ซือหยูมองผู้เฒ่าที่เหลือ เหล่าผู้เฒ่าใจสั่น แม้แต่กึ่งภูติที่มีแก้วพลังสามดวงผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ยังถูกเขาสังหารในพริบตาเดียว!
ผู้เฒ่าทุกคนรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอ พวกเขากำลังคิดว่าซือหยูจะคุ้มคลั่งและฆ่าคนระดับสูงทั้งหมดในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หรือไม่ พวกเขาหยุดไม่ได้ที่จะมองผู้เฒ่าที่อาวุโสที่สุดอย่างผู้เฒ่าเฉิน พวกเขามองผู้เฒ่าเฉินเป็นดั่งเสาหลักของกำลัง
ผู้เฒ่าเฉินถาม
“ผู้อาวุโส ฟู่กังซานกับหลานของเขาถูกประหารไปแล้ว ท่านยังต้องการอะไรจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อีกหรือไม่?”
ซือหยูมองผู้เฒ่าเฉินที่ตัวสั่นด้วยความกลัว กลุ่มผู้เฒ่าเหล่านี้อายุอานามราวเจ็บสิบปี ยากที่พวกเขาจะเรียกเด็กหนุ่มว่า ‘ผู้อาวุโส’ ความแตกต่างในวัยวุฒิและพลังล้วนแปลกประหลาด
“ผู้เฒ่าเฉิน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ถึงข้าจะไร้เมตตา ข้าก็มิใช่คนที่จะสังหารผู้บริสุทธิ์…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น คำพูดของเขาดูมีพลัง เขาทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง
แต่หลังจากที่พวกเขาเริ่มหายจากความตึงเครียด แววตาซือหยูได้เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
“ข้าไม่สนใจแล้วว่าจะมีไอ้หน้าโง่ฝ่ายฟู่กังซานเหลืออยู่อีกกี่คน ข้าจะถือว่าเจ้าโชคดีที่ไม่เข้ามาร่วมวงด้วย แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าได้โชคดีแบบนี้”
หลายคนรู้สึกผิดเมื่อถูกซือหยูมอง มีหนึ่งในนั้นอยู่บ้างที่ไม่ได้กระโดดเข้ามาร่วมวงสังหารซือหยู
ผู้เฒ่าเฉินดูอึดอัด ซือหยูพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านเจ้าพันธมิตรหลงเป็นเช่นใดบ้าง?”
เขาไม่ได้ถามเฉพาะเจาะจงกับใคร แต่ผู้เฒ่าทุกคนกลับรู้สึกว่าซือหยูกำลังถามพวกเขาแต่ละคนแต่เพียงผู้เดียว! เขาดูถูกพวกเขาราวกับผู้พิชิต! ท่าทางอย่างนี้ดูทรงอำนาจและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เจ้าพันธมิตรเคยเป็น!
ผู้เฒ่าเฉินกับอีกหลายคนรู้สึกละอายใจเมื่อได้ยินคำถาม คำพูดสุดท้ายของฟู่กังซานกับหลานทำให้พวกเขาตระหนักรู้ว่าพวกเขาอาจจะเข้าใจเจ้าพันธมิตรหลงผิดไป
“นายท่าน เจ้าพันธมิตรหลิงอยู่ใน…”
หลี่เจิงพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบคำถามของเขา
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซือหยูพูดแทรกขึ้นมา
“ให้พวกนั้นพูดดีกว่า หลี่เจิง”
เขาอยากจะให้เหล่าผู้เฒ่าบอกเขาด้วยตัวเอง
“อะไรกัน? พวกเจ้าไม่มีอะไรจะพูดงั้นเรอะ?”
ซือหยูมองผ่านทุกคน
“พวกเจ้าแก่เฒ่ากันหมด คำพูดเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ผู้น้อยอย่างข้าควรจะพูดกับพวกเจ้า แต่ข้าจำเป็นต้องรู้…พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรล่ะที่ต้องรับมือกับเรื่องนี้?”
เขาส่ายหน้า แววตาของเขาดุดันยิ่งขึ้น
“ในยามมีภัย ตอนที่ศัตรูอยู่อตรงหน้าพวกเจ้า ผู้นำสูงสุดของพวกเจ้าถูกพวกเจ้ากล่าวหาเอาง่ายๆ พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมว่ากลุ่มคนที่ไร้ผู้นำจะเป็นอย่างไรถ้าต้องเจอกับศัตรู? การเปลี่ยนแปลงผู้นำในยามสงครามคือสิ่งต้องห้ามร้ายแรงสูงสุด แต่มันก็ยังเกิดขึ้นในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!”
ซือหยูพูดโดยไม่เกรงใจ เขาโกรธจัด เพราะทวีปเฉินหลงนั้นสงบสุข ภัยอันตรายมักจะไม่ปรากฏ
พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตั้งตนเป็นกลาง พวกเขาไม่เคยต่อสู้กับสำนักใดแม้สักครั้ง เหล่าผู้เฒ่าที่นี่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย และเพราะเหตุนี้ พวกเขาเลยทำความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงอย่างการเปลี่ยนแปลงผู้นำระหว่างสงคราม!
คำพูดของซือหยูแทงตรงใจดำพอดิบพอดี ผู้เฒ่าเฉินกับคนอื่นๆล้วนหมดคำพูด พวกเขามิอาจตอบอะไรได้เลย ใบหน้าของพวกเขาร้อนผ่าวจากความอับอาย
คำพูดของซือหยูมีน้ำหนักและเหตุผล ตอนที่เผชิญหน้าฟู่กังซานและคนของเขา เหล่าผู้เฒ่ามิได้ไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน
“ใต้เท้า มิใช่ว่าคำพูดท่านมันแรงเกินไปหน่อยรึ?”
หนึ่งในผู้เฒ่าเอ่ยปาก เขาทนไม่ไหวที่จะฟังคำถากถางอีกต่อไป
เขาคือผู้เฒ่าเครายาวหน้าแดง เขาดูโมโหไม่ยอมรับ ดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองให้พูดไม่ได้
ใบหน้าหลี่เจิงดูร้ายกาจ เขารังเกียจที่จะต้องเห็นท่าทางโอหังของเหล่าผู้เฒ่า เพราะตอนที่ซือหยูต่อสู้ ผู้เฒ่าเครายาวผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่เมื่อรู้ว่าซือหยูมิใช่คนที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ เขาจึงเริ่มที่จะเล่นลิ้นอย่างอิสระ!
“ผู้เฒ่าเสี่ยวซุย ระวังคำพูดให้จงดี กล้าดียังไงมาพูดกับนายท่านของพวกเราเช่นนี้?”
หลี่เจิงคว้ามือจับด้ามกระบี่ที่คาดฝักไว้กับเอว
ซือหยูหันไปมองผู้เฒ่าเคราเฟิ้มขณะที่ส่ายหน้า คนที่อันตรายที่สุดมิใช่คนอย่างฟู่กังซานที่ต่อสู้เพื่อเกียรติยศและเงินทอง แต่คนอย่างเสี่ยวซุยที่โง่เขลาไร้จุดยืนต่างหากที่อันตราย
เขาไม่รู้ที่ยืนของตัวเอง! ขณะที่ฟู่กังซานเข้าติดสินบนกับเหล่าสมาชิกระดับสูง คนอย่างเสี่ยวซุยอาจจะทำให้ทั้งพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ถูกทำลาย โดยเฉพาะในยามเกิดเรื่อง! คนที่หยิ่งผยอง อวดดี และราน้ำไปซะทุกเรื่องไม่ช้าไม่นานก็จะต้องสร้างปัญหากับทุกคนแน่นอน
เมื่อเขามองผู้เฒ่าคนอื่นก็เห็นว่าแม้สีหน้าผู้เฒ่าเหล่านั้นจะไม่เปลี่ยนไป แววตาของพวกเขาก็ดูไม่พอใจ นอกจากผู้เฒ่าเฉินกับผู้เฒ่าคนอื่น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟังคำพูดของซือหยูมากนัก
ซือหยูหมดหวังกับคนเหล่านี้
“ย่อมได้ อยากจะทำอะไรก็ทำตามที่พอใจ ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว แต่พวกเจ้าควรจะจำไว้ว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มิได้เป็นแค่ของพวกเจ้า เพราะที่นี่เป็นของคนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์ คนเหล่านั้นจะเป็นประกายแสงแห่งอนาคตของมนุษย์ จะทำอะไรโปรดคิดอ่านให้ดี”
ซือหยูกำลังจะจากไป เขาโบกมือให้หลี่เจิงเก็บกระบี่ ในตอนนั้น เสี่ยวซุยพูดขึ้นมาอย่างโอหัง
“สนับสนุนมนุษย์เป็นธรรมเนียมของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เจ้าไม่ต้องมาสั่งสอนพวกข้า”
ซือหยูไม่คิดจะตอบอะไรกับคนกะโหลกหนาเช่นนี้ ผู้เฒ่าเฉินมองเสี่ยวซุยและถอนหายใจเบาๆ เสี่ยวซุยเป็นหนึ่งในผู้เฒ่าที่มีอายุมาก แต่แม้อย่างนั้น เขาก็ยังทำตามใจชอบอยู่เสมอ นิสัยขาดความคิดอ่านรอบคอบนั้นเป็นที่รู้แก่เหล่าผู้เฒ่าหลายคน
เขากำลังสวมหน้ากากเป็นคนใจกล้าที่กล้าพูดสิ่งในใจโดยไม่กลัวพลังของซือหยู แต่ความจริงเขาก็แค่คนที่หวาดกลัวคนแข็งแกร่งและทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น! ที่เขาทำอยู่ก็เพื่อทำให้คนรอบๆประทับใจ
เขากล้าทำแบบนี้เพราะแน่ใจแล้วว่าคนที่มีคุณธรรมอย่างซือหยูจะไม่ฆ่าเขา ถ้าซือหยูฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่สนใจผู้บริสุทธิ์ เขาก็คงจะไม่กล้าพูดออกมาอย่างนี้!
“ท่าน เลิกคุยเรื่องนี้ก่อนเถอะ ข้าเข้าใจท่านเจ้าพันธมิตรผิด ข้าจะต้องไปต้อนรับเขากลับมาด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าเฉินทนเห็นสิ่งน่าละอายไม่ได้อีก เขาจึงเหลือบมองผู้เฒ่าหลายคนและเดินออกไป ใบหน้าเขาตอนที่เดินออกไปนั้นทั้งผิดหวังและละอาย
เหล่าผู้เฒ่าเดินตามหลังเขาไป เพราะแม้หากมันจะเป็นการแสดง พวกเขาก็จำเป็นต้องรับเจ้าพันธมิตรกลับมาด้วยกัน ดังนั้นจึงมีแค่ซือหยูกับคนของเขาที่เหลือในโถงหลัก
“นายท่าน ไอ้เสี่ยวซุยนั่นใช้ท่านประจบประแจงผู้คน! เขายังกล้าดูถูกท่าน! ท่านจะทำให้เขากล้าทำสันดานเช่นนั้นต่อไปถ้าหากปล่อยไปอย่างนี้”
หลี่เจิงมองไปยังเสี่ยวซุยด้วยความไม่พอใจ
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดี หลี่เจิงก็ยังคงทนคนอย่างหลี่เจิงที่ไม่เคารพต่อซือหยูไม่ได้! เพราะแม้ว่าซือหยูจะดูโหดร้าย ไร้เมตตา เขาก็ทำไปด้วยคุณธรรม
“จะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้มันทำอย่างที่ต้องการ ข้าเตือนมันไปแล้ว มีอะไรที่ข้าต้องพูดอีกเล่า?”
ซือหยูไม่สนใจผู้เฒ่าหัวรั้นแค่คนเดียว เขาก้าวข้ามผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมามากแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีผลอะไรกับเขา
หลี่เจิงโค้งคำนับและถอยหลังมองซือหยูด้วยความแปลกใจ ซือหยูนั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ดูมีรัศมีของผู้ทรงอำนาจ
ถ้าหากมีใครอื่นต้องเจออย่างซือหยู แม้ว่าเขาจะไม่ระเบิดความโกรธออกมา เขาก็ยังคงคิดขุ่นเคืองใจกับผู้เฒ่าอวดดีเช่นนี้! แต่ซือหยูกลับใจเย็นและไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ใครจะรู้ล่ะว่าเขาสูงส่งจริงๆหรือแค่แสร้งแสดงให้ข้า…”
หลี่เจิงเริ่มคิดชั้นที่สอง เขาแอบที่จะระวังไม่ให้ไว้ใจซือหยูมากเกินไปเพราะเขาอาจจะแค่แสร้งพูดออกมาเพื่อให้เขาประทับใจก็ได้
….
“ผู้เฒ่าเสี่ยว เหงื่อข้าแตกพลั่กเพราะท่าน ท่านกล้าพูดกับซือหยูอย่างนั้นได้ยังไงกัน!”
ตลอดทางไปรับเจ้าพันธมิตรหลง เสี่ยวซุยเริ่มคุยกับกลุ่มผู้เฒ่า หนึ่งในนั้นยิ้มยอมรับเสี่ยวซุยและออกความเห็น
แม้พวกเขาจะได้รู้ว่าซือหยูไม่ใช่คนชั่วร้าย พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าถ้าหากซือหยูโกรธขึ้นมา เหตุการณ์จะพลิกกลับและกลายเป็นว่าเขาจะสังหารทุกคนหรือไม่!
เสี่ยวซุยเพียงแค่ถอนหายใจแรง
“มีอะไรให้ข้าต้องกลัวมันเล่า? มันก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ต่อให้มันเป็นคนชั่วช้าแล้วจะอย่างไร? อะไรที่ต้องพูด ข้าก็จะพูด! มีสะพานมากนักในชีวิตนี้ที่ข้าได้ก้าวข้ามมาแล้ว แต่มันก็ยังคิดจะสั่งสอนข้ารึ? ยอมรับไม่ได้!”
ผู้เฒ่าหลายคนยอมรับที่เขากล้าจะโต้เถียงกับคนอย่างซือหยู
“ผู้เฒ่าเสี่ยว พันธมิตรผู้คุมสวรรค์รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นอย่างไร ซือหยูเลยไม่กล้าจะโต้ตอบอะไรท่าน! มันต้องเป็นเพราะความสูงส่งของท่านแน่ๆ”
ผู้เฒ่าคนนั้นหรี่ตาพูด
ผู้เฒ่าคนอื่นราวกับได้คำปลอบใจ พวกเขาแสดงความนับถือต่อเสี่ยวซุย
“ใช่แล้ว! ไอ้อสูรเลือดเย็นนั่นพูดไม่ออกเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าเสี่ยว! เรื่องนี้จะต้องไม่รู้แค่พวกเรา!”
“มีแค่พี่เสี่ยวที่ขัดขวางอสูรร้ายเช่นนั้นได้ คืนนี้ข้าจะเลี้ยงพี่เสี่ยวเอง ท่านคือคนที่กอบกู้เกียรติยศของผู้เฒ่าในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์วันนี้!”
กลุ่มผู้เฒ่าที่มีสัมพันธ์อันดีพูดคุยกัน พวกเขาประจบกันไปมา โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าเสี่ยวที่ถูกชื่นชมอย่างสูง…
“แน่ล่ะ เราต้องชนแก้วให้ผู้เฒ่าเสี่ยว!”
“ซือหยูมันเป็นคนชั่วช้าที่สังหารผู้เฒ่าไปมากกว่าครึ่ง แต่พี่เสี่ยวก็หยุดเขาได้ด้วยคำพูดเท่านั้น! ข้าดีใจจริงๆ!”
…
เสี่ยวซุยพยักหน้าอย่างอ่อนน้อม
“ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า พวกท่านไม่ต้องเก็บเอาไปใส่ใจนัก แต่คืนนี้เจ้าจะต้องรวมตัวกัน! ทำไมไม่พอที่กระโจมเล็กที่ข้าเพิ่งจะสร้างเล่า?”
ทุกคนดีใจเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น พวกเขาเริ่มคิดจะไปฉลองยามเย็นด้วยกัน
“ได้ยินว่ากระโจมน้อยของผู้เฒ่าเสี่ยวเป็นสมบัติที่สร้างจากวัตถุดิบนับไม่ถ้วน อย่างเมฆาลอยล่อง หิมะลวง และวัตถุดิบอย่างอื่นที่ล้ำค่า! มันแวดล้อมไปด้วยพลังวิญญาณ มันคือสมบัติเทพชั้นยอด! ้ขาไม่ปล่อยให้ใครเข้าไปง่ายๆแน่! พวกเราได้รับเกียรติจริงๆ!”
“กระโจมน้อยรึ? ว้าว! ถ้างั้นข้าก็ไปด้วยสิ! งานฉลองคืนนี้จะต้องจารึกไว้ในบันทึกแน่ๆ!”
…
ผู้เฒ่าเฉินกับคนที่เหลือขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยด้านหลัง แม้จะไม่คิดถึงเรื่องที่พวกเขาควรจะจริงจังขณะที่กำลังจะไปรับตัวเจ้าพันธมิตร เรื่องที่พวกเขายังคงทำตัวแบบนี้นั้นก็น่าละอาย พวกเขาไม่ควรพยายามจะกอบกู้ความสง่างามของตัวเองด้วยการพูดถึงซือหยูราวกับเป็นตัวตลก!
พวกเขายังมีอารมณ์จะชักชวนกันไปเลี้ยงฉลองขณะที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์อยู่ในสถานการณ์วิกฤติ! เรื่องนี้อุกอาจยิ่งนัก! พวกเขาเป็นอย่างที่ซือหยูพูด พวกเขาอยู่อย่างสบายมานาน เรื่องวิกฤติเลยถูกละเลยมองข้ามไป!
ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ซือหยูอาจจะไม่ได้พูดผิดเมื่อชี้ถึงอันตรายร้ายแรงที่สุดของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขาไม่ได้อ่อนแอเพราะมีพลังไม่พอ แต่เป็นเพราะความสบายไร้กังวลที่กัดกินพวกเขา!
ห้องของหลงจื้อชิง
หลงจื้อชิงตกใจเมื่อเห็นกลุ่มผู้เฒ่าเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น เขาสงสัยว่าฟู่กังซานกำลังวางแผนอะไรเอาไว้ แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงจิตสังหารจากเหล่าผู้เฒ่าเลย
เขายังคงระวังเมื่อทักทายเหล่าผู้เฒ่า
“พวกท่าน เป็นเกียรติจริงๆที่ทุกคนมาเยี่ยมข้า”
ผู้เฒ่าเฉินละอายเกินกว่าจะสบตาเมื่อได้ยินคำทักทายของหลงจื้อชิง
“ท่านเจ้าพันธมิตร โปรดบอกเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆในลานประหารใต้ท้องเรือได้หรือไม่? ได้โปรดบอกรายละเอียดกับพวกข้า”
หลงจื้อชิงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม เขารู้สึกได้ว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น
ผู้เฒ่าเฉินกับคนที่เหลือเข้าใจทุกสิ่งแล้วสินะ? พวกเขามาเพื่อหาความจริง…จริงหรือไม่?
ไม่ว่าจะเป็นแผนการของฟู่กังซานหรือไม่ สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ถ้าหากมีคนรู้ความจริงมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มบอกรายละเอียดว่าเขาถูกบังคับให้ใช้อุบายนั้นเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากศัตรู เขาบอกวิธีที่เขาจัดการกับซือหยูและคนที่เหลือ และบอกถึงตอนที่เขาตกหลุมพราง
ผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาหมอบลงกับพื้นและโค้งคำนับ
“ท่านเจ้าพันธมิตร พวกข้ามันสมองกลวง ขอโปรดจงอภัย ”