ตอนที่ 766

Elixir Supplier

766 กําแพงที่พังทลาย

 

“พี่จะกลับเมื่อไหร่?” หวังเย้าถาม

 

“นายหมายความว่ายังไง?” ซูจือฉิงอึ้ง “จะบอกว่าฉันน่ารําคาญอย่างงั้นเหรอ?”

 

“ผมแค่คิดว่า ที่กองทัพคงจะมีงานหลายอย่างให้ทําต่างหาก” หวังเย้าพูด “เมื่อกี้พี่ก็เพิ่งพูดเองนี่ ว่างานหนักมาก แล้วพี่ยังเป็นหัวหน้าด้วย พี่ก็ควรจะกลับไปเร็วหน่อย”

 

“จุ๊ๆๆ นายมองฉันเป็นก้างขวางคอสินะ ใช่ไหม?” ซูจือฉิงถาม “ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ฉันก็กลับเข้ากองทัพแล้ว”

 

“ฐานทัพของพี่อยู่ที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“เอ่อ ฉันบอกไม่ได้เพราะเป็นความลับน่ะ แต่ถ้านายมาเป็นครูฝึกให้เราก็อีกเรื่องหนึ่ง” ซูจือฉิงพูด เขาต้องการให้หวังเย้าเข้าไปสอนกังฟูให้กับพวกเขาในกองทัพอยู่เสมอ

 

“ผมเคยบอกไปแล้วนี่ ผมไม่ไปหรอก ดังนั้น ยอมแพ้ซะเถอะ” หวังเย้าพูดแล้วหัวเราะออกมา

 

หลังมื้ออาหาร พวกเขาก็ยังคงพูดคุยกันต่อ แล้วซูจือฉิงก็กลับไป ส่วนหวังเย้าก็รอซูเสี่ยวซวีเลิกเรียน เธอมีคลาสวิชาหลักสองคลาสตอนเช้า คือคลาสรวมกับคลาสวิชาเฉพาะทาง ส่วนตอนกลางวันมีเรียนอีกสองคลาส

 

“คุณไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันที่นี่ก็ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ทําไมไม่ไปเดินเล่นในตัวเมืองดูล่ะคะ?”

 

เธอเรียนอย่างหนัก เพื่อที่เธอจะได้จบชีวิตการเป็นนักศึกษาให้เร็วที่สุดเพื่อที่เธอจะได้อยู่กับหวังเย้าหลังจากนั้น

 

“ก็ได้ ผมจะไปเดินเล่นสักหน่อย” หวังเย้าพูด

 

ในตอนกลางวัน ซูเสี่ยวซวีก็เข้าเรียน ส่วนหวังเย้าก็ไปเยี่ยมเฉินหยิง สองพี่น้องต่างประหลาดใจกับการมาถึงของเขา อาการป่วยของเฉินโจวได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขากําลังเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอย่างคนปกติ

 

“เอาล่ะ ผมไม่รบกวนพวกคุณแล้ว” หวังเย้าพูดหลังจากที่อยู่คุยกับพวกเขาได้สักพักแล้ว “ผมว่าจะออกเที่ยวข้างนอกสักหน่อย”

 

“ฉันจะไปกับคุณเองค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ไม่เป็นไรครับ คุณทํางานที่ค้างไว้เถอะ” หวังเย้าพูด “ผมไปเองได้”

 

เมื่อเดินเล่นในตัวเมืองปักกิ่งที่เจริญรุ่งเรือง ตึกสูงทันสมัยมากมายกลับไม่ได้สร้าง ความสนใจให้กับหวังเย้ามากนัก ตึกมากมายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากคอนกรีต สําหรับหวังเย้าแล้ว เขาให้ความสนใจในสิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมของช่างในสมัยโบราณมากกว่า และในปักกิ่งก็มีสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นอยู่มากมายเช่นเดียวกับตึกสูง

 

เขานึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้ แล้วเขาก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที พระราชวังฤดูร้อนเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอุทยานหลวงมาก่อน และเป็นยังงดงามที่สุดในหมู่อุทยานหลวงทั้งหมด เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว หวังเย้าก็มองเห็นกําแพงผุพังมากมายที่บอกเล่าเรื่องราวในกาลก่อน มันเคยอยู่ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์มาอย่างยาวนาน แต่กลับถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นเดียวกับอาณาจักร

 

บนสนามหญ้าที่ห่างออกไปไม่ไกล มีเสียงของหนุ่มสาวดังขึ้น

 

“เบาๆหน่อยสิ” หญิงสาวพูด

 

“ไม่ต้องห่วง ที่นี่ไม่มีใครหรอก” ชายหนุ่มพูด

 

“อย่าเสียงดังสิ” หญิงสาวพูด

 

เมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา หวังเย้าก็หัวเราะและส่ายหน้า เขาหันหลังเพื่อเดินไปทางอื่น สิ่งก่อสร้างโบราณมักเกิดความเสียหายและไม่สมบูรณ์ คนส่วนใหญ่จึงไม่ชื่นชอบ พวกเขาเพียงรู้สึกอ่อนไหวและโศกเศร้าบ้างเท่านั้น

 

เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง หวังเย้าก็หยุดชะงัก หึมมม พลังงานแถวนี้

 

จุดที่เขายืนอยู่ครั้งหนึ่งเคยมีสระน้ําอยู่ มีกําแพงที่ได้รับความเสียหายตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล หวังเย้ารู้สึกได้ถึงพลังงานที่ต่างไปจากจุดอื่น มันเข้มข้นมากกว่า

 

เขาคิด ปัญหาอยู่ที่น้ํา เขามองดูสระขนาดเล็ก มันดูไม่ลึกมาก ใต้น้ํามีวัชพืชอยู่จํานวนมาก เขาจึงมองไม่เห็นอะไรที่ผิดแปลก

 

เขายังคงรู้สึกว่ามันน่าสนใจอยู่ดี หวังเย้าเดินไปรอบๆสระน้ําพร้อมทั้งคิดไปด้วยว่า ใต้น้ํานั้นต้องมีบางอย่างแน่นอน เขาปัดทิ้งความคิดที่จะลงไปในน้ําเพื่อค้นหาและเลือกเดินจากไปแทน

 

พระราชวังฤดูร้อนเปิดให้เข้าชมเพียงบางส่วนเท่านั้น สําหรับหวังเย้ามันกว้างพอที่จะให้เขาได้สํารวจอย่างเต็มที่ เขาเดินจนรอบพร้อมกับเวลาที่ไหลผ่านไป มันเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

 

มีข้อความส่งมาจากซูเสี่ยวซวี เธอกําลังจะเรียนเสร็จแล้ว หวังเย้าจึงกลับไปที่มหาวิทยาลัยของเธอ แล้วบังเอิญเจอเข้ากับคู่รักในตอนที่เขากําลังจะกลับออกไป เขาคิด โอ้โห พวกเขาใช้เวลานานขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย!

 

หลังเจอซูเสี่ยวซวีแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่บ้านน้าของหวังเย้า ทุกครั้งที่เขามาปักกิ่ง เขาก็มักจะแวะมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่คนนี้เสมอ เธอให้ความเอ็นดูเขามาตลอดตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก

 

“คืนนี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหมจ๊ะ?” เธอถาม

 

“ไม่ครับ ขอบคุณครับน้า แต่เรานัดกันไว้แล้ว” หวังเย้าตอบด้วยรอยยิ้ม พวกเขาตั้งใจที่จะทานอาหารใต้แสงเทียนด้วยกัน

 

“งั้นพรุ่งนี้ล่ะจ๊ะ?” เธอถาม

 

“ไม่จําเป็นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ผมแค่มาเยี่ยมน้าเท่านั้น แล้วน้าเขยยังไม่กลับเหรอครับ?”

 

“เฮ้อ ช่วงนี้ที่บริษัทของเขางานยุ่งมากเลยล่ะ” น้าของเขาตอบ

 

“แล้วน้องสาวล่ะครับ? เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม

 

“ก็ดีจ๊ะ” น้าของเขาพูด

 

หลังจากอยู่ที่บ้านน้าของเขาพักหนึ่ง ทั้งสองก็ขอตัวกลับ ช่วยกันหาร้านอาหาร สั่งอาหาร และพูดคุยขณะที่ทานอาหารไปด้วย ไม่นาน ด้านนอกก็มืดสนิท หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็เดินควงแขนไปด้วยกัน จนกระทั่งเลยสามทุ่มไปแล้วหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีจึงพากันกลับ

 

“พักผ่อนเยอะๆนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ค่ะ เซียนเชิงก็เหมือนกัน” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

พอกลับเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้ว เธอก็พบว่าพี่ชายของเธอจากไปแล้ว

 

“พี่ล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ทางกองทัพมีภารกิจ เขาก็เลยกลับไปแล้วน่ะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“อ่อ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“วันนี้มีความสุขไหมจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“มีความสุขมากค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ

 

คืนนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในตอนเช้าของอีกวันอากาศค่อนข้างเย็น

 

ในหมู่บ้านกลางเขา ชายคนหนึ่งเดินทางมาถึงหน้าคลินิกตั้งแต่เช้าตรู่ จงหลิวชวนที่ตื่นแต่เช้าเพื่อออกกําลังเห็นชายคนนั้นเข้า เขาจึงวิ่งเข้าไปหา

 

“หมอไม่อยู่หรอก” เขาพูด “มาวันอื่นเถอะครับ”

 

เขาเคยเห็นผู้ชายคนนี้มารออยู่หน้าคลินิกเมื่อวันก่อน และพูดคําเดียวกันนี้กับเขา แต่ชายคนนี้ก็ไม่ฟัง

 

“เอ่อ แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” เขาถาม

 

“ผมไม่รู้” จงหลิวชวนพูด “ถ้าเร็วที่สุดคงสามถึงห้าวัน ถ้าเขาไปนานกว่านั้นก็คงเป็นอาทิตย์”

 

ชายคนนั้นถอนหายใจแล้วเดินกลับไปอย่างหมดหวัง เขาเป็นกังวลว่าอาการลูกสาวของเขาจะแย่ลง

 

จงหลิวชวนวิ่งขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน และเดินไปยังจุดที่ใกล้กับเนินเขาหนานชาน เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มต้นการฝึกฝน เขาเคยเดินผ่านจุดนี้มาก่อนในตอนที่เขาต้องการมองดูเนินเขาหนานชาน เขากลัวว่าจะมีคนขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานในตอนที่อาจารย์ของเขาไม่อยู่ เขารู้สึกได้ว่าอากาศในบริเวณนี้ดีมาก เขาแปลกใจมากที่ตัวเขาสามารถฝึกฝนได้ด้วยความพยายามเพียงครึ่ง ดังนั้น เขาจึงมาที่จุดนี้ทุกเช้าและเย็นเพื่อฝึกฝน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจมาก

 

หลังจากฝึกเสร็จ เขาก็ลงจากเขาและทําอาหารเช้า หลังจากทานเสร็จ เขาก็นําอาหารไปให้เจี๋ยจื้อจาย

 

“โอ้ ในที่สุดนายก็มาสักที” เจี๋ยจื้อจายพูด “ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว เช้านี้มีอะไรให้กินเหรอ?”

 

จงหลิวชวนไม่พูดกับเขา เขาเพียงวางกล่องอาหารและเปิดมันออก

 

“ไม่เอาน่า บะหมี่อีกแล้วเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม “นายทําอย่างอื่นไม่เป็นแล้วเหรอไง อย่างพวกเนื้อแกะ, เต้าหู้แล้วก็อย่างอื่นน่ะ? ถ้านายทําไม่เป็น นายซื้อมาก็ได้นี่”

 

เขาตักบะหมี่ใส่ปากคําใหญ่ “อาจารย์กลับมารียัง?”

 

“เขาไม่รับนายเป็นลูกศิษย์ของเขาหรอก” จงหลิวชวนพูด

 

“ความเชื่อเคลื่อนภูเขา ความจริงใจกะเทาะเหล็กกับหินได้ ฉันจะทําให้เขาได้เห็นถึงความจริงใจของฉันให้ได้” เจี๋ยจื้อจายตอบในตอนที่กินบะหมี่อยู่

 

“ฉันไม่คิดเลยนะว่านานจะหน้าไม่อายได้ขนาดนี้”

 

“เฮ้ย นายจะมากไปแล้วนะ” เจี๋ยจื้อจายพูดด้วยปากที่เต็มไปด้วยบะหมี่ “ที่ว่าหน้าไม่อาย หมายความว่ายังไง? ฉันเรียกว่าดึงดันต่างหาก บอกฉันหน่อยสิ ว่าทําไหมองค์กรถึงได้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะกําจัดนายขนาดนี้ล่ะ? บางทีฉันอาจจะช่วยนายได้นะ”

 

“ฉันไปเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็นเข้า” จงหลิวชวนพูด

 

“อะไรเหรอ? บอสกับรองอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยกันเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม

 

“ไม่ใช่” จงหลิวชวนพูด

 

“แล้วอะไรล่ะ?” เจี๋ยจื้อจายถาม

 

“บอสกับคนจากตงหยิง(ญี่ปุ่น)” จงหลิวชวนพูด

 

“อะไรนะ?” เจี๋ยจื้อจายขมวดคิ้ว “คนจากตงหยิง? นายแน่ใจนะ?”

 

“แน่ใจ คนคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา” จงหลิวชวนพูด

 

“จิโร่ มุซาชิ เหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม

 

“จิ๊ๆ นายเดาถูกได้ยังไง?” จงหลิวชวนถามอย่างแปลกใจ

 

“จริงเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม

 

“จริง ฉันยังมีรูปที่พวกเขาแอบพบกันอยู่ด้วย” จงหลิวชวนพูด

 

เจี๋ยจื้อจายเงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อตอนนี้นายรู้แล้ว เขาก็ควรจัดการนายทันที เป็นไปไม่ได้ที่นายจะรอดไปได้นาน”

 

“ตอนแรก เขาคงไม่รู้ว่าคนที่เห็นเป็นฉัน” จงหลิวชวนพูด “เขาเพิ่งรู้ไม่นานนี้เอง แล้วพวกนายก็ถูกส่งมายังไงล่ะ”

 

“งั้นก็แย่หน่อยนะ เดี๋ยวเขาคงจะส่งคนอื่นมาอีก” เจี๋ยจื้อจายพูด

 

“คนเก่งๆของเขาตายไปหลายคนแล้ว นายคิดว่าเขาจะส่งคนมาตายเรื่อยๆหรือยังไง?” จงหลิวชวนถาม