ตอนที่ 226 วีรบุรุษช่วยโฉมงาม (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไป๋หลี่ชูฟังแล้วเหมือนมีลมที่เท้า ลากชิวเยี่ยไป๋เดินต่อไปอย่างรีบเร่ง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ร้อนใจ ปล่อยให้เขาลากไป

 

 

จนกระทั่งถูกไป๋หลี่ชูลากไปไกลถึงตรอกแห่งหนึ่งที่ไม่มีคน เขาจึงปล่อยมือ

 

 

เขากำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นชิวเยี่ยไป๋ฟุบกับกำแพงตัวสั่นสะท้าน เขาพลันกำกำปั้น ถลึงตาใส่คนที่ฟุบกับกำแพง “เจ้าหัวร่อพอหรือยัง!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเสียงนุ่มนวลแต่เย็นชามาก ก็รู้ว่าเขาเดือดจริงๆ แล้ว จึงฝืนใจหยุดหัวร่อ หันมากล่าวว่า “อาชู เจ้าโมโหทำไม ปลอมเป็นสตรีมานาน หรือยังไม่เคยได้ยินคำชมเช่นนี้”

 

 

แม้ชิวเยี่ยไป๋จะเรียกเขาว่า ‘อาชู’ เพื่อความสะดวกปาก แต่พริบตานั้นเพลิงโทสะในดวงตาดำสนิทก็จางลงโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

 

 

“เจ้าว่าเป็นคำชมมิใช่เอาคืนหรือ หืม” ไป๋หลี่ชูมองดูนางที่หัวร่อจนน้ำตาไหล หรี่ตาลงอย่างน่าหวาดเสียว

 

 

รักษาครรภ์ไม่อยู่ ท้องสามเดือนบ้าบอ!

 

 

และถึงกับมีคนกล้าลูบคลำเขา

 

 

ไป๋หลี่ชูนึกถึงตรงนี้ แววดุร้ายก็ปรากฏอย่างอดมิได้ กระชากผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา เช็ดแรงๆ ตรงที่ถูกแม่เฒ่าลูบคลำ

 

 

ตรงนี้แม้จะเปลี่ยวแต่ยังคงเป็นถนนใหญ่ ชิวเยี่ยไป๋ย่อมไม่กลัวว่าเขาจะทำอะไร เห็นเขาท่าทางเหมือนคนบ้า ก็ยิ้มประชดว่า “ท่านกับข้ามิใช่คู่รักหรอกหรือ คนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นสามีภรรยากันแปลกตรงไหน”

 

 

ไป๋หลี่ชูแค่นเสียง เชิดหน้าพลางกล่าวอย่างไม่หายแค้นว่า “ไอ้พวกงี่เง่าเฮงซวย สายตาบ้าบออะไรข้าสวมชุดบุรุษชัดๆ”

 

 

อีกอย่างเขาสูงกว่าชิวเยี่ยไป๋ถึงหนึ่งศีรษะ ต่อให้คนเข้าใจผิดก็น่าจะนางเป็นภรรยาเขาเป็นสามีจึงจะถูก!

 

 

แต่ยิ่งคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งโมโหจนพูดไม่ออก

 

 

ความจริงไป๋หลี่ชูละเลยไปเรื่องหนึ่ง เขาท่าทางเดินเหินงามสง่าแบบชนชั้นสูง ท่าทางเช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่สุดในหมู่ชนชั้นสูงของราชธานีและได้รับคำชมมากมาย อีกอย่างเสื้อผ้าของเขาล้วนเป็นแบบหลวมกว้าง แขนเสื้อใหญ่และส่วนมากเป็นชุดที่เหมาะทั้งบุรุษและสตรี ต่อให้เป็นชุดดำทั้งตัวยังคงหรูหราเด่นสง่า แถมยังสวมงอบมีแพรคลุมหน้า ย่อมถูกเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นสตรี

 

 

สตรีทางภาคเหนือบางคนตัวสูงกว่าบุรุษ ดังนั้นแต่งกับสามีที่ตัวเตี้ยกว่าก็ไม่แปลก

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋อยู่กับชาวบ้านมานานปีและออกจากราชธานีแล้ว ยามเดินเหินตามถนนหนทางจึงดูกลมกลืนเหมือนชาวบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ เทียบกับไป๋หลี่ชูแล้วนางมีกลิ่นอายบุรุษมากวก่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้อยู่แก่ใจแต่ไม่บอก ถึงอย่างไรก็ยากนักที่จะได้สะใจกับการเสียทีของไป๋หลี่ชู

 

 

เห็นไป๋หลี่ชูขยำผ้าเช็ดหน้าเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งข้างทาง นางยิ้มพลางยื่นช่อซิ่งฮวาให้ “ติดไว้เถอะ เจ้ามุดไปมุดมาในฝูงคน คิดว่ากลิ่นพวกนั้นคงไม่ดี”

 

 

นางพบแต่แรกแล้วว่าจมูกไป๋หลี่ชูไวต่อกลิ่น และเดาว่าคงเพราะอยู่ดีมีสุขจนชิน จึงบ่มเพาะฆานประสาทที่เฉียบไวเช่นนี้ หนานอั้นมีคนแบกหามใช้แรงงานมากมาย หน้าร้อนกลิ่นตัวเหม็นหึ่ง กลิ่นเหงื่อไคลพวกนี้นางชินแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับไป๋หลี่ชูคงยากจะทนทาน

 

 

ไป๋หลี่ชูงงงันแต่มิได้ปฏิเสธ รับไว้ มองดูแล้วเก็บเข้าแขนเสื้อ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อ “ข้าคิดว่าเจ้าจะปฏิเสธเสียอีก”

 

 

ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว เขามิรู้สึกว่าการประดับดอกไม้เป็นความอัปยศอย่างหนึ่งหรือ

 

 

ไป๋หลี่ชูกล่าวเนือยๆ “แม้กลิ่นเหงื่อจะเหม็น แต่ปากเจ้าเคยชินกับกลิ่นซากศพเน่าเปื่อยแล้ว ก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหม็นอีก”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชะงัก เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “จิ๊ พูดอย่างกับท่านเคยกินศพอย่างไรอย่างนั้น”

 

 

‘องค์หญิง’ ผู้ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่วัยเยาว์ผู้นี้ เพียงสัมผัสผู้อื่นก็รู้สึกยากเกินจะทนได้ หากเหล่าราชนิกุลจะได้กลิ่นศพขึ้นมา นั่นก็คงเป็นศพที่ตกตายภายใต้น้ำมือของพวกเขาเอง แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังต้องมีการทำความสะอาดของเน่าเสียกันก่อน

 

 

แม้จะรู้ว่าคนผู้นี้มีฆานประสาทดั่งสุนัขตัวหนึ่ง เฉียบคมอย่างยิ่ง กลับไม่เห็นว่าแสร้งทำกิริยาหรือวาจาอะไรเกินควร

 

 

ไป๋หลี่ชูกล่าวเสียงนิ่งเฉย “คน เมื่อหิวขึ้นมา ก็ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน ซากศพชนิดเดียวกันกับตนเองแล้วอย่างไร ก็แค่เพียงของที่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น ที่แตกต่างกันก็เพียงแค่สดใหม่กับไม่สดใหม่เท่านั้น”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าเขายิ่งพูดจริงเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นเรื่องจริงเหมือนชนสูงศักดิ์ท่านหนึ่งในตำรา ที่กินอาหารเลิศรสจนเบื่อ ก็เลยคิดอยากกินเนื้อคน จึงขุนคนขึ้นมา ไหนเลยจะกินซากศพของเน่าเสียอะไร

 

 

นางเลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม “อ้อ ไม่สดใหม่อย่างไร สดใหม่อย่างไร ยังต้องแยกลำดับขั้นด้วยใช่หรือไม่”

 

 

ไป๋หลี่ชูมองนางแวบหนึ่ง พลันโค้งริมฝีปากยิ้มประหลาด “เช่นเดียวกับเสี่ยวไป๋ถูกปล่อยเลือดจนแห้ง ตอนตายใหม่ๆ หนึ่งถึงสองชั่วยามรอยจ้ำศพยังไม่ปรากฏ ตายแต่ตัวยังไม่แข็งเป็นของดีที่สุด ถ้ารอจนศพแข็งและเกิดรอยจ้ำศพ ก็เป็นของรองลงมา…”

 

 

เขาหยุดลงเหมือนรำลึกอะไรอยู่ “รองลงมากว่านั้นอีก คือหลังศพเน่าแล้วไม่กี่วัน ยังพอกินได้ แต่เครื่องในกินไม่ได้แล้ว ชนิดสุดท้ายคือเน่าเปื่อยไปหลายวัน กินแล้วเป็นพิษ ถ้าจะจำแนกตามคุณภาพของเนื้อย่อมเป็นเนื้อทารกดีที่สุด ออกดิบเล็กน้อย เด็กหญิงเด็กชายรองลงมา สตรีที่โตแล้วเนื้อจะนุ่มกว่าบุรุษ…”

 

 

“พอแล้ว!” ชิวเยี่ยไป๋หน้าเขียวโบกมือให้เขา “พอเถอะ เจ้าล้างแค้นสำเร็จแล้ว มื้อเที่ยงข้าไม่กินแล้วล่ะ”

 

 

ไม่เพียงไม่อยากกิน นางยังคิดจะอาเจียนเอามื้อเช้าออกมาด้วย

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางของนางก็ส่ายศีรษะ “อะไรกัน…เจ้ามีประสบการณ์ไม่น้อยในยุทธจักร แต่กลับทนคำพูดธรรมดาไม่กี่คำไม่ไหว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว น้ำเสียงสูงขึ้น “อาจารย์สำนักไหนกันให้ลูกศิษย์กินคน”

 

 

แล้วนี่เป็นคำพูดธรรมดาเสียที่ไหน นางจะรู้สึกคลื่นเหียนย่อมเป็นเรื่องปกติ

 

 

ไป๋หลี่ชูฟังแล้วเหมือนนึกอะไรได้ “ที่แท้ทุกสำนักมิใช่เป็นเช่นนี้หรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาครู่หนึ่ง พลันนึกถึงพลังฝีมือประหลาดของเขาจึงเลียบเคียงว่า “หรือว่าสำนักเจ้าเป็นเช่นนี้”

 

 

นี่มันสำนักอะไรกันถึงชั่วร้ายเช่นนี้

 

 

ไป๋หลี่ชูแลดูนางครู่หนึ่ง ตาดำขนาดใหญ่ไม่ส่ออารมณ์ให้เห็น แต่เมื่อเห็นนางไม่สบายใจเขาก็หัวร่อกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ารู้ไหมว่าท่าทางเจ้าตอนหลงกลดูแล้วโง่จนน่าสนใจ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูรอยยิ้มเยาะหยันของเขาพริบตานั้นไม่รู้จะพูดอะไร…”

 

 

ล้อตนเล่นสนุกนักหรือ

 

 

แต่สำหรับไอ้หมอนี่แล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนี้

 

 

“ใช่ ข้าโง่ที่สุด” ชิวเยี่ยไป๋กระเง้ากระงอด ขบขนมน้ำตาลรูปน้ำเต้าอย่างแรง