บทที่ 300 เข้มงวดกับตัวเอง (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 300 เข้มงวดกับตัวเอง (1)

หอเฮ่าชี่

เจียงลวี่จงนั่งอยู่ที่โต๊ะพลางยกชาที่เจ้าพนักงานนำมาให้เป่าไล่ไอร้อนแล้วจิบชิมรส ก่อนจะกล่าวอย่างถอดถอนใจ

“จำได้ว่าเคยดื่มชาที่เรือนของเว่ยกงเมื่อปีก่อน กลิ่นหอมอบอวล ทิ้งกลิ่นติดปากติดฟัน สามชั่วยามมิจางหาย”

เว่ยเยวียนที่ยืนหาหนังสืออยู่หน้าชั้นหนังสือและกำลังหันหลังให้เขาเอ่ยเบาๆ “นั่นมันชาถวายในวัง สามปีผลิตได้เพียงสามจิน ปกติฝ่าบาทโปรดการดื่มมันยิ่งนัก”

มิน่าเล่า… เจียงลวี่จงเข้าใจในทันที ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ “ชาชั้นยอดถึงเพียงนี้ผลิตจากที่ใด”

“ผลิตจากเมืองหลวง”

“เมืองหลวงมีชาชนิดนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าน้อยไม่เคยได้ยิน”

“สตรีนางหนึ่งเป็นคนปลูก นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ชานี่จึงผลิตจากเมืองหลวง” เว่ยเยวียนเสียงอ่อนโยนและทุ้มลึก

เจียงลวี่จงพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก แม้ชาจะดี แต่เขาเป็นทหารจึงไม่ได้ชื่นชอบเรื่องชามากนัก เขามาหอเฮ่าชี่ครั้งนี้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน

“วันนี้ได้ยินหนิงเยี่ยนพูดเรื่องหนึ่ง เขาสำราญอยู่ในสำนักสังคีตราวกับปลาได้น้ำ ได้ความนิยมชมชอบจากเหล่านางคณิกาย่อมมีเหตุผล” เจียงลวี่จงกล่าว

“สาวงามชื่นชอบบทกวี โดยเฉพาะนางคณิกา” เว่ยเยวียนยิ้ม

“ไม่ใช่” เจียงลวี่จงส่ายหน้า “นอกจากบทกวี ยังมีความลับอีกสองอย่างคือ บทสนทนาที่อ้อมค้อม และ ถึงขั้นนี้แล้ว จะยินยอมหรือไม่ ข้าน้อยหยั่งรู้อยู่นาน แต่ก็ไม่ได้อะไร…แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะข้าน้อยอยากกลายเป็นคนแบบนั้น ข้าน้อยเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น

“เว่ยกงมีความรู้ความสามารถ บนหยั่งรู้สวรรค์ ล่างหยั่งรู้พื้นพสุธา ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงมาขอคำชี้แนะ ด้วยสติปัญญาของเว่ยกงคงเข้าใจได้ไม่ยาก”

พูดจบเจียงลวี่จงก็เห็นเว่ยกงหันกายมาจ้องเขา

จ้องอยู่สิบกว่าวินาที เว่ยเยวียนก็ถอนสายตากลับไปแล้วเอ่ยถามอย่างสบายๆ “ลวี่จง เจ้าติดตามข้ามาสิบปีแล้วใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“สิบปีที่ผ่านมา เจ้ารับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวัง ในสายตาข้านั้นน่าพอใจยิ่ง” เว่ยเยวียนดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาพลางกล่าว

“เอาล่ะ ข้าจะอ่านหนังสือต่อ เจ้าออกไปได้แล้ว”

เจียงลวี่จงออกไปด้วยความงุนงงและกลับไปยังห้องของตน

นั่งก้นยังไม่ทันร้อน เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาค้อมกายให้ แล้วพูดว่า “ฆ้องทองคำเจียง เว่ยกงมีคำสั่ง”

นี่ไม่ใช่ว่าจะไล่ข้าออกไปหรอกนะ…เจียงลวี่จงถาม “เรื่องอันใด”

“เว่ยกงบอกว่าฆ้องทองคำเจียงรับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวัง ควรรักษาความดีนี้ต่อไป จากนี้หนึ่งเดือน งานคุ้มกันยามวิกาลจะถูกส่งให้ท่าน”

ชะงักอยู่ชั่วขณะ เจ้าพนักงานก็กล่าวต่อ “เว่ยกงยังบอกว่าหวังว่าฆ้องทองคำเจียงจะต้องเก็บของแล้วย้ายมาอยู่ที่ทำการปกครอง อย่าเพิ่งกลับบ้านชั่วคราวขอรับ”

“???”

นี่คือคำสั่งที่ควรให้แก่บริวารที่รับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวังอย่างนั้นหรือ นี่คือภาษามนุษย์งั้นรึ ปฏิบัติหน้าที่ยามวิกาลตลอดหนึ่งเดือน หมายความว่าจากนี้หนึ่งเดือน แม้แต่เยี่ยมหน้าไปที่สำนักสังคีตก็ยังทำไม่ได้ แม้แต่สตรีก็ยังพบไม่ได้ไม่ใช่หรือ!

เจียงลวี่จงตะลึงงัน

ครั้งนี้สวี่ชีอันรอถึงหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามเต็มๆ

โชคดีที่ตอนมาไม่ได้ดื่มน้ำเยอะเกินไป มิเช่นนั้นคงอับอายแย่…แดดไม่แรงพอ ดับความเศร้าของข้าไม่ได้เลย…เขารอคอยอย่างอดทนโดยไม่บ่นหรือเร่งเร้า

ทว่าสวี่ชีอันสังเกตเห็นว่าทุกหนึ่งเค่อจะมีนางกำนัลแอบยืนมองไปทางประตูจากในเรือน

สวี่ชีอันแกล้งทำเป็นไม่เห็น

ดวงอาทิตย์สว่างไสว ลมฤดูใบไม้ผลิโอบให้ไออุ่น หลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกไม้ด้านหลังสวนเส้าอินก็เริ่มตื่นตัวค่อยๆ เผยให้เห็นด้านที่สวยงามน่าหลงให้ของมัน

องค์หญิงรองหลินอันผู้มีดวงตาดอกท้อ กลิ่นอายเสน่ห์น่าหลงใหลนั่งอยู่ในสวนด้วยความตื่นเต้น กำลังสั่งให้นางกำนัลประจำตัวสองคนเดินหมาก

หลังจากเล่นหมากรุกชำนาญมากขึ้น นางก็เริ่มสอนคนอื่นให้เล่นหมากรุก

นางกำนัลสองคนไม่เคยมีประสบการณ์การเล่นเลย แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งองค์หญิงรองผู้ใจร้อน

“องค์หญิง ใต้เท้าสวี่ยังรออยู่ข้างนอกเพคะ” นางกำนัลเข้ามารายงานเมื่อครบกำหนดเวลา

หลินอันตอบ “อืม” อย่างไว้ท่าและไม่พูดอะไรอีก

นางกำนัลถอยออกไป

ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ นางก็ไปดูสถานการณ์อีกครั้ง เห็นสวี่ชีอันยังอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกหวั่นไหว

‘องค์หญิงของเราเกรี้ยวกราดอยู่เสมอ นี่ไม่ใช่ว่ากำลังผลักไสยอดบุรุษอย่างใต้เท้าสวี่ไปหาองค์หญิงฮว๋ายชิ่งหรอกหรือ’ …ความคิดวาบเข้ามาในหัว นางเห็นสวี่ชีอันที่จู่ๆ ก็ตัวสั่นแล้วล้มลงกับพื้น ก่อนจะหมดสติไป

“ตายแล้ว…”

นางกำนัลร้อนใจ รีบพุ่งออกมาดู เห็นเพียงสีหน้าซีดเซียวของสวี่ชีอันและคิ้วที่ขมวดเป็นปมด้วยความทรมาน

“ใต้เท้าสวี่ ใต้เท้าสวี่เจ้าคะ” นางกำนัลเขย่าตัวเขาด้วยความกังวล ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

สวี่ชีอันที่ ‘เป็นลม’ พลันลืมตาตื่น เขาจับหน้าอกไอสองสามที ก่อนจะโบกมือ “ไม่มีอะไร ข้าไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บหนักจากการประลอง เมื่อครู่ยืนนานเกินไป อาการบาดเจ็บจึงกำเริบ พักสักหน่อยก็หายแล้ว”

นางกำนัลยิ่งสงสารและยิ่งหวั่นไหวเข้าไปอีกจึงเอ่ยโน้มน้าว “ใต้เท้าสวี่ ท่านกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ องค์หญิงรองกำลังโกรธ ไม่ออกมาพบท่านหรอกเจ้าค่ะ”

“พระองค์กำลังอารมณ์ไม่ดีหรือ”

สวี่ชีอันตกใจ “พระองค์ทรงเป็นอะไร ผู้ใดตาไร้แววกล้าทำให้พระองค์ทรงกริ้ว”

นางกำนัลพูดไม่ออก ในใจอยากบอกว่าคนที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้วก็ท่านมิใช่หรือ

นางกล่าวเสียงเบา “องครักษ์สวนเส้าอินเห็นใต้เท้าเข้าวังมา แล้วไปที่สวนเต๋อซิน”

สวี่ชีอันเงียบไป

เมื่อเห็นว่าเขาไม่อธิบาย นางกำนัลก็ผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยเร่งอีกครั้ง “ใต้เท้าสวี่กลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังพระองค์อารมณ์ดีแล้วท่านค่อยมา”

พูดจบนางก็ผละจากสวี่ชีอันแล้วกลับเข้าตำหนักไป

สาวเท้ามาจนถึงในศาลาก็กล่าวอย่างเร่งรีบ “ทูลกระหม่อม ใต้เท้าสวี่เพิ่งหมดสติไปเพคะ”

หลินอันเงยหน้าขึ้นทันที ความตกใจและกังวลปรากฏบนใบหน้า ก่อนจะข่มกลั้นมันแล้วเอ่ยเบาๆ “หมดสติหรือ”

“ใต้เท้าสวี่บอกว่าเพราะยืนนานเกินไป อาการบาดเจ็บจากการประลองเมื่อวานจึงกำเริบเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ

“ข้าก็ไม่ได้ให้เขารอเสียหน่อย…เล่นหมากแค่นี้ยังทำไม่ได้ พวกเจ้านี่โง่จริงๆ”

หลินอันตำหนิอย่างฉุนเฉียว จากนั้นจึงหันไปหานางกำนัลแล้วพูดว่า “ถ้าเขาไม่ยอมไปก็ให้เขาเข้ามาเถอะ”

สวี่ชีอันถูกพาไปที่ห้องโถงด้านข้าง จิบชาร้อนๆ และรออยู่นาน กว่าจะเห็นร่างสวมชุดสีแดงเดินเข้ามา ใบหน้ากลม องคาพยพทั้งห้างดงาม สีหน้าเย็นชา ดวงตาเย้ายวนคู่นั้นกำลังแสร้งทำเป็นเฉยชา

“ข้าบอกว่าไม่รับแขกมิใช่หรือ พวกเจ้าให้เขาเข้ามาทำไม”

หลินอันตำหนิอย่างเผยพิรุธ ก่อนจะมองไปยังสวี่ชีอัน หลังจากประเมินแล้วก็ดูจะโล่งใจ จึงสั่งว่า

“ใต้เท้าสวี่ออกแรงเพื่อราชสำนัก ข้าก็ย่อมไม่ดูดายให้ท่านบาดเจ็บ หงเอ๋อร์ ยกของเข้ามา”

นางกำนัลตัวใหญ่ที่เคยถูกสวี่ชีอันตบก้นถอยออกไป ครู่เดียวก็พาบ่าวรับใช้ผู้ชายจากในสวนเข้ามาพร้อมกับยาและวัตถุดิบยาบำรุงร่างกายในมือ

“วัตถุดิบยาและยาพวกนี้ข้าได้มาจากห้องโอสถหลวง ใต้เท้าสวี่เอาไปเถอะ” หลินอันกล่าวอย่างไว้ท่า

“เป็นองค์หญิงที่ทูลขออยู่นาน ฝ่าบาทจึงยอมสละสมบัติส่วนพระองค์ให้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์กล่าวเสริม

“ปากมากนัก!” ยายตัวร้ายคิ้วขมวดจนตั้งตรง ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ “หงเอ๋อร์ ส่งแขก”

สวี่ชีอันไม่ไป

ทั้งสองฝ่ายนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สวี่ชีอันจะกล่าวอย่างหน้าหนา “กระหม่อมศึกษาหมากเรียงห้าตัวมานานจึงค้นพบความลับข้อหนึ่งที่ฆ่าศัตรูไร้พ่าย พระองค์กล้าสู้หรือไม่”

ยายตัวร้ายหลงกลพยักหน้ารับคำท้า

ดังนั้นจึงให้สาวใช้ย้ายกระดานหมากและตัวหมากเข้ามา นางสู้รบกับสวี่ชีอันในห้องโถงอยู่สามร้อยรอบ สวี่ชีอันแพ้ราบคาบจึงยอมแพ้อย่างจนปัญญา

“องค์หญิงทรงพระปรีชายิ่ง กระหม่อมยอมแล้ว” สวี่ชีอันรีบกล่าวเยินยอ

ยายตัวร้ายเชิดคางขึ้นน้อยๆ แล้วร้อง “อืม” อย่างวางท่า ทว่าก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือหมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่อง จึงแค่นเสียง

“หมากก็เล่นเสร็จแล้ว ข้าไม่ให้ใต้เท้าสวี่รั้งอยู่ต่อแล้ว”

“อย่าเพิ่งรีบร้อนสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดวิธีเล่นแบบใหม่ได้ หากองค์หญิงสนพระทัย กระหม่อมจะสอนให้” สวี่ชีอันพูดอย่างมีหลักการ

สวนเส้าอินอันเงียบสงบพลันคึกคักขึ้นมาทันตา ยายตัวร้ายสั่งให้องครักษ์ในสวนตัดต้นไม้ ขณะที่สวี่ชีอันก็นำไม้ที่โค่นลงมาตัดเป็นท่อนๆ

“เจ้าไปเอาสีมา…ส่วนเจ้าไปเอามีดแกะสลักมา…”

สั่งองครักษ์เสร็จ นางก็หันมาสั่งนางกำนัล หางตาและปลายคิ้วดูอารมณ์ดี กระตือรือร้นยิ่ง

นางกำนัลสองคนรับคำสั่งแล้วจากมา เดินไปพลางพูดคุยกัน

“เมื่อครู่องค์หญิงยังโมโหจนเขวี้ยงแก้วอยู่เลย โมโหจนพระเนตรยังแดงก่ำ…เจ้าว่าใต้เท้าสวี่ผู้นี้มีความสามารถจริงๆ แม้แต่คำพูดก็ยังไม่ได้เอ่ย องค์หญิงกลับอภัยให้เขาแล้ว”

“องค์หญิงเพียงแค่โกรธ มิได้เกลียดใต้เท้าสวี่จริงๆ เสียหน่อย ข้าบอกเจ้าแล้ว หากเขาไป องค์หญิงนั่นแหละที่จะเสียใจเข้าจริงๆ”

“อะแฮ่ม!”

เสียงผู้ชายกระแอมไอเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง นางกำนัลทั้งสองสะดุ้งโหยงจนกระโดดเหมือนกวาง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นสวี่ชีอันนี่เอง

“ใต้เท้าสวี่ไปมาไร้สุ้มเสียง บ่าวตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์บ่น

สวี่ขีอันกระเซ้าเย้าแหย่นางกำนัลทั้งสองอย่างสนุกปาก ก่อนจะตัดเข้าประเด็น

“ข้าถามพวกเจ้าอย่างหนึ่งสิ ยาเหล่านั้นล้ำค่านัก องค์หญิงเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไรหรือ”

“ยาเหล่านั้นคือยาที่ฝ่าบาททรงใช้บำรุงกำลังพระวรกาย ว่ากันว่าหนึ่งหม้อมีเพียงยี่สิบสี่เม็ด และจากยี่สิบสี่หม้อจะปรุงสำเร็จเพียงหม้อเดียว เมื่อวานองค์หญิงกวนฝ่าบาทอยู่นานจนฝ่าบาททรงทนไม่ไหว จึงประทานให้หนึ่งเม็ด” เหอเอ๋อร์กล่าว

“จากนั้นเช้าวันนี้ก็รีบส่งคนไปเชิญใต้เท้าสวี่มา ใครจะไปคิด…” นางกำนัลอีกคนกล่าวเสริม

“ไปเถอะ”

สวี่ชีอันตบก้นพวกนางดันให้นางกำนัลทั้งสองรีบไป

เขาหันกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทำงานในมือต่อ นำท่อนไม้แต่ละท่อนมาเฉือนเป็นรูปร่างแบนๆ แล้วแกะสลักลงไประหว่างนั้น หลินอันก็ช่วยแกะสลักด้วย จะอย่างไรนางก็เคยร่ำเรียนเขียนอ่าน เคยฝึกวิทยายุทธ์ ถึงแม้จะบุ๋นไม่ได้ บู๊ไม่คล่อง แต่พื้นฐานก็ยังนับว่าใช้ได้

การแกะสลักท่อนไม้ให้เป็นรูปทรงแบนๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปยังทิศตะวันตกโดยไม่รู้ตัว หมากอันใหม่ของสวี่ชีอันทำเสร็จแล้ว…หมากรุกเซี่ยงฉี!

มองดูตัวหมากรุกสองชุดที่ตนกับสุนัขรับใช้ประดิษฐ์เองกับมือแล้ว ยายตัวร้ายก็เผยรอยยิ้มจากก้นบึ้งหัวใจ ในพริบตานั้นร้อยบุปผาเหี่ยวเฉา ในดวงตามีเพียงรอยยิ้มน่าหลงใหลของสาวงาม

“มืดแล้ว ข้าจะบอกกติกากับองค์หญิง อีกเดี๋ยวก็ต้องออกจากวังแล้ว” สวี่ชีอันพูดจบก็โบกมือให้นางกำนัลถอยออกไป

ยายตัวร้ายเหลือบมองดวงอาทิตย์ รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะตอบรับ ‘อืม’

สวี่ชีอันอธิบายกติกาของหมากรุกเซี่ยงฉีอย่างตั้งใจ แต่ยายตัวร้ายกลับฟังบ้างไม่ฟังบ้าง วันนี้นางอารมณ์ไม่ดีสุดๆ และต้องยอมรับว่าคราแรกที่บังคับดึงตัวสวี่ชีอันไว้เป็นเพราะจะแย่งของของฮว๋ายชิ่งล้วนๆ

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป นางกลับยิ่งชอบเจ้าสุนัขรับใช้นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนวิธีเป็นมอบเงินให้เขา ปฏิบัติต่อเขาด้วยใจจริง ไม่เคยร้องขอให้เขาทำอะไรเพื่อตัวเอง ขอเพียงสละเวลามาเล่นกับนาง ยายตัวร้ายก็มีความสุขมากแล้ว

ทว่าในใจนางมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่เสมอ นั่นก็คือสวี่ชีอันกับฮว๋ายชิ่งรักษาความสัมพันธ์ที่ ‘ไม่ถูกต้อง’ ไว้เสมอ

รับปากว่าจะทำงานให้นางและเลิกยุ่งกับฮว๋ายชิ่ง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับฮว๋ายชิ่งอย่างลับๆ ไม่เรียกว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องหรือ

นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…จนวันนี้นางก็ระเบิดอารมณ์ในที่สุด เพื่อขอยา นางต้องถูกเสด็จพ่อก่นด่าสารพัด แต่นางก็ยังดื้อดึงอย่างหน้าหนา วันต่อมาส่งคนไปเชิญสวี่ชีอันและรอคอยอย่างมีความสุข

สิ่งที่รอนางอยู่คือประโยคจากองครักษ์ว่า ‘เขาไปสวนเต๋อซินพ่ะย่ะค่ะ’

ชั่วพริบตานั้น ยายตัวร้ายรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเหยียบย่ำ รู้ว่าว่าตนเองไร้ยางอาย ความจริงสวี่ชีอันไม่ได้จริงจังกับนางเลย ไม่สิ เขาทำกับนางเหมือนคนโง่คนหนึ่ง

เสียใจจนอยากร้องไห้

“เฮ้อ!”

ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะพูดเสียงเบา “องค์หญิง ก่อนหน้านี้กระหม่อมไปสวนเต๋อซินมา”

ยายตัวร้ายหน้าคว่ำทันทีและสะบัดหน้าหนี “ข้าไม่รู้จักสวนเต๋อซินอะไรนั่น เจ้าเข้าวังแล้วก็มาหาข้าทันที”

“ไม่ กระหม่อมไปพบองค์หญิงฮว๋ายชิ่งก่อน”

“สวี่ชีอัน!”

ยายตัวร้ายตะโกนเสียงดัง ก่อนจะหันหน้ากลับมา ดวงตาแดงก่ำ แม้แต่ข้าจะหลอกตัวเอง เขาก็ยังดับฝันอย่างนั้นหรือ ไม่คิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างเลยหรือ

สวี่ชีอันถอนหายใจอีกครั้ง สายตามองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ดวงตาพลันล้ำลึกและแฝงความนัยราวกับซ่อนเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตไว้มากมาย

เขาเอ่ยพูดช้าๆ ทีละคำ “องค์หญิง ไม่รู้ว่าพระองค์เคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่”

ยายตัวร้ายเงียบไป

“ชีวิตคนเราจะได้พบทิวทัศน์มากมาย ผู้คนหลากหลาย แต่สิ่งที่เจ้าเลือกในท้ายที่สุดคือสิ่งที่ใจปรารถนาที่สุด”

ยายตัวร้ายนิ่งอึ้ง มองเขาอย่างว่างเปล่า

“วันนี้พระองค์กับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเกิดมีใจเชิญกระหม่อมมาพร้อมกัน กระหม่อมไปพบองค์หญิงฮว๋ายชิงก่อนโดยไม่ลังเล แต่ใช่ว่าเพราะในใจกระหม่อมแล้วนางสามารถเอาชนะพระองค์ได้หรอก”

สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน สีหน้าอ่อนไหวเล็กน้อย “หากมาสวนเส้าอินก่อน กระหม่อมก็ไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน พูดคุยได้ไม่กี่คำก็ต้องบอกลาเพื่อไปพบนางที่สวนเต๋อซิน เฮ้อ หรือว่าองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเชิญแล้วกระหม่อมไม่ไปได้งั้นหรือ

“แต่หากไปสวนเต๋อซินก่อน กระหม่อมก็สามารถอยู่กับพระองค์ได้จนกว่าประตูวังจะปิด ในใจกระหม่อม พระองค์กับองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ผู้ใดสำคัญกว่ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ”

ดวงตายายตัวร้ายค่อยๆ อ่อนแสงลง สีหน้าเย็นชากลับกลายเป็นอ่อนโยน

สวี่ชีอันนั่งลงอีกครั้ง ใช้ดวงตาแฝงความนัยที่จ้องมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อครู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาหลินอัน ก่อนจะเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เพราะกระหม่อมรู้ว่าสิ่งที่องค์หญิงต้องการคือสหาย”

ประโยคนี้สะกิดส่วนที่อ่อนแอที่สุดในใจของยายตัวร้าย ใช่แล้ว นางรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว

หลังจากเสด็จพี่รัชทายาทถูกคุมขัง เสด็จแม่ก็ร้องห่มร้องไห้กับนางทั้งวัน และเอาแต่พร่ำสอนนางถึงเจตนาร้ายแอบแฝงของฮองเฮา ท่าทีของเหล่าพี่น้องนับวันยิ่งห่างเหิน

เสด็จพ่อยังคงเป็นเสด็จพ่อ แต่หลินอันกลับมิใช่หลินอันคนเดิม อย่างน้อยนางก็ตระหนักได้ว่าเสด็จพ่อรักนางเพราะนางไม่มีพิษภัย

องค์หญิงที่ภายนอกดูมีเสน่ห์และเย่อหยิ่ง แต่ภายในใจกลับเป็นเพียงเด็กสาวที่ต้องทนอยู่กับความเหงาและอ้างว้าง

สวี่ชีอันกวาดตามองรอบๆ เมื่อมั่นใจว่านางกำนัลที่ถอยออกไปไม่อยู่แถวนี้แล้ว ก็อาจหาญคว้าฝ่ามือนุ่มนิ่มของหลินอันมาจับไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“องค์หญิง กระหม่อมจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”

อุณหภูมิที่ส่งมาจากหลังฝ่ามืออุ่นร้อน หลินอันเขินอายหน้าแดง ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านหัวใจ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน มือสวี่ชีอันที่จับนางไว้ไม่ได้คลายออก บรรยากาศคลุมเครือก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

“องค์หญิง ดึกแล้ว กระหม่อมขอตัวกลับก่อน หากพระองค์อยากพบหน้ากระหม่อมทุกวัน ก็สามารถย้ายไปอยู่ที่ตำหนักหลินอันได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัง” สวี่ชีอันตอบเสียงเบา

…………………………………………………………..