เล่ม 9 เล่มที่ 9 ตอนที่ 253 แหวกหญ้าให้งูตื่น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาโอบกอดพาซูจิ่นซีเหาะลงไป

เมื่อลงมาถึงพื้น เยี่ยโยวเหยาก็ใช้ยาพิษของซูจิ่นซีจัดการกับหนูพิษอย่างรวดเร็ว เยี่ยโยวเหยาลงมืออย่างฉับไว เพราะเกรงว่าหากเสียเวลาไปหนึ่งวินาที ซูจิ่นซีจะหวาดกลัวมากขึ้นหนึ่งวินาที

ยาของซูจิ่นซีใช้ได้ผลดีมาก เยี่ยโยวเหยาเพิ่งสาดออกไป หนูจำนวนมากก็ล้มตายลงบนพื้น หนูที่ไม่โดนผงยาก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เมื่อเยี่ยโยวเหยาสาดผงยาออกไปอีกหนึ่งกำมือ หนูพวกนั้นก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็วิ่งหนีไปหมด

เยี่ยโยวเหยาใช้กำลังภายในกวาดซากหนูทั้งหมดไปไว้ข้างพุ่มไม้ ก่อนจะเรียกซูจิ่นซี “ไม่เป็นอันใดแล้ว”

ซูจิ่นซีเปิดเสื้อคลุมศีรษะขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าเขินอาย

เวลานี้ ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าตนเองน่าดึงดูดมากเพียงใด

ซูจิ่นซีเป็นคนแข็งแกร่ง ดื้อรั้น ปราศจากความกลัว นางทำให้เยี่ยโยวเหยาชื่นชมนับครั้งไม่ถ้วน และมักจะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความหลงใหลอยู่เสมอ ท่าทางที่น่ารักใสซื่อของซูจิ่นซีทำให้เยี่ยโยวเหยาทำอันใดไม่ถูก อีกทั้งนางในเวลานี้ยังมีท่าทีบอบบาง ยิ่งทำให้เยี่ยโยวเหยานึกเอ็นดูสงสาร

“ไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเราไปกันเถิด! ” เยี่ยโยวเหยาคว้ามือซูจิ่นซี

เมื่อครู่ที่จัดการเหล่าหนูพิษ เยี่ยโยวเหยาได้สังเกตสภาพก้นเหวโดยคร่าวๆ แล้ว

แทนที่จะพูดว่าก้นเหว มิสู้พูดว่า ที่นี่เป็นหุบเหวขนาดมหึมา

ก้นเหวโดยทั่วไป ที่ด้านล่างหน้าผาอย่างน้อยต้องมีทางออก ทว่าด้านล่างของหน้าผาแห่งนี้กลับไม่กว้างนัก ทั้งสี่ด้านเป็นผาหินสูงชัน ไม่มีทางออกอย่างแน่นอน เมื่อยืนอยู่กลางหน้าผาก็สามารถมองออกไปเห็นผนังผาทั้งสี่ด้าน

เดินไปได้เพียงสองก้าว พวกเขาก็มองเห็นปากถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ปากถ้ำมีคนเฝ้าอยู่

“คงเป็นที่นี่กระมัง? ” ซูจิ่นซีถาม

อย่างน้อยด้านล่างก็มีเพียงถ้ำนี้ ทั้งยังมีคนคอยเฝ้า จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่พบถ้ำอื่นที่อยู่ในที่แห่งนี้อีก

“ใช่ ที่นี่” เยี่ยโยวเหยาพูด

“ให้หม่อมฉันจัดการพวกเขาเถิด! ” ซูจิ่นซีพูด “ท่านเก็บพลังไว้รับมือกับคนที่อยู่ด้านในดีกว่า อาจมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย”

ซูจิ่นซีเชื่อว่า ผู้ที่สามารถจับคนของเยี่ยโยวเหยาไปได้ จะต้องมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา

“ตกลง! ” เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า

จากนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงโอบกอดซูจิ่นซี พาเหาะไปทางปากถ้ำ

เมื่อผู้คุมหน้าปากถ้ำทั้งสองเห็นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีก็ปาเข็มเงินออกไป ผู้คุมทั้งสองต่างล้มลงกับพื้น ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียง

“มิน่าเล่า ตลอดทางพวกเราไม่พบใครเลย ที่แท้แม้แต่ผู้คุมหน้าปากถ้ำยังเมามายไม่เป็นท่า”

ขณะที่ซูจิ่นซีเดินเข้าไปใกล้ ระบบถอนพิษได้แจ้งเตือนถึงฤทธิ์สุรา อีกทั้งตอนที่นางยืนอยู่ข้างผู้คุมทั้งสอง กลิ่นสุรายิ่งรุนแรงมากขึ้น

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด เขาจูงมือซูจิ่นซีเดินเข้าไป

ซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นขึ้นอีกครั้ง

ระหว่างทาง พวกเขาพบผู้คุมจำนวนไม่น้อย ทว่าก็ถูกเยี่ยโยวเหยาจัดการทั้งหมด

หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็พบกับทางแยก ปากทางทั้งสองเหมือนกันทุกประการ มองไม่เห็นถึงความแตกต่าง

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้เช่นกัน โดยทั่วไป การจัดวางประเภทนี้มีไว้เพื่อรับมือกับผู้บุกรุก

“ดูออกหรือไม่ว่าควรไปทางใด? ” เยี่ยโยวเหยาถาม

ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษตรวจสอบโดยละเอียด และใช้อาคมกำไลปี่อั้นฟังอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงชี้ไปทางขวามือ แล้วพูดว่า “ทางนี้เพคะ อีกทางเต็มไปด้วยพิษ”

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเดินไปทางขวา

ระหว่างทาง เยี่ยโยวเหยาปกป้องซูจิ่นซีอย่างแน่นหนา ราวกับซูจิ่นซีเป็นอาวุธวิเศษชิ้นเล็กๆ ของเขา

แม้ต้องตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งเส้นทางด้านหน้าจะมีอันตรายมากน้อยเพียงใดก็ยังไม่รู้ ทว่าซูจิ่นซีกลับมองด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างสดใส

หึๆ …

เพียงมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายใดๆ นางก็ไม่หวาดกลัว

ไม่นาน พวกเขาก็พบทางแยกอีกสามทาง ซูจิ่นซียังคงใช้ระบบถอนพิษกับอาคมกำไลปี่อั้นเช่นเคย และเลือกเส้นทางได้อย่างถูกต้อง

ต่อจากนั้น พวกเขาก็ไม่พบอุปสรรคอื่นใดอีก

ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีกลับได้ยินเสียงคนกำลังสนทนากัน

ซูจิ่นซีมองท่าทางของเยี่ยโยวเหยา เขาคงไม่ได้ยิน สาเหตุที่นางได้ยินก่อนเยี่ยโยวเหยา เป็นเพราะนางมีอาคมกำไลปี่อั้น

“ข้างหน้ามีคนจำนวนมาก” ซูจิ่นซีเตือนเยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า แสดงท่าทีว่าทราบแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เดินหน้าเข้าไปอีกหน่อย ฝีเท้าของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ ช้าลง ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาคงได้ยินเสียงแล้ว

เวลานี้ พวกเขาคงเดินเข้ามาถึงใจกลางภูเขาแล้ว

ที่นี่เป็นเหมือนตำหนักใต้ดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

ขณะนี้เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซียืนอยู่ด้านบนของตำหนักพอดี พวกเขาสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านล่างได้จากช่องเล็กๆ ด้านหลัง

ที่ด้านล่างมีการจัดสำรับอาหารสำหรับงานเลี้ยงไว้มากมาย มีผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งลูกสมุนประมาณสิบกว่าคนก็นั่งอยู่ด้านล่าง ตำแหน่งทางทิศเหนือมีบุรุษผู้มีราศีสง่างาม อายุราวยี่สิบกว่านั่งอยู่ การแต่งกายของเขาไม่เหมือนกับคนแคว้นจงหนิง เส้นผมถักเป็นเปียเล็กจำนวนมาก บนศีรษะสวมเครื่องประดับเขาวัวหนึ่งคู่ ปีกจมูกมีก้านหมุดปักอยู่ ใบหน้าเป็นสีดำแดง ในมือถือไหสุรา เขานั่งพิงอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้ที่ปูด้วยหนังเสือ ท่วงท่าวางอำนาจเกินคำบรรยาย ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดแล้วก็หน้าตาไม่เลว

นอกจากนั้นยังมีผู้อาวุโสสี่คนที่เป็นลูกสมุนนั่งอยู่ แม้การแต่งกายจะไม่อลังการเหมือนบุรุษผู้นั้น ทว่ายังเป็นรูปแบบเดียวกัน

ทันทีที่ซูจิ่นซีมาถึง ระบบถอนพิษก็ส่งเสียงแจ้งเตือนอย่างรุนแรง ทว่าเพื่อความปลอดภัย นางจึงไม่กล้าปิดเสียงที่ดังจนน่ารำคาญนั้น

บุรุษที่นั่งด้านบนมีชื่อว่า กูสือซาน เป็นราชครูของแคว้นไหวเจียง ผู้อาวุโสด้านล่างทั้งสี่ท่านเป็นหมอพิษที่แคว้นไหวเจียงส่งมาปักหลักอยู่ที่แคว้นจงหนิง

ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นไหวเจียง ราชครูกูสือซานเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากในแคว้นไหวเจียง อำนาจสำคัญของแคว้นไหวเจียงล้วนอยู่ในมือของราชครูผู้นี้ กลับคาดไม่ถึงว่าเขายังหนุ่มแน่น

ทว่าซูจิ่นซีมีเยี่ยโยวเหยาเป็นแบบอย่างอยู่ก่อนแล้ว นางจึงไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก

“ราชครู ครั้งนี้พวกเราจับสมุนของโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงมาได้จำนวนมาก นับเป็นการตบหน้าอำนาจของโยวอ๋อง ช่างมีความสุขจริงๆ ! ต่อจากนี้ ราชครู… ท่านวางแผนจะทำอย่างไร? ” ลูกสมุนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

“ข้าน้อยขอเสนอว่า นำคนทั้งหมดมอบให้หมอพิษทั้งสี่เพื่อสร้างเป็นหุ่นพิษ และส่งปะปนเข้าไปในวิหารวิญญาณ พวกเขาไม่มีทางตรวจพบอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นจะต้องส่งผลดีอย่างมากเป็นแน่ ทั้งยังสามารถทำลายวิหารวิญญาณของโยวอ๋องได้อีกด้วย! ”

“วิธีนี้ดีมาก ข้าน้อยเห็นด้วย ถึงเวลานั้นต้องทำให้โยวอ๋องและสมุนของมันกลัวจนปัสสาวะราด”

“ใช่ ข้าน้อยเห็นด้วย”

“หากไม่มีโยวอ๋อง ก็เท่ากับยึดแคว้นจงหนิงทั้งหมดได้ เพียงราชครูยึดแคว้นจงหนิงได้ การยึดครองใต้หล้าก็ใกล้เข้ามาอีกขั้น”

“ข้าน้อยก็เห็นด้วย… ”

เสียงโห่ร้องด้านล่างดังขึ้นเรื่อยๆ พลังอำนาจที่น่ากลัวของเยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจน แรงกดดันจากเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนัก

บุรุษผู้นี้ต้องการทำอันใด?

เขาคงไม่คิดจะลงไปสังหารคนเหล่านั้นหรอกกระมัง?

หากทำเช่นนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจะไม่สามารถช่วยคนได้