ตอนที่ 370 พอใจอย่างยิ่ง
“มิเช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จวนโหวได้มาอย่างยากลำบากก็อาจมลายหายไปจนสิ้นก็ได้”
อันอิงเฉิงถอนหายใจยาวออกมา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความจำใจ “พ่อมิกล้าพนันด้วย ! และเพื่ออนาคตของจวนเรา คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
อันหลิงเกอมองใบหน้าที่ผ่านความลำบากมาอย่างมากมายของอันอิงเฉิงแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ถูกต้อง หลี่กุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมานานหลายปีและมีอำนาจในวังมากมายจนถึงขั้นกล้าต่อกรกับฮองเฮา เห็นได้ชัดว่าความคิดย่อมมิธรรมดา
หากอันอิงเฉิงจัดการหลี่ซื่อเพราะเรื่องในตอนนั้น หลี่กุ้ยเฟยต้องทราบข่าวแน่นอน
สายสัมพันธ์ของสองพี่น้องช่างเหนียวแน่น แค่หลี่กุ้ยเฟยไปแสดงละครร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าพระพักตร์ จวนโหวที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทมาอย่างยากลำบากต้องกลับไปเสื่อมอำนาจอีกครั้งเป็นแน่ แล้วอันอิงเฉิงจักทนให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ?
แต่ถ้าปล่อยหลี่ซื่อไปเช่นนี้ นางก็มิอาจทนได้เช่นกัน
อันหลิงเกอกำมือทั้งสองข้างจนแน่น ภายในดวงตามีแววสับสนเพราะสองความคิดที่ขัดแย้งกำลังต่อสู้กันอยู่
จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาหวิวว่า “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเพื่อความปลอดภัยและอนาคตของจวนโหวทำท่านพ่อปล่อยหลี่อี๋เหนียงไป ลูกก็จักทำเป็นมิรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ”
แต่นางมิมีทางปล่อยหลี่อี๋เหนียงไปโดยง่ายเช่นนี้ !
ท่านพ่อกลัวว่าหลี่กุ้ยเฟยจักเข้ามาขวางและส่งผลกระทบต่ออนาคตของจวนโหวมิใช่หรือ ?
เช่นนั้นนางก็จักทำให้จวนโหวแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งถึงขั้นที่แม้แต่หลี่กุ้ยเฟยหรือฮ่องเต้ก็มิสามารถสั่นคลอนได้เหมือนที่ทำกับจวนอ๋องมู่ !
อันหลิงเกอแอบตัดสินใจเอาเองเพราะจากเดิมที่คิดว่าการแก้แค้นหลี่อี๋เหนียงอย่างน้อยคงต้องรอสองถึงสามปี แต่คาดมิถึงว่าโอกาสดีจักมาถึงรวดเร็วปานนี้
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดงในห้องโถง ข้างกายมีสาวใช้ยกน้ำชาให้อย่างระมัดระวังพร้อมนำขนมและผลไม้มาวางบนโต๊ะ
“มิทราบว่าอี้หวางเฟยมาในวันนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ ? ”
นางมิได้หันไปมองผลไม้ที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะแต่จ้องไปยังอี้หวางเฟยด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่ง
อี้หวางเฟยมีไหวพริบที่ดีย่อมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาของฮูหยินผู้เฒ่า
แต่นางทำท่าทางราวกับมิมีอันใดเกิดขึ้น นางค่อย ๆ จิบชาที่อยู่ภายในถ้วยไปหนึ่งอึกก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าคงมิทราบว่าบุตรชายที่มิเอาไหนของข้ามาถูกตาต้องใจหลานสาวของท่านมาก เขาร้องไห้โวยวาย มิว่าอย่างไรก็ต้องแต่งกับนางให้ได้”
หากผู้อื่นเรียกบุตรของตนว่ามิเอาไหนถือเป็นแค่คำเรียกที่ใช้แสดงความถ่อมตน ทว่ากับอี้หวางเฟยคือหมายความตามที่กล่าวจริง ๆ เพราะอี้หมิงก็มีชื่อเสียงทั่วเมืองหลวงว่าเป็นซื่อจื่อที่โง่เขลา เรื่องนี้ใครต่างก็รู้กันทั่ว
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ากระจ่างขึ้นมาทันที นางเคยได้ยินว่าซื่อจื่อของจวนอ๋องอี้ชอบพออันหลิงอีและอาละวาดให้อี้หวางเฟยจัดการเรื่องของเขากับสตรีในดวงใจให้ได้
ทว่าตอนนั้นนางยังมิได้กลับมาอยู่ที่เมืองหลวงจึงมิทราบรายละเอียดมากนัก ตอนนี้ย่อมมิกล้าแสดงความคิดเห็นอันใดออกมา
อี้หวางเฟยจึงหันไปหาอันหลิงเกอที่อยู่ด้านข้างแทน
“มิได้พบกันหลายวัน คุณหนูใหญ่อันงดงามขึ้นมิน้อยเลย”
นางเอ่ยชมอันหลิงเกอ หลังจากนั้นจึงพูดหยั่งเชิงออกมา “เรื่องของหมิงเอ๋อกับคุณหนูสาม ฮูหยินผู้เฒ่าอาจยังมิทราบ ทว่าคุณหนูใหญ่คงทราบดีกระมัง”
อันหลิงเกอเงยหน้ามองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าวูบหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ นางมิเข้าใจว่าอี้หวางเฟยต้องการทำอันใดกันแน่
อี้หวางเฟยมิได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด นางหัวเราะออกมา แสดงท่าทางราวกับสนิทสนมกันดี “ตอนนั้นคุณหนูสามมิเห็นด้วยเรื่องแต่งงาน แม้ข้าเสียใจแต่ก็เคารพความเห็นของนางจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป”
“แต่นึกมิถึงว่าบุตรชายของข้าที่เงียบได้ช่วงหนึ่ง มิรู้เหตุใดจึงกลับมาคะนึงหาคุณหนูสามอีก เมื่อนางมิยอมแต่งกับเขา ตัวข้าเองก็รู้สึกมิสบายใจแต่อับจนหนทางจึงต้องมาถามความเห็นจากฮูหยินผู้เฒ่าในวันนี้”
อี้หวางเฟยถือว่าวางแผนมาดีเพราะอดีตนั้นเรื่องน้อยใหญ่ภายในจวนโหวจักมีหลี่ซื่อเป็นคนตัดสินใจ หากหลี่ซื่อมิตกลงเรื่องการแต่งงานของอันหลิงอี นางก็มิสามารถทำอันใดได้
ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว หากนับตามความอาวุโส แม้หลี่ซื่อสามารถกดอันหลิงเกอได้ แต่ย่อมกดฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ ยิ่งถ้านับตามฐานะแล้วทั้งอันหลิงเกอกับฮูหยินผู้เฒ่าล้วนอยู่สูงกว่าหลี่ซื่อทั้งคู่
หากนางมาปรึกษาสองคนนี้เรื่องการแต่งงานของอันหลิงอีก็ย่อมมีโอกาสสำเร็จมากกว่าคุยกับหลี่ซื่ออยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือสองวันมานี้นางได้ยินว่าอันหลิงอีทำความผิดบางอย่างจึงโดนส่งไปอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล แถมยังวางแผนฆ่าตัวตายแม้สุดท้ายคนของจวนตระกูลหลี่ช่วยไว้ได้ทัน จนบัดนี้ก็ยังมิกลับมายังจวนโหว
ถ้าดูจากเรื่องนี้แล้วอันหลิงอีต้องทำความผิดใหญ่หลวงจนอันอิงเฉิงโกรธมากแน่ ๆ เขาถึงได้ปล่อยนางไปตามยถากรรมโดยมิไปตามกลับมา
อี้หวางเฟยที่คิดว่าไตร่ตรองมาดีแล้วก็แอบดีใจอยู่ลึก ๆ อย่างไรเสียอันหลิงอีก็สูญเสียความรักจากอันอิงเฉิงไปแล้ว ดังนั้นก็แทบเป็นคนที่ไร้ตัวตน หากจวนอ๋องอี้มากล่าวเรื่องสู่ขอในเวลานี้ผู้ใดจักมิตกลงกันเล่า ?
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็มีท่าทางหวั่นไหวจริง ทั้งแววตาของอันหลิงเกอก็ยังมีประกายบางอย่างพาดผ่านอีกด้วย
การมาในครั้งนี้ของอี้หวางเฟยทำให้อันหลิงเกอคิดแผนการบางอย่างขึ้นได้ อันหลิงอีอยากให้นางโดนพวกขอทานย่ำยี จากนั้นก็ถูกผู้คนหัวเราะเยาะจนไร้วันที่จักเงยหน้าได้อีกมิใช่หรือ ?
หากอันหลิงอีแต่งงานกับซื่อจื่อที่โง่งมเยี่ยงอี้หมิงจักเป็นเยี่ยงไร ?
อันหลิงเกอแทบรอให้มีงานสมรสระหว่างจวนโหวและจวนอ๋องอี้เกิดขึ้นมิไหวอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิสามารถแสดงท่าทีกระตือรือร้นออกมาได้ ทำได้เพียงเอ่ยออกมาช้า ๆ ว่า “หากข้าจำมิผิด ครึ่งปีก่อนอี้หวางเฟยก็เคยมากล่าวเรื่องนี้ไปแล้ว หลี่อี๋เหนียงก็ปฏิเสธไปอย่างแข็งขัน เหตุใดอี้หวางเฟยจึงมากล่าวเรื่องนี้อีกเจ้าคะ ? ”
พอนึกถึงเรื่องที่ตนและหลี่ซื่อแตกหักกันในตอนนั้นแล้วอี้หวางเฟยก็หน้าตึงขึ้นมาทันที แต่มินานก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่อันคงยังมิทราบว่าสองวันมานี้ข้าได้ข่าวเรื่องคุณหนูสามพยายามฆ่าตัวตายตอนอยู่ที่เรือนจวงจื่อ มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจึงทำให้นาง…”
อี้หวางเฟยนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมสีหน้าโศกเศร้า “เฮ้อ ข้ามาคิดแล้วก็เห็นว่าในเมื่อหมิงเอ๋อหลงใหลนางถึงเพียงนี้ สู้ลองมาสู่ขออีกทีดีกว่า เพราะมิแน่ว่าเมื่อคุณหนูสามไปอยู่ที่จวนของเราจักมิคิดทำร้ายตัวเองเช่นนี้อีก และหมิงเอ๋อก็จักได้มีความสุขด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างพอใจ เพียงแต่เกรงว่าพวกท่านมิเห็นด้วยเท่านั้น”
นางชิงกล่าวออกมาว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างพอใจ แต่ปิดท้ายว่ากลัวพวกตนมิเห็นด้วย ประหนึ่งต้องการสื่อว่ามีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ปล่อยเรื่องน่าพอใจเช่นนี้โดยมิทำอันใด ทั้งหมดที่พูดออกมาก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นดีเห็นงามในเรื่องนี้
มิเสียทีที่เป็นอี้หวางเฟย ช่างมีวาทศิลป์เสียจริง
อันหลิงเกอแอบหัวเราะอยู่ในใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าคิดเห็นเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”