หลังจากวันแห่งการเร่งรีบ ทุกคนต่างเหนื่อยล้าหลังจากผ่านการเดินทางมาตลอดทั้งวัน พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่และหยุดพักในตอนค่ำ

 

เด็กชายเหนื่อยล้าอย่างสุดขีดจนแทบจะเป็นลม แต่เขาก็ยังพยายามฝืนตัวเองอย่างเต็มที่ซึ่งทำให้ชูฮันประหลาดใจเล็กน้อย

 

“นายชื่ออะไร?” ชูฮันถามขึ้นมาขณะมองเด็กชายที่กำลังกินบางอย่างอยู่

 

“ซงเสี่ยว” เสียงของเด็กชายอ่อนโยนขณะมองตาของชูฮันและพูดต่อ “ทำไมเมื่อวานนี้พี่ถึงช่วยผม? พี่ก็เห็นทุกอย่างหนิ ว่าฉันอยากจะฆ่าพวกมัน?”

 

ชูฮันพยายามจะตอบคำถาม ทว่าจู่ๆมันก็มีน้ำเสียงน่ารังเกียจดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

 

“เหอะ! ขยะสองตัวนั่งอยู่ด้วยกัน? แน่นอนว่าขยะก็เป็นได้แค่เพื่อนกับขยะด้วยกันเท่านั้นแหละ ถ้าแกอยากจะเป็นหมา แกควรจะเรียนรู้วิธีเห่าก่อนนะ” ตวนฮงมีสีหน้าชั่วร้ายและคำพูดของเขาที่พูดออกมาก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า

 

หน้าของซงเสี่ยวเดือดดาลทันที ซงเสี่ยวแทบจะอยากจะเอามีดแทงตวนฮง!

 

“แกเห็นอะไรล่ะ? ของเหม็นเน่าสินะ!” ตวนฮงรู้การเคลื่อนไหวและความวุ่นวายของเรื่องคืนนั้นหมดแล้ว ตวนฮงจ้องไปที่ตาของชูฮันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการยั่วยุและเยาะเย้ยที่ไม่รู้จบ “หมามันจะสนใจอะไร? ฉันจะดูว่าแกจะทนได้นานแค่ไหน อย่ามาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนฉันละกัน!”

 

หลังจากพูดจบ ตวนฮงก็เดินจากไปด้วยท่าทางมีชัย ตวนฮงได้แต่วาดฝันอยู่หลายครั้งว่าสักวันชูฮันที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 3 จะต้องอิจฉาเขา มันน่าตื่นเต้นชะมัด!

 

ชูฮันไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ ยังคงนั่งกินอย่างช้าๆต่อไป

 

“พี่ไม่โกรธเหรอ?” ซงเสี่ยวมองไปที่ชูฮันด้วยความประหลาดใจ สายตาของซงเสี่ยวเต็มไปด้วยความโกรธ หน้าขึ้นสี เขายังเด็กเกินไปกว่าจะเข้าพฤติกรรมที่หลากหลายของชูฮันได้

 

ชูฮันตอบ “ก็แค่เสียงหมาบ้าเห่าเฉยๆ”

 

เสียงของชูฮันไม่ได้ดังลั่นหรืออะไร ทว่าตวนฮงที่ยังเดินห่างออกไปได้ไม่ไกลกลับได้ได้ยินทุกอย่าง ทันใดนั้นเลือดในกายของตวนฮงก็เดือดพล่านทันที รู้สึกหัวหมุน และหายใจหอบตามอารมณ์ที่ลุกฮือ ปัจจัยสำคัญคือคำพูดของชูฮัน…ว่าพฤติกรรมเขาเหมือนหมาบ้า

 

หลูชูซเวที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและลอบสังเกตอยู่ก็ได้เพิ่มความระระวังตัวที่มีต่อชูฮันไปถึงขีดสุด หลังจากหยุดพักครั้งที่สอง หลูชูซเวก็จากไปพร้อมกับถอนหายเล็กน้อย

 

ผู้ชายคนนี้ลึกลับสุดๆ!

 

ชูฮันรู้ว่าหลูชูซเวที่หลบอยู่ด้านหลังได้จากไปแล้วก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็จำผู้หญิงคนนี้ได้

 

มันเป็นค่ำคืนที่แสนจะเหนื่อยล้าสำหรับทุกคน ทุกคนแทบจะสลบเหมือดกันหมด ทั้งค่ายเงียบสนิท มีเพียงแค่คนที่ได้รับหน้าที่เฝ้าเวรยามเท่านั้นที่ยังคงเดินตรวจตราไปรอบๆค่าย

 

ชูฮันงีบไปเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานผันผวนในอากาศ

 

ซงเสี่ยวค่อยๆสัมผัสที่เต้นท์นอนของชูฮันอย่างเงียบๆ ทักษะในการลักลอบของซงเสี่ยวนั้นเป็นที่จับตัวได้ยาก แม้แต่เหล่าทหารก็ยังสัมผัสไม่ได้ ซงเสี่ยวเข้ามาในเต้นท์นอนของชูฮันและก็ได้เจอกับชูฮันที่นั่งอยู่บนกองผ้าห่มพร้อมกับจ้องมาที่ซงเสี่ยวด้วยสายตาที่มองออกทะลุปรุโปร่ง

 

“จะขโมยอะไร?” รอยยิ้มของชูฮันไม่ใช่การรังเกียจ หากมันแฝงไปด้วยการล้อเลียน

 

ทันใดนั้นซงเสี่ยวก็ได้สติหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อมั่นใจแล้วถึงความสามารถที่ชูฮันมี ซงเสี่ยวก็ส่ายหัว “ผมมาเพื่อรายงาน”

 

ชูฮันเบนสายตาออกไปมองด้านนอกเต้นท์และหันกลับมามองเด็กชายตัวน้อยตรงหน้าเขาอีกครั้ง อดไม่ได้ที่ตาจะเปล่งประกาย…สรุปว่าเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสินะ!

 

ซงเสี่ยวรายงานข้อมูลที่น่าสนใจให้ชูฮันฟัง

 

“จากการสังเกตการณ์ของผม คู่สามีภรรยานั่นจะลงมืออีกครั้งในคืนนี้” เสียงเด็กๆของซงเสี่ยวเต็มไปด้วยความจริงจังกับสิ่งที่เขาพูด “และในขณะเดียวกันไก๋หนานและทหารทั้งหลายก็ได้เตรียมตัวพร้อมรับมือไว้แล้ว แต่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร  ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือใคร”

 

“เอ่อ” ชูฮันชะงักเพื่อครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “ครั้งต่อไปที่นายจะรายงาน นายควรตรวจสอบปัจจัยทางอารมณ์และเวลาและสถานที่ให้แม่นยำกว่านี้ อย่าลืมที่จะมีเหตุผลและยุติธรรม”

 

“อ่าา…” ซงเสี่ยวคิดว่าชูฮันกำลังคิดเรื่องวิธีที่จะเปิดเผยหน้ากากที่แท้จริงของคู่สามีภรรยานั่นอยู่ แต่ไม่นึกเลยว่าชูฮันจะกำลังพูดเรื่องนี้กับตัวเขาอยู่ ซึ่งมันทำให้ซงเสี่ยวถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน เมื่อไหร่กันที่ชูฮันให้ความสนใจกับการปลูกฝังผู้ใต้บังคับบัญชา? และถึงแม้ชูฮันอาจจะสนใจในตัวซงเสี่ยว แต่ทำไมถึงมารีบพูดอะไรในเวลาแบบนี้? นายควรจะสนใจและสงสัยความจริงของการหายตัวไปของในกลุ่มมากกว่ามั้ย?!

 

แน่นอนว่าชูฮันไม่ได้อยากจะรู้ว่าคู่สามีภรรยานั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกับกลุ่มผู้รอดชีวิตที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ด้วยเพราะความจริงมันชัดเจนอยู่แล้ว และเขาก็ได้คาดการณ์ไว้หมดแล้ว

 

“ไป ไปด้วยกัน” ชูฮันลุกขึ้น

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆบรรยากาศภายนอกเต้นท์ก็กลายพลิกผันอย่างกระทันหัน มันเริ่มมีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็แหกปากร้องว่า ‘มีวิวัฒนาการหายไป’

 

“วิวัฒนาการ?” ซงเสี่ยวตกใจมาก “พวกมันสามารถจัดการกับวิวัฒนาการได้ยังไงกัน?”

 

ชูฮันไม่ได้ตอบคำถามของซงเสี่ยว เขาเพียงแค่พูดอีกอย่างขึ้นมาแทน “ฉันจะออกไปก่อน ส่วนนายก็ซ่อนตัวไว้และคอยดูที่เต้นท์พักนอนของค่าย”

 

“อ่า…” ซงเสี่ยวไม่เข้าใจที่ชูฮันสั่ง ทว่าเขาก็เลือกที่จะพยักหน้าและรับปาก “ครับ”

 

มันเป็นอีกคืนที่ไร้ความเงียบสงบ เหล่าวิวัฒนาการและทหารต่างรวมตัวกันอยู่นอกเต้นท์นอนของหลูชูซเว บนหน้าของหลายคนมีความกลัวฉายชัดอยู่ คนที่หายตัวไปก่อหน้านี้มักจะมีแต่พวกผู้รอดชีวิต แต่ตอนนี้จู่ๆวิวัฒนาการก็หายไปตัวด้วยเหมือนกัน คนต่อไปที่จะหายไปจะเป็นพวกเขาหรือเปล่า?

 

“หายไปแล้วจริงๆ มันมีร่องรอยการต่อสู้ด้วย!”

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? นรกเอ๊ย!”

 

“คู่รักนั่นหายไปแล้ว ส่วนพวกทหารที่เฝ้าตัวพวกนั้นไว้ก็หายไปด้วยเหมือนกัน รวมถึงหลูชูซเวและตวนฮง ทั้งหมดรวมเป็นวิวัฒนาการ 3 คนและผู้รอดชีวิต 2 คน!”

 

ประโยคที่เต็มไปด้วยความกลัวขณะกล่าวถึง…การหายตัวโดยไร้คำเตือนใดๆภายใต้การเฝ้าระวังของเวรยาม!

 

ชูฮันยืนอยู่เงียบๆที่ท้ายสุดของกลุ่มฝูงชนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ หากสายตาของชูฮันกลับจ้องเขม้งไปในความมืด

 

ในที่สุดการถกเถียงก็ชะงักเมื่อไก๋หนานผละออกมาเพื่อป่าวประกาศสถานการณ์โดยรวมให้ทุกคนได้รับฟัง “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหายตัวไปพร้อมกันหมดอย่างไร้ร่องรอย ทุกคนช่วยกันหาเบาะแสเท่าที่หาได้และช่วยกันตรวจสอบเต้นท์นอนทุกเต้นท์!”

 

ทุกคนถูกจับกลุ่มแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 3-5 คนทันที และเริ่มทำการไล่ตรวจสอบแต่ละเต้นท์

 

ชูฮันเห็นร่างผอมๆยืนโบกมือให้เขาอยู่ไกลออกไป แม้เขาจะเห็นใบหน้าของซงเสี่ยวไม่ชัดเจนท่ามกลางความมืด ทว่าชูฮันกลับมองเห็นสายตาโปร่งแสงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นชัดเจน

 

“ผมเจอบางอย่าง!”