ตอนที่ 260-1 การรบเพิ่งเริ่มขึ้น

ชายาเคียงหทัย

เมื่อจางฉี่หลันนำทัพใหญ่กลับมารวมกับเยี่ยหลีและเฟิ่งจือเหยา แน่นอนว่ารุ่นเทียนหยาย่อมเกิดศึกอันดุดันขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็มาอยู่กันบนรุ่นเทียนหยา มิใช่ถูกอีกฝ่ายโจมตีลงมาจากด้านบน อีกอย่าง กำลังพลของหลี่ว์จิ้นเสียนที่เดิมมีอยู่สามหมื่นนาย ยามนี้ก็เสียหายไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ฝั่งพวกตนเสียทหารไปเพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน แค่เพียงคิดถึงเรื่องนี้ จางฉี่หลันก็คิดอยากหัวเราะให้ก้องฟ้าขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ด้านนอกเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไปสิบลี้ ม่อซิวเหยายืนอยู่ด้านนอกค่ายใหญ่ ยืนมองประตูเมืองเล็กๆ ปิดสนิทที่ตั้งอยู่บนที่ราบอย่างเดียวดาย แล้วก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาด้วยความจนใจ

อวิ๋นถิงกับเฉินอวิ๋นที่อยู่ข้างกายเขาถึงกับหันมองท่านอ๋องด้วยความประหลาดใจ ด้วยนึกไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงต้องถอนหายใจด้วย

และเป็นอวิ๋นถิงที่อดไม่อยู่ ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกวนใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ทางฟากหลี่ว์จิ้นเสียนนั่น เกรงว่าคงต้านไว้ได้อีกไม่กี่วันแล้ว”

ไม่เพียงแต่อวิ๋นถิงเท่านั้น แต่เฉินอวิ๋นที่แต่ไหนแต่ไรมาสุขุมเรียบร้อยมาตลอดเองก็ไม่เชื่อ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “รุ่นเทียนหยามีสภาพพื้นที่ที่ขรุขระ ต่อให้แม้ทัพจางมีทหารอยู่หมื่นนายเกรงว่าก็คงใช้การไม่ได้ เหตุใดท่านอ๋อง…”

ม่อซิวเหยายื่นรายงานการรบในมือส่งให้เฉินอวิ๋น พลางเอ่ยว่า “ตั้งแต่เริ่มมานี้ ในทัพของจางฉี่หลันไม่เคยเห็นอาหลีกับเฟิ่งซานปรากฏตัวมาก่อน สองคนนี้เกรงว่าคงนำคนอ้อมไปทางด้านหลังของหลี่ว์จิ้นเสียนแล้ว หากเป็นเช่นนี้ กำลังทหารที่หลี่ว์จิ้นเสียนวางไว้ห่างจากรุ่นเทียนหยาไปยี่สิบลี้ก็คงใช้การไม่ได้ หากทัพของทั้งสองมารวมกันที่รุ่นเทียนหยาเมื่อใด ทหารหมื่นนายของจางฉี่หลันต่อให้แสดงฝีมือไม่ได้มาก แต่หากผลัดกันเข้าโจมตี ก็สามารถทำให้ทหารสองหมื่นนายของหลี่ว์จิ้นเสียนต้องล้มตายได้”

เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของเฉินอวิ๋นและอวิ๋นถิงก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นถิงเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยยินดีนำทัพไปช่วยเหลือแม่ทัพหลี่ว์พ่ะย่ะค่ะ!”

ม่อซิวเหยาผินหน้าไปเอ่ยกับเขาเรียบๆ ว่า “ช่วยเหลือ? พวกเราจะเอาทหารจากที่ใดไปช่วยเหลือ อีกอย่าง ต่อให้มีทหารให้เจ้าหมื่นสองหมื่นนาย แต่เมื่อต้องเจอกับทัพใหญ่จำนวนแสนนายแล้ว จะไปทำอันใดได้”

อวิ๋นถิงถึงกับพูดไม่ออก “เช่นนั้น…เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเลื่อนสายตากลับไปมองประตูเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ระดมกำลังทั้งหมดเข้าตีเมือง จะต้องตีเมืองนี้ให้ได้ก่อนที่คนของจางฉี่หลันจะมาถึง”

เฉินอวิ๋นกับอวิ๋นถิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับบัญชา!”

ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะบอกให้ระดมกำลังทั้งหมดในการตีเมืองนี้ แต่เมืองเล็กๆ แห่งนี้กลับมิใช่เมืองที่โจมตีได้ง่ายถึงเพียงนั้น

หยวนเผยเป็นแม่ทัพเก่าแก่ของกองทัพตระกูลม่อ ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาเมืองเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ม่อซิวเหยามิได้มีความได้เปรียบด้านกำลังทหาร ขอเพียงหยวนเผยไม่สนใจสิ่งใด เพียงยืนหยัดที่จะรักษาเมืองไว้เพื่อรอให้ทัพเสริมมาช่วยเหลือแล้ว ในยามนี้ม่อซิวเหยาก็ยังหาทางจัดการกับเขาไม่ได้เลยจริงๆ ต่อให้ม่อซิวเหยามีกลยุทธ์เป็นพันๆ กลยุทธ์ แต่หยวนเผยกลับยังคงสงบนิ่งประหนึ่งภูผาที่ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ถึงแม้หลายวันนี้พวกอวิ๋นถิงสามสี่คนจะตะโกนก่นด่าอยู่ที่หน้าเมือง แต่คนที่อยู่ด้านในประตูเมืองไม่ยอมเปิดประตูเพื่อรับการรบแล้ว พวกเขาจะทำอันใดได้

บนรุ่นเทียนหยา กองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากับอยู่สี่ห้าวัน จนในที่สุดกองทัพหนึ่งหมื่นกว่านายของหลี่ว์จิ้นเสียนก็เสียหายจนหมดสิ้น หลี่ว์จิ้นเสียนถูกจางฉี่หลันจับตัวเอาไว้ได้ด้วยตนเอง ทั้งสองคนนี้ ทำงานร่วมกันมาเป็นสิบปี ก็มักจะต่อสู้กันไปมาอยู่เช่นนี้ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ครานี้ถึงแม้หลี่ว์จิ้นเสียนจะพ่ายแพ้ให้กับจางฉี่หลัยน แต่ก็ไม่ถึงกับอับอายขายขี้หน้า

เมื่อเห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนล้มตายกันจนหมดสิ้นแล้ว หลี่ว์จิ้นเสียนที่ต่อสู้จนหยดสุดท้ายก็ถอดชุดทหารออกทันที ก่อนหันไปเอ่ยกับจางฉี่หลันที่กำลังได้ใจผิดธรรมดาว่า “ข้าแพ้แล้ว”

จางฉี่หลันจับเขาลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของทหาร อย่าเก็บมาใส่ใจเลย”

หลี่ว์จิ้นเสียนส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “ด้วยกลยุทธ์ของเจ้า ไม่มีทางที่จะทะลายแนวต้านของข้าได้รวดเร็วเพียงนี้ พระชายาอยู่ที่ใด”

พลทหารที่นั่งสังเกตการณ์อยู่รอบๆ ถึงกับอึ้งไป ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้จะยังมีพระชายาของท่านอ๋องรุ่นก่อนที่ไม่ยอมไปจากเมืองหลวง ม่อซิวเหยาจึงมีคำสั่งให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ลอบให้ความคุ้มครอบอย่างลับๆ และยังอยู่ที่ฉู่จิง แต่ในใจของทหารกองทัพตระกูลม่อในยามนี้ กลับมีพระชายาอยู่เพียงผู้เดียว เพียงแต่…เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้ว่า พระชายาก็อยู่ในกองทัพของพวกเขาด้วย

สายตาทุกคู่หันมองไปทางจางฉี่หลันพร้อมกันโดยมิได้นัดหลาย ผู้ใดใช้ให้เขาเป็นแม่ทัพใหญ่กันเล่า หากแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าพระชายาอยู่ที่ใด เช่นนั้นคนอื่นก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

จางฉี่หลันหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองที หันมองไปทางเยี่ยหลีที่ยืนเคียงอยู่กับเฟิ่งจือเหยา

หลี่ว์จิ้นเสียนอึ้งไปเล็กน้อย ด้วยเพราะมองไม่ออกว่าคือเยี่ยหลี แต่ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี เขากลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี การที่สามารถให้ฉินเฟิ่งกับเว่ยลิ่นติดตามอยู่ข้างกายพร้อมๆ กันได้ ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นก็สามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยอันใด ยิ่งเมื่อได้พินิจมองเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างเฟิ่งจือเหยาโดยละเอียดแล้ว ก็นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่านางคือพระชายานี่เอง

“ข้าน้อยคารวะพระชายา” หลี่ว์จิ้นเสียนก้าวขึ้นมาทำความเคารพ

เยี่ยหลียิ้มขื่นๆ ด้วยความจนใจ มองทุกคนที่กลายเป็นก้อนหินกองหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ว์ไม่ต้องมากมารยาทหรอก”

หลี่ว์จิ้นเสียนประสานมือยิ้ม เอ่ยว่า “พ่ายแพ้ให้กับพระชายา ข้าน้อยยอมแพ้ทั้งกายและใจพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้ว เยี่ยหลีลงแรงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

หลี่วจิ้นเสียนมิได้สนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนพ่ายแพ้ให้กับจางฉี่หลันอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่มีทางยอมรับต่อหน้า “หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยขอนำคนเหล่านี้ลากลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ ขอให้การศึกของพระชายาหลังจากนี้เป็นไปอย่างราบรื่น”

เยี่ยหลีรับคำอวยพร “ขอบคุณท่านแม่ทัพมากที่อวยพร”

เมื่อเห็นหลี่ว์จิ้นเสียนนำบรรดาทหารที่ถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้วกลับไปอย่างยิ่งใหญ่ คนอื่นๆ ที่เหลือก็ต่างพากันนิ่งเงียบ การอวยพรให้แม่ทัพใหญ่ของอีกฝ่ายทำการศึกได้อย่างราบรื่นอันใดนั่น จะไม่มีปัญหาอันใดจริงๆ หรือ

เมื่อเดินทางผ่านรุ่นเทียนหยาไปแล้ว ถึงแม้เส้นทางจะเรียกไม่ได้ว่าราบเรียบ แต่ก็ถือว่าราบรื่นเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่กล้ารั้งรอแม้แต่น้อย คณะที่เหลือก็รีบเร่งออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือหยวนเผยทันที

แต่ยามนี้บนกำแพงเมืองเล็กๆ ที่โดดเดี่ยวแห่งนั้น ม่อซิวเหยาอยู่ในชุดสีขาวที่ไม่แม้แต่จะใส่ชุดทำศึก ยามนี้กำลังยืนสบายๆ อยู่บนกำแพงเมือง แย้มยิ้มมองแม่ทัพหยวนที่อายุอานามเริ่มมากแล้ว “ท่านแม่ทัพเฒ่า ครานี้ข้าชนะแล้ว”

แม่ทัพหยวนที่ผมและหนวดกลายเป็นสีดอกเลาไปหมด มองบุรุษที่ผมขาวราวหิมะแล้ว แต่ยังคงถือดีประหนึ่งสายลม นัยน์ตาก็เป็นประกายอุ่นใจและยินดี เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านอ๋องชนะแล้วจริงๆ ข้ายอมแพ้พ่ะย่ะค่ะ”

หากว่าเรื่องกำลังทหาร ม่อซิวเหยาเพียงด้อยกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่งเท่านั้น เดิมทีเรื่องการตีเมืองนั้นยากกว่าการรักษาเมืองมากนัก ครานั้นทัพใหญ่กว่าแสนนายของซีหลิงมิอาจตีเมืองเล็กๆ อย่างเจียงซย่าให้แตกได้ แต่ยามนี้ติ้งอ๋องกลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ตีเมืองนี้จนสำเร็จ ซึ่งนี่เป็นความสามารถของเขา

หยวนเผยมิใช่ตาแก่ที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ การที่ตำหนักติ้งอ๋องมีผู้สืบทอด เขาก็มีแต่จะรู้สึกอบอุ่นใจ

“หากอยู่ในสนามรบจริงๆ ข้าคงมิอาจตีเมืองนี้มาได้ง่ายดายเพียงนี้” เมืองกู *แห่งนี้ เป็นเมืองที่โดดเดี่ยวสมชื่อ ด้วยเพราะเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งแทบจะยังไม่มีประชาชนย้ายเข้ามาอยู่เลยเสียด้วยซ้ำ แต่ในสนามรบที่แท้จริง ไม่มีทางมีเมืองที่แทบไม่มีอันใดเลยเช่นนี้ปรากฏอยู่จริง

หยวนเผยเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องมาก เพียงแต่หากอยู่ในสนามรบ ท่านอ๋องเองก็คงไม่ทำทหารมาเพียงไม่กี่หมื่นคนมาตีเมืองเช่นกันกระมัง”

ทั้งสองต่างสบตาและยิ้มให้กัน เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว

“เรียนท่านอ๋อง มีทหารกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารที่ตรวจการณ์ระยะไกลอยู่บนกำแพงเมืองเข้ามารายงาน

“อ้อ?” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นมอง ก็เห็นว่ามีเสียงฝีเท้าม้าและฝุ่นที่ตลบขึ้นจากที่ไกลๆ จริงๆ แค่เพียงครึ่งชั่วยาม เยี่ยหลี เฟิ่งจือเหยาและจางฉี่หลันก็นำทัพใหญ่มาถึงเมืองเสียแล้ว

ม่อซิวเหยาทอดสายตามองไป ก็เห็นว่ามีทหารอยู่อย่างน้อยแปดเก้าหมื่นนาย ก็อดเอ่ยชื่นชมขึ้นไม่ได้ว่า “สามารถจัดการทหารของหลี่ว์จิ้นเสียนไปได้จนหมดสิ้น แต่เสียทหารไปไม่ถึงสองหมื่นนาย ถือว่าไม่เลวเลยจริงๆ”

ม่อซิวเหยามองดูทุกคนอยู่จากทางด้านบนแล้วยิ้มน้อยๆ “แม่ทัพจาง เฟิ่งซาน อาหลี พวกเจ้ามาช้าไปเสียแล้ว”

เฟิ่งจือเหยากัดฟันกรอดด้วยความเสียดาย เมื่อได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า หากพวกเขามาถึงเร็วกว่านี้สักหนึ่งหรือสองชั่วยาม สถานการณ์ก็คงต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง น่าเสียดายที่ในสนามรบ แค่ระยะเวลาต่างกันเพียงครึ่งเค่อ ก็สามารถเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้แล้ว “พระชายา?”

เยี่ยหลีเหลือบสายตาขึ้นมองบุรุษชุดขาวที่อยู่บนกำแพงเมือง ก่อนจะค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากบางๆ มือขวายกขึ้นเล็กน้อย เสียงกังวานใสเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่กลับดังกระจายไปทั่วทั้งสนามรบว่า “ตีเมือง!”

ด้านบนทำแพงเมือง ม่อซิวเหยาได้แต่มองทัพใหญ่ด้านล่างที่เตรียมจะบุกโจมตีเมืองด้วยความจนใจ หยวนเผยที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่อยู่ เขาอมยิ้มมองม่อซิวเหยาพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ดูท่าศึกครานี้พวกเราจะยังสู้กันไม่จบนะพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยายิ้มขื่น “แม่ทัพเฒ่าพูดถูก ข้าดีใจเร็วเกินไปเอง”

หากว่าตามกฎของการซ้อมรบเสมือนจริงแล้ว ย่อมถือเอายามที่ตีเมืองแตกเป็นจุดสิ้นสุด พวกเขาชนะแล้ว แต่ในเมื่อนี่คือการซ้อมรบเสมือนจริง ย่อมต้องฝึกทหารใหม่เหล่านี้ให้ได้จนถึงที่สุด เพราะถึงอย่างไร ในสนามรบจริงๆ ก็ไม่มีกฎที่ว่า หากถูกตีเมืองจนแตกแล้ว จะไม่สามารถแย่งกลับมาได้ ดังนั้นการตีเมืองที่ดุเดือดจึงเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง