ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 234 มอบของกำนัลต่อเนื่อง ต่างสำแดงอิทธิฤทธิ์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เหลียนฉงอี้มองเยี่ยนจ้าวเกออยู่ แท้จริงแล้วเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้างเช่นกัน

ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ตนเองในฐานะมหาปรมาจารย์ เยือนถึงประตูขอโทษขอโพยจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ผู้หนึ่งด้วยความจริงใจเต็มขั้น เกินกว่าครึ่งอีกฝ่ายจะต้องไว้หน้าบ้าง ถือโอกาสรับของกำนัล

หาไม่แล้ว นี่กล่าวได้ว่าเป็นการทำให้เหลียนฉงอี้มหาปรมาจารย์ผู้นี้อัปยศอดสู ทั้งสองฝ่ายถือว่าผูกพยาบาทโดยสิ้นเชิงแล้ว

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอหาใช่ผู้ที่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ทั่วไปจะเทียบเคียงได้ ต่อให้เขาปิดประตูไม่ต้อนรับเหลียนฉงอี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มขื่นยอมรับเท่านั้น

ไม่เพียงแต่เหลียนฉงอี้ไม่อาจก่อเกิดความคิดแก้แค้นในใจ หากยังต้องคิดวิธีหาคนอื่นมาพูดขอร้องแทน เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งลง

แน่นอนว่าดูจากข่าวลือที่เหลียนฉงอี้ได้ยินมาแล้วนั้น แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะอำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง กระนั้นหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ยากจะคบค้าสมาคม ไม่น่าจะกระทำการตัดไมตรีขนาดนั้น

หากแต่ในใจเหลียนฉงอี้ยังคงไม่มั่นใจอยู่บ้าง เพราะเขาเองมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

ถึงจะเยือนถึงประตูขอโทษด้วยตนเองก็ตาม กระนั้นก็มีเจตนาอื่นเช่นกัน

ถ้าหากทำได้ เหลียนฉงอี้ไม่อยากรีบร้อนถึงเช่นนี้ ดีที่สุดคือค่อยเป็นค่อยไปได้ น้ำมาคลองก็เกิดตามธรรมชาติ

หากแต่ประการแรกไม่รู้ได้ว่าเมื่อใดเยี่ยนจ้าวเกอจะออกจากเกาะทราย ประการที่สองทางฝั่งผู้อาวุโสไป๋ก็จะตอบสนองทันที ส่งคนเยือนถึงประตูเช่นกัน เหลียนฉงอี้และผู้อาวุโสหงต้องการช่วงชิงโอกาสสำคัญ จำต้องคว้าโอกาสไว้ให้แน่น ที่แข่งขันกันก็คือเวลาที่คลาดกันเช่นนี้

เพราะฉะนั้นผลแทรกซ้อนที่นำพามา ยกตัวอย่างเช่นอาจจะทำให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็จะกลายเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาไม่อาจไม่แบกรับไว้เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเหลียนฉงอี้วูบหนึ่ง ยิ้มชืดชาพลางกล่าว “ประมุขป้อมปราการเหลียนเกรงใจเกินไปแล้ว แม้เหลียนอิ๋งบุตรหลานของท่านจะทำผิดไป แต่เคราะห์ดีไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ไม่อาจหวนคืน อันที่จริงเขาเองก็สร้างคุณให้ผู้คน อีกทั้งยังเอาชีวิตตนเองเป็นค่าตอบแทน ฉะนั้นข้าจึงไม่ได้คิดจะสืบสาวเอาความต่อไป”

“หากจอมยุทธ์สำนักข้ามีวาจาใดรุนแรงเกินไปเข้าหูท่านประมุขเหลียน ยังขอให้ท่านประมุขคิดเสียว่าพวกเขาเดือดแค้นชั่วขณะ อย่าได้นำมาใส่ใจ ข้าจะว่ากล่าวตักเตือนพวกเขาในภายหลัง”

เหลียนฉงอี้ไม่กล้าแม้จะเอื้อนเอ่ย สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองยังแก่นน้ำพุมรกตถ้วยหนึ่งนั้น “ส่วนแก่นน้ำพุมรกตนี้…”

“ยังคงขอให้คุณชายเยี่ยนได้โปรดรับไว้” เหลียนฉงอี้เอ่ยทันควัน “เหลียนอิ๋งกระทำเรื่องไม่ควร ท้ายที่สุดยังคงเป็นข้าที่ยามปกติอบรมสั่งสอนไม่ถูกวิธี บัดนี้ข้ารู้สึกละอายแก่ใจจนยากจะสงบสุขจริงๆ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา หลังจากนั้นครู่ค่อยใหญ่ยิ้มน้อยๆ “ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจหลี่แห่งซู่โจวสำนักข้าเข้าไปในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกพร้อมกับข้า โชคร้ายสิ้นชีพ ลั่วลั่ว เหลียนเฉิง และเหลียนอิ๋ง พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ ก็มีส่วนจากความดีความชอบของผู้อาวุโสหลี่ เขามีบุตรคนในตระกูลเหลืออยู่ แก่นน้ำพุมรกตนี้ ข้ารับไว้แทนพวกเขาก็แล้วกัน”

เหลียนฉงอี้ได้ยินแล้วก็พยักหน้า “เช่นนี้ดีที่สุด เรื่องที่ท่านผู้อาวุโสหลี่ถูกทำลายชีวิต ข้าแซ่เหลียนก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง”

ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ขอเพียงรับของไว้ก็พอ

เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของเหลียนฉงอี้บรรลุเกินกว่าครึ่ง จึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากในทันที หากแต่ที่ทำให้เขาต้องยิ้มขมก็คือ ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับทางผู้อาวุโสหงนั่น เยี่ยนจ้าวเกอไม่รับตั้งแต่ต้น

สำหรับเรื่องนี้ แน่นอนว่าเหลียนฉงอี้เองก็ไม่อาจเอ่ยถึงไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตรงกันข้ามกับที่วาดหวัง ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความไม่พอใจ

เขาเหลียวมองดูเหลียนเฉิงที่ยืนอมพะนำอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา “ครานี้เหลียนเฉิงกลับออกมาจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกได้ ก็เป็นเพราะคุณชายเยี่ยน ข้าบุ่มบามเยือนถึงประตูหนนี้ นอกจากขออภัย ก็เพื่อเอ่ยคำขอบคุณด้วยเช่นกัน”

เหลียนเฉิงรีบร้อนคำนับไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ “ขอบพระคุณบุญคุณที่คุณชายช่วยชีวิต”

ครั้นอาหู่มองภาพฉากนี้ เขายกมุมปากโค้งโดยไม่ได้เอ่ยคำพูด

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้จักกับจวินลั่ว ทว่าจวินลั่วล้วนเป็นมิตรอย่างยิ่งกับทุกๆ คน คงไม่ได้สนิทกับเหลียนเฉิงและเหลียนอิ๋งที่ตายไปแล้วมากจนเตะตา

ปกติแล้วเกรงว่าเหลียนฉงอี้อาจจะไม่สนใจมองเหลียนเฉิงสักครั้ง ตอนนี้กลับเป็นเพราะมีโชคชะตาร่วมทุกข์กับคุณชายของตนอยู่บ้าง กลายเป็นสาเหตุสำคัญอีกข้อหนึ่งที่เขาต้องมาเยือนถึงประตู ภายภาคหน้าอาจจะได้รับความสนใจจากประมุขตระกูลมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

พบพานโดยบังเอิญ ก็เป็นโชคชะตาเช่นกัน ก้าวเดียวถึงฟ้าแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นจังหวะโอกาสเปลี่ยนชีวิต

เยี่ยนจ้าวเกอแลเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “เหลียนเฉิงนั้นไม่เลวยิ่ง อย่างน้อยๆ ก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพคนหนึ่ง หากแต่ในโลกของจอมยุทธ์นี้ ของล้ำค่าอย่างเหลียนเฉิงกลับเปราะบางแตกง่าย เปรียบเทียบกันแล้ว เลือดเหล็กและความแกร่งกล้าในไฟสงครามของเหลียนเฉิง เป็นประโยชน์ต่อสีสันในการใช้ชีวิตของพวกเรามากกว่า”

“คุยลึกซึ้งกับผู้ไม่ชิดเชื้อ คำพูดของข้าอาจจะละลาบละล้วง ไม่ได้เจตนาก้าวก่ายชีวิตของเจ้าแต่อย่างใด เส้นทางของเจ้าเอง ก็ตัดสินใจเอง”

เหลียนฉงอี้มองเหลียนเฉิง ในแววตาประกายความแปลกใจระคนดีใจผ่านไปหลายส่วน เหลียนเฉิงยิ่งเหม่อลอยชั่วขณะถึงค่อยหลุดออกจากภวังค์ คำนับยังเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง “ขอบคุณคำชี้แนะเตือนสติของคุณชายเยี่ยน ข้า…ข้าเองก็รู้ดีว่าลักษณะนิสัยของข้าเปราะบางเกินไป…”

เยี่ยนจ้าวเกออมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ ไม่เอื้อนเอ่ยอีกต่อไป

เหลียนฉงอี้มองออกว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความคิดส่งแขก จึงกล่าวลาในทันที

เมื่อออกจากเรือนของเยี่ยนจ้าวเกอมา เหลียนฉงอี้ก็ทอดถอนใจ ในที่สุดนับว่าไม่เสียแรงเปล่าในการเดินทางหนนี้

ส่วนทางด้านผู้อาวุโสหงนั้น ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ไรไม่วาดหวังมากไปเช่นกัน

ถัดไปก็เป็นทางด้านผู้อาวุโสจวินแล้ว จวินลั่ว บุตรสาวของเขาหวิดสิ้นชีพในเงื้อมมือเหลียนอิ๋ง เรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายแก่ผู้อาวุโสด้วยเช่นกันจึงจะใช้ได้

หากว่าผู้อาวุโสจวินซักไซ้ไล่เรียงขึ้นมา ถึงขั้นกระทั่งทางด้านเยี่ยนจ้าวเกอนี้เองก็อาจจะแตกหักได้ ท้ายที่สุด คนที่เยี่ยนจ้าวเกอคุ้นเคยที่สุดในพรรคกระบี่วายุคำรามยังคงเป็นผู้อาวุโสจวิน

เหลียนฉงอี้ครุ่นคิดไปพลาง มองเหลียนเฉิงที่ดูมาที่ทีครุ่นคิดตามหลังตนมาไปพลาง

ครั้นพวกเขาออกจากที่พำนักเยี่ยนจ้าวเกอมา ก็พบผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน ด้วยการนำของจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงผู้หนึ่ง

ทั้งสองฝ่ายพบพาน สายตาเหลียนฉงอี้พลันชะงักงัน “โอ้ ท่านประมุขจวนหวง?”

เหลียนฉงอี้คุ้นเคยกับผู้มาเยือนอย่างยิ่งยวด เพราะอีกฝ่ายคือประมุขจวนภูเขาวายุอำพัน หนึ่งในขุมกำลังชั้นสองใต้การปกครองของพรรคกระบี่วายุคำราม คล้ายกับป้อมปราการตระกูลเหลียน

เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พึ่งพาอาศัยผู้อาวุโสหงเหมือนอย่างป้อมปราการตระกูลเหลียน เพราะจวนภูเขาวายุบูรพาเป็นผู้สนับสนุนของผู้อาวุโสไป๋

ประมุขจวนหวงแลเห็นเหลียนฉงอี้ แววตาพลันเป็นประกายเช่นเดียวกัน จากนั้นถึงค่อยหัวร่อลั่น “ท่านประมุขเหลียน ไม่พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่”

เหลียนฉงอี้อมยิ้มพลางกล่าว “ไม่พบกันนานแล้วจริงๆ ท่านประมุขหวงร่างกายยังคงแข็งแรงเช่นนั้นเหมือนเคย กลับไม่รู้ได้ว่าไฉนถ่อมาไกลถึงเมืองซู่โจวนับพันลี้นี้เล่า?”

ประมุขจวนหวงถอนใจครั้งหนึ่ง “ข้ากับผู้อาวุโสหลี่ของสำนักเขากว่างเฉิง ณ เมืองซู่โจวนับว่ารู้จักกันมานาน บัดนี้เขาถูกสังหาร อย่างไรข้าล้วนต้องเร่งมาอาลัยสักครั้งหนึ่ง”

“ชื่อเสียงของคุณชายกว่างเฉิง ข้าเองก็เลื่อมใส ย่อมอยากเห็นท่วงทีสง่างามของมังกรท่ามกลางมังกรในคำเล่าลือกับตาสักหน่อยเป็นธรรมดา”

ขณะเขาเอ่ยไปพลาง ก็ตั้งใจสังเกตสีหน้าท่าทางของเหลียนฉงอี้ไปพลาง จึงเห็นว่าบนดวงหน้าอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มออกมา “เมื่อครู่ข้าเพิ่งพบคุณชายเยี่ยน ไม่เหมือนเช่นธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง หาผู้ใดเทียมเทียบได้ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาเฉียบแหลม ประสบการณ์ล้ำเลิศ”

ประมุขจวนหวงได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลง ก่อนจะผงกศีรษะพลางเอ่ย “อ้อ ข้าเองก็น่าจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

แน่นอนว่าเหลียนฉงอี้จงใจเพิ่มแรงกดดันให้กับอีกฝ่าย วางแผนชี้นำผิดๆ กับอีกฝ่าย

ประมุขจวนหวงไม่รู้เจตนาอีกฝ่าย เขาจึงยังคงมีความมั่นใจเต็มขั้น ทำให้เหลียนฉงอี้อดกระหยิ่มน้อยๆ ในใจไม่ได้

เขาไม่เผยสีหน้าน้ำเสียงให้เห็น ผงกศีรษะให้ประมุขจวนหวงเล็กน้อย “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน หากประมุขหวงมีเวลา ก็ไปนั่งเล่นป้อมปราการตระกูลเหลียนของข้าได้”

ประมุขจวนหวงเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “แน่นอน ข้าประมุขหวงก็ยินดีต้อนรับประมุขเหลียนมาเป็นแขกเหรื่อทุกเมื่อเช่นกัน”

หลังจากทั้งสองเดินสวนกัน เหลียนฉงอี้พลันหันศีรษะกลับไป มองดูประมุขจวนหวงเดินไปทางที่พำนักของเยี่ยนจ้าวเกอ บังเกิดความรู้สึกเป็นพันหมื่นชั่วขณะหนึ่ง

บัดนี้ต่างก็สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างแท้จริงแล้ว ดูว่าผู้ใดจะสามารถเขยื้อนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในนั้นได้

เมื่อนึกได้ว่าว่าพระพุทธรูปใหญ่องค์นั้นตอนนี้ยังคงมีพลังฝึกปรือเพียงแค่ขั้นปรมาจารย์ อายุยังไม่พ้นยี่สิบ เหลียนฉงอี้ก็รู้สึกเพียงว่าเรื่องบนโลกหล้ายากคาดเดานัก

————————————