ทำอย่างไรดีเล่า อย่างกระวนกระวาย

 

 

แต่สตรีนางนี้ นอกจากจะมีปัญหากับการสารภาพออกมาแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่พูดว่าออกมาว่าตนเองสูญเสียการมองเห็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ก็ยิ่งสงบลง

 

 

นึกมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “สหายมั่ว ตาของเจ้าเป็นผลมาจากจิตสัมผัสตีกลับใช่หรือไม่”

 

 

 เขารู้ว่ามั่วชิงเฉินฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา ถ้าหากว่ามีคนโจมตีจิตสัมผัสของนางก็ยากจะสร้างความเสียหายได้ เช่นนั้นแล้วในสถานการณ์เช่นนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ เสี่ยงใช้พลังโจมตีคนที่แข่งแกร่งกว่าจนตีกลับเข้าร่างของตัวเอง

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าลงเบาๆ ตามที่คาด

 

 

“เจ้ามีแผนจะทำเช่นไร”

 

 

มั่วชิงเฉินพูดอย่างสงบ “ข้ากลืนโอสถเลี้ยงดวงจิตแล้วแต่ได้ผลไม่มีนัก เกรงว่าคงทำได้แค่ค่อยๆ ฟื้นฟู แต่ข้ามีสหายคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยามากฝีมือ รอจนออกไปจากที่นี่ได้แล้วข้าจะกลับไปหาท่านอาจารย์ ให้นางดูให้ข้า”

 

 

ออกมาจากเขาครั้งนี้ คิดเพียงแต่ว่าอยากจะพบมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอี เดิมทีคิดเพียงแค่จะรีบไปรีบกลับ เช่นนั้นแล้วจึงพาแค่หมาป่าน้อยมา มิได้นำอสูรวิญญาณสองตนนั้นที่ร่อนพเนจรกับนางมาหลายปี ไม่ได้คิดว่าจะชะล่าใจเกินไป จนกระทั่งตกลงยังที่นี้

 

 

ดวงตามองไม่เห็นแค่ชั่วเวลาหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากจะต้องทำให้พิธีบำเพ็ญเพียรคู่ล่าช้า…

 

 

คิดถึงผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วสารทิศที่จะมาร่วมอวยพร แต่กลับเจอเพียงแค่เจ้าบ่าว ไร้เงาเจ้าสาว มั่วชิงเฉินก็รู้สึกปวดหัวเสียแล้ว มิกล้าคิดว่าเยี่ยเทียนหยวนจะเป็นเช่นไร

 

 

ทันในนั้นหลัวอวี้เฉิงก็ชะลอฝีเท้าลง

 

 

ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น และมิกล้าใช้จิตสัมผัสส่งเสียงออกมา มั่วชิงเฉินทำพียงกระชับมือเขาที่จับมือนางไว้ตลอด

 

 

หลัวอวี้เฉิงปริปาก “ไม่มีอะไร พวกเราออกนอกป่าแล้ว เพียงแต่…ข้าแน่ใจแล้วว่าพวกเรามิได้อยู่บนดินแดนเทียนหยวน พูดให้ถูกก็คือพวกเราน่าจะอยู่อีกมิติที่ไม่รู้จัก”

 

 

“รู้ได้อย่างไร” มั่วชิงเฉินรู้ว่าคำพูดของหลัวอวี้เฉิงเชื่อถือได้ ที่ถามเช่นนี้มิใช่เพราะสงสัย เพียงแต่อยากได้ยินเขาบอกถึงสถานการณ์

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่ก็ยิ้มไปทั้งตา “เพราะว่าบนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์เจ็ดดวง!”

 

 

“ดวงอาทิตย์เจ็ดดวงหรือ ดูเหมือนว่าจะไม่ร้อนมาก” มั่วชิงเฉินกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

 

ทันใดนั้นหลัวอวี้เฉิงก็ปล่อยมือ บังมั่วชิงเฉินไว้ข้างหลัง กระบี่ยาวพลันปรากฏขึ้นในมือ และฟาดไปในอากาศอย่างรุนแรง

 

 

เสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานของวิหคยักษ์ดังขึ้น วิหคยักษ์สีแดงร่วงลงบนพื้นและแยกออกเป็นสองซีก

 

 

ไม่ทันที่จะได้มองรูปลักษณ์ของวิหคยักษ์ ก็ได้ยินเสียงร้องของวิหคจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น จากนั้นวิหคยักษ์สีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นตัวแล้วตัวเล่า