โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.276 – บลัดฮันเตอร์

 

ว่ากันว่าความตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ ตามธรรมเนียมหากตายไปแล้วก็ไม่สมควรทำร้ายหรือสร้างความเสียหายใดๆให้กับตัวศพอีก แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะโยนศพซงหยวนกับจางเหวินไปเป็นอาหารหมาป่าอย่างกระทันหัน แค่ตายเป็นศพที่ไร้ดินกลบฝังก็นับว่าแย่พอแล้ว นี่กลายเป็นอาหารหมา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

 

เหล่าฝูงชนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว รู้สึกหวาดเกรงฉินเฟิงมากกว่าเดิม

 

พวกเขารู้สึกได้ว่าฉินเฟิงไม่น่าจะใช่คนดี อาจเป็นอาชญากรเฉกเช่นเดียวกัน เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดจากความชัดแย้งระหว่างอธรรมและอธรรม

 

สองหัวหน้าสาขาหวาดผวา ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

 

ฉินเฟิงไม่สนใจอีกฝ่าย

 

เพราะคนเหล่านี้ ก่อนเขาจะได้กลับมาเกิดใหม่ ล้วนตกตายลงด้วยน้ำมือของซงหยวน

 

แต่ในชีวิตนี้ฉินเฟิงช่วยเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขา นั่นถือเป็นของขวัญแสนล้ำค่า ดังนั้นฉินเฟิงไม่รู้สึกว่าตนติดหนี้หรือต้องรับผิดชอบพวกเขาแต่อย่างใด

 

ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาจะถูกโยนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นของตระกูลซง ฉินเฟิงคิดว่าคงไม่ เพราะอีกเดี๋ยว ฉินเฟิงจะลงมือทำอะไรบางอย่าง ที่เป็นการกระตุ้นตระกูลซงให้เดือดดาลยิ่งกว่าเดิม และน่าจะมุ่งเป้ามาที่เขาเพียงผู้เดียว

 

หลังจากฉินเฟิงโยนศพทิ้ง เขาก็ตรงไปยังรถรับส่งผู้บาดเจ็บ และสั่งให้คนขับพากลับไปยังสถานชุมชนฮั่นจวนโกว

 

ผู้ได้รับบาดเจ็บบนรถ รวมไปถึงผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ที่ถูกตบด้วยฝ่ามือเลือด ไม่กล้าเอ่ยท้วงใดๆ

 

เมื่อมาถึงฮั่นจวนโกว ฉินเฟิงก็เปิดอุปกรณ์สื่อสาร ค้นหาที่ตั้งของสมาคมนักล่าเงินรางวัลของชุมชน ลงจากรถ เดินคดเคี้ยวไปตามถนน ถึงที่หมายในที่สุด

 

รูปลักษณ์ของฉินเฟิงดูแปลกตา ทุกคนในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลมองไปยังฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง

 

“มิสเตอร์ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้?” พนักงานต้อนรับเอ่ยถาม

 

“ฉันมาส่งรางวัลนำจับ”

 

ว่าจบ ฉินเฟิงก็โยนหัวของจางเหวินลงบนเคาน์เตอร์

 

พนักงานต้อนรับไม่ได้รู้สึกแปลกใจใดๆกับคำตอบ แต่หลังจากสแกนข้อมูลของหัวแล้ว เจ้าตัวก็ต้องตกใจ

 

เป็นหัวของจางเหวิน!

 

ตัวตนระดับนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจู่ๆก็ถูกสังหารลงอย่างกระทันหัน

 

เรื่องการตายของจางเหวินน่ะไม่ได้สำคัญอะไรหรอก อย่างมากก็เป็นที่ฮือฮาไปพักหนึ่ง เหมือนกับตอนฉินเฟิงไปส่งหัวของหมาป่าสาว

 

แต่ปัญหาชวนให้ปวดหัวมันติดตรงที่มาของจางเหวินเนี่ยสิ

 

–เขาเป็นคนของตระกูลซง!

 

ไอ้หน้ากากนี่มันไม่มีสมองเลยหรือไร ไม่เคยได้ยินวลี ‘หากคิดตีสุนัข ต้องดูเจ้าของ’ รึไง?

 

พนักงานกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

 

“เร็วเข้า ฉันต้องการเงิน” ฉินเฟิงกระตุ้นอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

“ขอรับ ขอรับ มิสเตอร์ โปรดระบุหมายเลขสื่อสาร และสถานะนักล่าเงินรางวัลของคุณด้วย”

 

ฉินเฟิงมอบหมายเลขไป แต่พอพนักงานกรอกลง กลับพบว่าข้อมูลประจำตัวว่างเปล่า ไม่ได้มีการลงทะเบียนไว้

 

คราวนี้ พนักงานต้องปวดหัวอีกครั้ง แต่ก็เข้าใจว่าฉินเฟิงอาจต้องการปิดซ่อนตัวตนของเขา

 

“มิสเตอร์ คุณต้องการลงทะเบียนสถานะนักล่าเงินรางวัลกับทางเราไหม? ถ้าสนใจ กรุณาบอกชื่อและความแข็งแกร่งของคุณ แล้วเราจะทำการสร้างโปรไฟล์ให้โดยอัตโนมัติ”

 

ฉินเฟิงเอ่ยปาก กล่าวเสียงจม “งั้นเรียกฉันว่าบลัดฮันเตอร์”

 

—บลัดฮันเตอร์ ชื่อนี้บ่งบอกชัดเจนว่าตั้งขึ้นมาเพื่อตามล่าตระกูลซง ซึ่งเป็นตระกูลฝึกฝนทักษะเลือด!

 

พนักงานไม่กล้าทักท้วง เขากรอกใบสมัครให้ และอนุมัติโดยตรง ในเวลาเดียวกัน ค่าหัว 300 ล้านของจางเหวินก็ถูกโอนมายังหมายเลขสื่อสารใหม่ของฉินเฟิง

 

ในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล หมายจับของจางเหวิน ถูกตีตราเครื่องหมายว่าเสร็จสิ้น และชื่อของคนที่ปิดภารกิจ แน่นอนว่าเป็นชื่อปลอมของฉินเฟิง

 

–บลัดฮันเตอร์!

 

ยังไม่พอ ในความเป็นจริงแล้วทุกคนในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล ทั้งหมดสามารถสื่อสารกันได้ หากมีนักล่าเงินรางวัลคนใดรับภารกิจ แต่ยังขาดข้อมูล ตราบใดที่มีเงินมากพอ ก็สามารถซื้อข้อมูลที่ถูกต้องได้

 

ดังนั้นเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล จึงมีแพลตฟอร์มเอาไว้ใช้สนทนา และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

 

ฉินเฟิงอัปโหลดภาพหัวของจางเหวิน ลงในเครือข่าย และเขียนบรรยายใต้ภาพเล็กๆน้อยๆ

 

“จางเหวินแล้วไง? ก็ไม่แน่สักเท่าไหร่นี่นา”

 

ภายใต้หน้ากากของฉินเฟิง เผยรอยยิ้มเย็นชา จากนั้นเขาก็ออกจากโถงเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล ตรงไปยังศูนย์จัดแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในฮั่นจวนโกว เดินทอดน่องเชยชมรถศึกอย่างเพลิดเพลิน

 

 

ในเวลาเดียวกัน ห่างออกมาทางทิศตะวันตกของเมืองนุ่ยเหมิง ท่ามกลางเทือกเขา ปรากฏหมู่บ้านที่ดูหรูหราตั้งอยู่ที่นี่

 

หากคนที่ไม่ทราบเรื่องราวอะไรมาพบเจอ คงคิดว่าที่นี่อาจเป็นสรวงสวรรค์บนดิน

 

แต่ในความเป็นจริง สถานที่แห่งนี้คือฐานของตระกูลซง มันดูเก่าแก่เหมือนกับว่าถูกสร้างและรักษามาเป็นอย่างดีก่อนยุคโลกาวินาศ ภูมิทัศน์งดงาม เป็นเช่นนี้มาหลายพันปีก็ยังไม่ถูกทำลายลง

 

อิฐเขียวกระเบื้องดำ , บ้านทรงเตี้ย ลวดลายหยกสลัก ถูกประดับประดาอย่างหรูหรา งดงามเป็นอย่างยิ่ง

 

แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาคารจะดูเป็นสไตล์โบราณ แต่ภายในหรูหรามาก มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ใช้สอยอยู่มากมาย

 

ณ ขณะนี้ อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนในตระกูลซงเกิดเสียงดังติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ทั้งยังกระพริบแสงสีแดง

 

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป ก้มลงมองอุปกรณ์สื่อสาร

 

“ทายาทรุ่นที่ 7 ซงหยวน เสียชีวิตแล้ว!”

 

“ผู้ดูแลจางเหวินเองก็ไม่รอดเหมือนกัน!”

 

ข่าวนี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงโดยสมบูรณ์

 

การแจ้งเตือนนี้ เกิดจากตัวอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือของซงหยวน ที่เชื่อมต่อกับชีพจร หากอุปกรณ์สื่อสารสูญหายหรือเสียหาย ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการแจ้งเตือนนี้

 

ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว คือเสียชีวิตไปจริงๆ

 

พ่อของซงหยวนเป็นคนแรกที่คลั่งจนเสียสติ

 

“เป็นไปได้อย่างไร? ซงหยวนเพิ่งออกไปได้แค่สองวัน เขาจะตายได้อย่างไร? ต้องมีอะไรผิดพลาด! แล้วจางเหวินเล่า! จางเหวินก็ตายด้วยงั้นหรือ ไอ้ขยะเอ๊ย!!”

 

ซงหลิงฮานคำรามโกรธเกรี้ยว

 

ตระกูลซงเป็นตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง พวกเขาแข็งแกร่ง มิฉะนั้นยามยุคโลกาวินาศมาเยือน พวกเขาคงไม่สามารถแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษเช่นนี้ได้

 

อีกทั้งยังยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสี่เมืองทะเลเหนือได้ตลอดมา ฉะนั้นตระกูลซงเป็นการดำรงอยู่อันดับต้นๆแน่นอน

 

ชนิดที่ว่าไอ้พวกสี่ตระกูลใหญ่เมืองเฉิงหยางที่แสนหยิ่งยะโส หากเทียบกันจริงๆ สามารถเป็นได้แค่คนรับใช้ของตระกูลซงเท่านั้น

 

ผู้นำตระกูลซงคือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล C ยังคงปิดด่านฝึกตนอยู่ในตอนนี้

 

ปัจจุบันผู้รักษาการผู้นำคือผู้ใช้วรยุทธเลเวล D —เป็นผู้อาวุโสทั้งเจ็ด ซึ่งทุกคนล้วนอยู่ในเลเวล D ทั้งสิ้น

 

เลเวล D กว่า 7 คนอยู่พร้อมหน้า นี่เทียบได้เลยกับจำนวนเลเวล D ของสามเฉิง แต่ทั้งหมดกลับกระจุกรวมอยู่ในตระกูลเล็กๆเพียงตระกูลเดียว บ่งบอกชัดเจนได้ถึงกำลังรบของตระกูล!

 

สำหรับซงหลินฮาน เขาไม่ใช่ผู้อาวุโส แต่เป็นสมาชิกรุ่นที่หก ทั้งยังมีความแข็งแกร่งที่ดี อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรของตระกูลส่วนใหญ่เอนเอียงไปทางคนหนุ่มสาวมากกว่า และคุณสมบัติของวัยกลางคนก็มีจำกัด หลังจากอายุมากแล้ว โดยพื้นฐานมักยากที่จะไปต่อ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้วรยุทธโบราณ!

 

บางคน ด้วยอายุขัยที่จำกัด อาจไม่สามารถเอื้อมไปสัมผัสเลเวล D ได้เลยตลอดชีวิต

 

ในขณะที่ความแข็งแกร่งของซงหลิงฮานอยู่ในเลเวล E8 อาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 5 – 6 ปีถึงจะสามารก้าวขึ้นสู่เลเวล D ได้

 

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจยิ่งกว่า ก็คือตนมีลูกชายอัจฉริยะ คาดว่าอีกแค่ไม่นานก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเอง ครอบครองพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม

 

ทว่าไม่คาดคิดเลย ว่าการเดินทางไปยังสุสานเทพสงคราม ทั้งๆที่ยังมีคนคอยพิทักษ์ติดตาม จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแบบนี้

 

“นายท่านสิบสาม ได้โปรดระงับความโกรธ”

 

คนรับใช้มองไปยังซงหลินฮานที่เดือดดาลสุดแสน ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายร่างกายตนเอง คิดเดินเข้าไปช่วยระงับสติอารมณ์

 

แต่ตอนนี้ซงหลินฮานจะไปมีอารมณ์รับฟังคนอื่นได้อย่างไร

 

“ไสหัวไปให้พ้น! ลูกชายฉันตายไปแล้ว แกยังมีหน้ามาบอกไม่ให้โกรธอีกหรือ?”

 

ซงหลินฮานง้างมือ ฟาดตบใส่คนรับใช้ ส่งอีกฝ่ายปลิวออกไปทันที

 

นี่คือฝ่ามือของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E ยามสัมผัสโดน ต้นคอของคนรับใช้พลันส่งเสียง ‘กริ๊ก’ ทันใด ตามด้วยเสียงโครมมมม! ร่างกระแทกจมเข้าไปในผนัง ไม่ทราบเหมือนกันว่ายังรอดไหม!

 

“ว๊ากกกก” ซงหลินฮานคว่ำโต๊ะ คนรับใช้คนอื่นๆก็หวาดกลัวไม่ต่างกัน แต่พวกเขาไปไหนไม่ได้ หากเวลานี้วิ่งหลบหนี เกรงว่าซงหลินฮานคงจะไล่ฆ่าทุกคน

 

ชายคนหนึ่งฝืนใจก้าวมาข้างหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายท่าน นายท่าน ตอนนี้สิ่งสำคัญคือค้นหาตัวฆาตกร เพื่อล้างแค้นให้กับนายน้อย!”

 

ซงหลินฮานพอได้ยินคำนี้ ก็คล้ายได้สติกลับคืนมาเล็กน้อย เขาคลิกลงบนตัวอุปกรณ์สื่อสารอย่างรวดเร็ว

 

บนจอ ปรากฏร่างของซงหยวนที่ได้รับบาดแผลร้ายแรงถึงแก่ชีวิต โดยมีฉินเฟิงยืนอยู่ตรงข้าม ซงหยวนใช้มือคว้าจับข้อมือของฉินเฟิง พยายามจะดันออกไป

 

รูปลักษณ์ของฉินเฟิง ปรากฏชัดเจนในวิดีโอ

 

ผ้าคลุมสีดำ ชุดต่อสู้มาตรฐาน หน้ากากสีซีด กระทั่งในส่วนดวงตาก็ยังได้รับการบดบังด้วยวัตถุดิบพิเศษ ไม่อาจมองเห็นได้

 

แบบนี้ … เท่ากับไม่มีเบาะแสใดๆของศัตรูเลย!