เดิมทีเจ้าของร้านที่มีรอยยิ้มเย็นชาอยู่ตรงมุมปากพลันหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่

 

 

จากพลังยุทธ์ของเขาแน่นอนว่าพลันสัมผัสได้ถึงพลังความแข็งแกร่งแฝงอยู่ในภาพที่แผ่นหลังและความแหลมคมที่แผ่ออกมาจากสมบัติได้ ส่วนภูตอัปลักษณ์อย่างอสูรวิญญาณครวญแปลงกายนั้น ตัวใหญ่และดูโหดเ**้ยมขนาดนี้ จึงยิ่งดูแล้วไม่ธรรมดา

 

 

“เจ้าคือใคร ศิษย์ที่โดดเด่นในเผ่าวิหคสวรรค์ ข้าล้วนรู้จักทั้งหมด แต่ไม่มีเจ้า” หลังจากที่บุรุษร่างกายผ่ายผอมขบคิดเล็กน้อย ก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงโหดเ**้ยม

 

 

“ข้าไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือข้าน้อยขอแนะนำว่าท่านอาวุโสคิดเห็นอย่างไร? พลังยุทธ์ของนายท่านตกจากระดับหลอมสูญขั้นปลายมาอยู่ในระดับขั้นต้น แม้ว่าจะมีไม้ตายอะไรอีก ข้าน้อยก็มั่นใจว่าโจมตีจนเจ้าพ่ายแพ้ไปครึ่งหนึ่ง แต่แค่ข้าน้อยไม่อยากต้องสู้จนตายกันไปข้าง ขอแค่เจ้ายอมมอบของให้ ข้าน้อยก็จะหันกายจากไปในทันที” หานลี่มองไปยังเจ้าของร้าน แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมได้ยิน สายตาก็กวาดไปที่เรือนร่างของหานลี่ขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้ง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

 

 

“เยี่ยม เยี่ยมมาก จากความสามารถที่เจ้าสำแดงออกมา ก็มีคุณสมบัติจะกล่าวเช่นนี้จริงๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้ว่าข้าจะอยากตอบตกลงกับเจ้า แต่ก็ไม่มีผลตาข่ายเขียวจะให้เจ้า ก่อนหน้านี้ของที่ให้พวกเจ้าดูในกล่อง เป็นแค่เคล็ดวิชาลับของเผ่าเบญจลำแสงที่สร้างภาพลวงตาขึ้นมาเท่านั้น ก่อนหน้านี้เจ้าก็รู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อยสินะ” หลังจากที่เจ้าของร้านเลียริมฝีปาก ก็เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิงขึ้นมา

 

 

“หึๆ เคล็ดวิลาลับภาพลวงตา! เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝนสามารถมองภาพลวงตาออก แต่ของที่ข้าอยากได้อยู่ในกล่องนั้น แม้ว่าเคล็ดวิชาภาพลวงตาของเจ้าจะร้ายกาจ หากไม่ใช้ของชิ้นนั้น จะสร้างผลตาข่ายเขียวลวงตาได้อย่างแยบยลได้อย่างไร” หานลี่เอ่ยถามอย่างมีเลศนัย

 

 

“เจ้าอยากได้เจ้าสิ่งนั้น?” เจ้าของร้ายเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

 

 

“ใช่แล้ว! เงื่อนไขนี้ไม่ถือว่าเกินไปสินะ” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา

 

 

“หากต้องการของสิ่งนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าให้เจ้าได้” ครั้งนี้เจ้าของร้านตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง กล่องไม้ใบหนึ่งปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือ และโยนมา

 

 

แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ

 

 

ลำแสงสีเขียวผืนหนึ่งม้วนวนพุ่งออกไป ชั่วครู่ก็ม้วนเอากล่องไม้มาไว้ข้างใน แล้วหมุนติ้วๆ ลอยอยู่เบื้องหน้า

 

 

หานลี่กวาดจิตสัมผัสไป เผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นก็เปิดฝากล่องออก

 

 

กลิ่นยาลอยเข้ามาปะทะจมูก ในกล่องก็คือ ‘ผลตาข่ายเขียว’ ที่เห็นครั้งแรก

 

 

หานลี่อ้าปากออกโดยไม่ได้พูดอะไร พ่นโลหิตบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายเข้าไปในกล่องไม้

 

 

ชั่วขณะนั้นในกล่องพลันมีลำแสงห้าสีสว่างวาบ ผลสีเขียวมรกตหดเล็กลงราวกับฟองสบู่ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นผลสีแดงสดขนาดเท่าหัวแม่มือ

 

 

คาดไม่ถึงว่าในกล่องจะไม่ใช่ผลตาข่ายเขียว แต่เป็นเมล็ดเมล็ดหนึ่งเท่านั้น

 

 

“หลายปีก่อนข้าได้ผลตาข่ายเขียวมาจากการเสี่ยงเข้าไปในหุบเหวลึกด้วยความบังเอิญมาครั้งหนึ่ง แต่เพื่อกระตุ้นอสูรอัสนี ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งจะให้มันกินเข้าไป มิเช่นนั้นต่อให้มอบผลนนี้ให้พี่หานจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เมล็ดของผลนี้ก็มีมูลค่าไม่น้อย แต่เทียบกับผลตาข่ายเขียวแล้วกลับห่างชั้นเป็นอย่างมาก ผู้แซ่อวี๋เองก็ไม่ได้ทำให้นายท่านเสียเปรียบอะไร ข้าจะชดเชยเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดอีกสองสามก้อนเป็นอย่างไร” หลังจากที่บุรุษกวาดสายตาไปที่ใบหน้ายินดีของหานลี่ ก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

 

จากนั้นเขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ถุงหนังสีเขียวใบหนึ่งบินออกมา

 

 

หานลี่พลันเลิกคิ้ว ไม่ได้รับไปในทันใด แต่แผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเทาหมุนวน ชั่วขณะนั้นพลันกวาดถุงใบนั้นเข้าไปในลำแสงเทวะดูดปราณ

 

 

ถุงหนังหมุนคว้างอยู่ท่ามกลางลำแสงสีเทาไม่อาจร่อนลงมาด้านล่างได้

 

 

“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว” ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็สัมผัสได้ถึงของที่อยู่ในถุงหนัง หานลี่พลันยิ้มน้อยๆ ออกมา

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ถุงหนังหายวับไปจากกลางอากาศ จากนั้นก็เก็บเมล็ดในกล่องเข้าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

เมื่อเห็นความสามารถที่แปลกประหลาดของหานลี่ เจ้าของร้านพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันดในั้นก็เอ่ยซักถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับขึ้นบนใบหน้าว่า

 

 

“พี่หานมีความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ทราบว่าพี่หานคิดจะ…”

 

 

“ในเมื่อข้าได้ของที่ต้องการแล้ว จากนี้ก็จะไม่ซักถามอะไรแค่ แต่หากเป็นไปได้ล่ะก็ สองคนนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเสียเขาสองคนก็มาที่นี่พร้อมกบัข้า หากหายไป ข้าน้อยก็รายงานกับชาววิหคสวรรค์คนอื่นๆ ได้ยาก และหลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านอาวุโสก็คงจะไม่อยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้วสินะ” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“มอบให้เจ้า ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าเจ้าสองคนนี้นิสัยไม่ค่อยดีนัก ครั้งนี้ไม่ได้ของที่ยากได้ กลับเสียเปรียบอีก เกรงว่าคงไม่อาจปลอบขวัญได้ ไม่สู้กำจัดพวกเขาไปเลยจะดีกว่าหรือ” เจ้าของร้านไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหานลี่ แต่หัวเราะด้วยเสียงต่ำๆ ออกมาแทน

 

 

“แม้ว่าข้าน้อยจะอยากทำเช่นนั้น แต่ก็มีธุระอยู่กับตัว จำต้องอยู่ในรเผ่าวิหคสวรรค์อีกสักระยะหนึ่ง ส่วนจะปลอบพวกเขาอย่างไรนั้น ข้าน้อยมีวิธี” หานลี่กลับเอ่ยอย่างคลุมเครือออกมา

 

 

“ในเมื่อพี่หานกล่าวเช่นนี้ สองคนนี้ก็ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน” เจ้าของร้านไม่ได้เอ่ยอะไรมาก คาดไม่ถึงว่าจะเห็นด้วยจริงๆ

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน รอบกายของอสูรอัสนีตัวนั้นพลันเปล่งแสงสี่สีออกมา ชั่วครู่ก็หายไปจากแผ่นหลังของหานลี่

 

 

ครู่ต่อมามันก็มาปรากฎตัวด้านหลังเจ้าของร้านท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง

 

 

“ดูแล้วท่านอาวุโสคงไม่ได้คิดจะสยบอสูรตนนี้ตั้งแต่แรก แต่คิดจะใช้อสูรอัสนีตนนี้สร้างร่างแยกสินะ” หานลี่มองอสูรอัสนี ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

 

 

“พี่หานดูออก” เจ้าของร้านหัวเราะฮ่าๆ ออกมา น้ำเสียงคลุมเครือเป็นอย่างมาก

 

 

หานลี่หยักมุมปากขึ้นตอนที่คิดจะเอ่ยถามอะไรอีกนั้น ฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น เมฆสีดำที่แต่เดิมถูกเจ้าของร้านสำแดงความสามารถเรียกออกมาพลันถูกวายุพัดจนสลายหายไป ท้องฟ้าทั้งหมดเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนออกมา แล้วเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาในเวลาเดียวกัน

 

 

บางจุดกลางอากาศ เริ่มแม้กระทั่งบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย

 

 

รูม่านตาของหานลี่พลันหดเล็กลง

 

 

“พลังปราณฟ้าดินของเขาพระสุเมรุถูกข้าดึงออกมาจนหมดแล้ว อีกไม่นานก็จะพังทลายลง พวกเรารีบออกไปกันเถิด” บุรุษร่างกายผ่ายผอมมองไปรอบๆ แล้วพลันขมวดคิ้ว

 

 

“อืม ต้องเรียนเชิญท่านอาวุโสอวี๋ให้เปิดทางแล้ว” หานลี่เอ่ยปากตอบรับ

 

 

“หึๆ พูดดี!” เจ้าของร้านกวาดสายตาไปที่ภาพหงส์สวรรค์ห้าสีบนแผ่นหลังของหานลี่ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างประชด

 

 

ทันใดนั้นเขาพลันบริกรรมคาถา ตะปบไปกลางอากาศ

 

 

ลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนภาพที่เดิมสลายหายไปพลันปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสง

 

 

ม้วนภาพนั้นคลี่ออก พ่นเสาลำแสงสายหนึ่งออกมา

 

 

เบื้องหน้าทั้งสองคนมีประตูลำแสงความสูงสองสามจั้งปรากฎขึ้น

 

 

ด้านในเต็มไปด้วยลำแสงสีขาว สูงเสียดขึ้นไปยังวิมานสวรรค์

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสีหัวไหล่พลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นที่แผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเทาสองกลุ่มบินออกมา ม้วนเอาชายร่างใหญ่และชายหนุ่มที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติขึ้นมา แล้วดูดเข้ามาที่ด้านหลัง

 

 

วิญญาณครวญที่อยู่ที่แผ่นหลังเองก็หดกายเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลายเป้นวานรสีดำขนาดเท่าคน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ตามมาทีด้านหลังของหานลี่

 

 

“พี่หาน พวกเราไปกันเถิด” ชั่วพริบตาที่หานลี่ดึงชายร่างใหญ่และชายหนุ่มเข้ามา เจ้าของร้านก็มีดวงตาประหลาดใจฉายแววผ่าน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ร้องเรียกคำนึงเท่านั้น

 

 

ทั้งสองคนเปล่งแสงสว่างวาบ เดินเข้าไปในประตูลำแสงตามลำดับ

 

 

เบื้องหน้าของหานลี่เปล่งประกาย ด้านนอกคือที่พักของบุรุษร่างกายผ่ายผอม ทุกอย่างเงียบสงบมาก และไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ

 

 

กำแพงที่ด้านหลังของทั้งสอง ยังคงเป็นภาพแขวนของเขาพระสุเมรุ

 

 

หานลี่ถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

ถึงแม้ว่าจะลง แต่จากความสามารถของเขาก็ไม่จำเป็นต้องกวาดกลัวคนผู้นี้ แต่อีกฝ่ายเองก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญธรรมดาๆ มีเคล็ดวิชาลับอยู่กับตัว เขาจึงไม่อยากสู้กันให้ตายไปข้างกับอีกฝ่าย

 

 

เสียง “กึกๆ” ดังขึ้น ภาพโบราณบนกำแพงสั่นเทา กลายเป็นผุยผงอย่างเงียบเชียบแล้วหายวับไป

 

 

หานลี่พลันตกใจ ใบหน้าเหยเกเล็กน้อย

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา

 

 

เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเสียดายสมบัติเขาพระสุเมรุที่พังทลายลงเป็นอย่างมาก

 

 

“ดูจากท่าทางของพี่หานแล้ว คงจะไม่ใช่ผู้ที่ยากหาเรื่องใส่ตัว สองคนนี้มอบให้ข้านายท่านจัดการก็แล้วกัน ผู้แซ่อวี๋ยังมีบาดแผลอยู่ คงไม่ส่งแล้ว” เมื่อกลับมาถึงที่พักเจ้าของร้านก็เอ่ยคำพูดส่งแขกออกมาในทันที

 

 

หานลี่ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรออยู่ที่นี่อีก จึงคารวะน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อ เก็บอสูรวิญญาณครวญแล้วพลิ้วกายเดินออกไปจากประตูใหญ่

 

 

ด้านหลังของเขาลำแสงสีเทาสองกลุ่มที่ห่อหุ้มชายหน้าหวานและชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำลอยตามเขามาติดๆ

 

 

มองจากไกลๆ ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนกำลังบินตามหานลี่มาเองอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ชายชรารอจนร่างของหานลี่หายจากประตูใหญ่แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหม่นหมองลง

 

 

ครานี้ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนที่รักษาการณ์อยู่ที่ประตูพลันเดินเข้ามา แล้วยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม

 

 

“ท่านปรมาจารย์จะปล่อยสามคนนั้นไปจริงๆ หรือ จะไม่เกิดปัญหาอะไรใช่ไหมขอรับ” คนหนึ่งเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

 

“หึ จะเกิดปัญหาอะไรได้? ต่อให้อีกเดี๋ยวเขาไปตามคนมา พวกเราก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว เก็บของซะ ใช้เขตอาคมส่งตัวใต้ดิน พวกเราจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ทันที ไม่อาจอยู่ที่เผ่าวิหคสวรรค์ต่อไปได้แล้ว มีเพียงต้องไปเผ่าเบญจลำแสง ข้าเตรียมอีกฐานะหนึ่งไว้ที่เผ่าเบญจลำแสงตั้งนานแล้ว ผู้ใดก็ไม่มีทางหาพวกเราพบอีก” เจ้าของร้านออกคำสั่งด้วยความเย็นชา

 

 

“ขอรับท่านปรมาจารย์!” ชาววิหคสวรรค์ทั้งสองไม่สงสัยในคำสั่งของบุรุษร่างกายผ่ายผอมเลยสักนิด ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม

 

 

ครานั้นทั้งสองคนจึงเข้าไปที่ห้องอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังประตูใบหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่านไป

 

 

“หากไม่ได้คิดถึงแผนการใหญ่ คงไม่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ จากนิสัยแต่ก่อนของตาเฒ่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเก็บพวกเจ้าไว้แน่” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ควักขวดยาออกมาจากอกเสื้อ กินยาลูกกลอนสีเขียมรกตลงไปสองเม็ด ทันใดนั้นมือหนึ่งก็ลูบไปบนใบหน้า ในเวลาเดียวกันใบหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้าสีขาวออกมา

 

 

หลังจากลำแสงสีขาวหม่นแสงลง ที่เดิมก็มีชายวัยกลางคนร่างกายผอมสูงสง่าปรากฎขึ้น

 

 

คนผู้นี้ไม่ว่าใบหน้าหรือว่าท่าทางก็ไม่เหมือนก่อนหน้าเลยสักนิด ราวกับคนล่ะคนก็ไม่ปาน

 

 

เขาสาวเท้าไปที่มุมของห้องโถง

 

 

มือหนึ่งตบไปที่กำแพง ทางเดินทอดยาวลงไปด้านล่างสายหนึ่งปรากฎขึ้น

 

 

ชายวัยกลางคนพลันเดินลงไป

 

 

……

 

 

ในเวลาเดียวกันหลังจากที่หานลี่พาชายร่างใหญ่และชายหนุ่มมาใกล้ๆ กับสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งแล้ว ก็กวาดสายตาไป รกร้างใช้ได้ ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา

 

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็เก็บลำแสงเทวะดูดปราณ ทั้งสามคนตกลงบนพื้นอย่างไม่รู้ตัวทันที

 

 

พิจารณาทั้งสองคน หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างจนปัญญา“นับว่าพวกเจ้าดวงดี หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเกี่ยวโยงมาถึงข้า ข้าก็ขี้เกียจจะวุ่นวาย”

 

 

เขาพูดไปพลาง มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีเข็มสีเงินยี่สิบสามสิบเล่มปรากฎขึ้น

 

 

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น เส้นไหมสีเงินยี่สิบสามสิบเล่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของทั้งสองคน