ตอนที่ 42 - 1 ข้าเป็นเจ้าภาพงานสมรสให้เจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ผิวทะเลสาบที่เงียบสงบ คลื่นน้ำกวาดผ่านหลายระลอก

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังวิ่งกระเซอะกระเซิง เหนือศีรษะของนาง เฟยเฟยวิ่งกระเซอะกระเซิงยิ่งกว่า…มันไม่ถูกกับน้ำ

 

 

เจ้าหมาโง่ร้องด่ากราดอยู่บนฝั่ง เสียดายว่าสัตว์เกราะเงินตัวนั้นฟังภาษานกไม่รู้เรื่อง

 

 

จิ่งเหิงปัวขึ้นฝั่งไม่ได้ พลังอำนาจของไอ้แก่หนังเหนียวล็อกเขตทะเลสาบแห่งนี้ไว้แน่นหนา ยิ่งกว่านั้น นางหายตัวขณะอยู่ในน้ำไม่ได้

 

 

นางได้ต่อสู้กับสัตว์เกราะเงินแล้ว เป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง สัตว์นี้ตัวใหญ่และว่องไว ทั่วร่างลื่นไหลจับไม่อยู่เลย พวกอาวุธไม่มีทางทำอันตรายใดๆ ต่อมันได้ด้วยซ้ำ พลังมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด เคลื่อนไหวแผ่วเบาก็กระเพื่อมคลื่นน้ำลูกใหญ่ ทับนางไว้ใต้น้ำอย่างรุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะเรือนร่างปราดเปรียวที่นางฝึกฝนจากการเคลื่อนที่พริบตา ถ้าไม่ใช่เพราะเฟยเฟยช่วยล่อสัตว์นี้ออกไปตั้งหลายครั้ง คงถูกสัตว์นี้ทับไว้กัดกร้วมตั้งนานแล้ว

 

 

ไม่มีทางเอาชนะได้เลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฆ่าให้ตายแล้วถลกหนังในเวลาหนึ่งเค่อ

 

 

สำคัญยิ่งกว่านั้น นางได้ยินเสียงตะโกนตื่นเต้นของเผยซูกับอีชีทางป่าไม้นั้น สองคนคล้ายกำลังแข่งกันว่าใครจัดการสัตว์ร้ายเสร็จก่อน จะได้พุ่งเข้ามามองนางเปลือยเปล่า

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ว่าถ้าพวกเขาจะพุ่งเข้ามาจริง ต่อให้นางร้องด่าไปก็ไร้ประโยชน์ สองคนนี้ออกนอกลู่นอกทาง เห็นคุณธรรมจริยธรรมเป็นสิ่งสำคัญตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

แม้โดนเห็นหน่อยก็ไม่เป็นไร นางไม่ใช่คนโบราณเสียหน่อย โดนเห็นหมดแล้วก็ต้องแต่งงาน แต่ในใจ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้…พี่ไม่สนใจว่าจะโดนเห็นหมดแล้ว แต่ต้องเป็นคนที่พี่ยอมให้เขาเห็น!

 

 

เสียงของเผยซูแว่วมาแต่ไกล

 

 

“เหลือสัตว์สามตัว! ฮ่าๆๆ ข้าจะชนะแล้ว! อีชี รีบไปเตรียมของขวัญ ข้าสมรสกับปัวปัว เจ้าคิดจะให้สิ่งใดเป็นของขวัญเล่า?”

 

 

แว่วเสียงกระแสหมัดรำไร จากนั้นเป็นเสียงหัวเราะแปลกประหลาดของอีชี

 

 

“ข้าเหลือสองตัว! เสี่ยวเผยเผยเจ้าค่อยๆ เล่น ข้าจะไปอาบน้ำกับปัวปัวก่อนล่ะ”

 

 

เสียงพลั่กหนักแน่น เสียงร้องโหยหวนเสียงแค่นด้วยความเจ็บปวดดังต่อเนื่อง จากนั้นเป็นเสียงหัวเราะลั่นที่กลั้นความเจ็บปวดไว้ของเผยซู “เหลือตัวเดียว! ปัวปัวเป็นของข้า!…” เสียงหัวเราะลั่นพลันหยุดชะงัก กลายเป็นเสียงตวาดว่า “ไอ้ระยำ! อิงไป๋เหตุใดเจ้าถึงโจมตีข้า!”

 

 

เสียงตูมตามโครมครามดังมั่วซั่วระลอกหนึ่ง พร้อมด้วยเสียงตวาดของเผยซู อีชีหัวเราะฮ่าๆ “…ฮ่าๆๆ ข้าจะทำสำเร็จแล้ว อา ยาถอนพิษข้ามาแล้ว อา ปัวปัวข้ามาแล้ว…อ๊าก! อู่ซานเหตุใดเจ้าถึงโจมตีข้า!”

 

 

“อมิตพุทธ โฉมงามเปรียบเสมือนนรก ข้าไม่ลงนรก หรือว่าจะยอมให้เจ้าลงไป?”

 

 

“พี่ใหญ่เจ้าห้าจะแอบมองปัวปัวอาบน้ำ!”

 

 

“ต่อยเขา! ต่อยเขา!”

 

 

 

 

ข้างหน้าผาพลันมีเสียงเคลื่อนไหว

 

 

เหยียลี่ว์ฉีโอบกอดเหยียลี่ว์สวินหรูเงยหน้าขึ้นมา

 

 

เมฆหมอกที่เบาบางข้างหน้าผาพลันล่องลอยวนเวียน ผนึกแน่นไร้สรรพเสียง คล้ายราวกับมีแขนเสื้อใหญ่ที่ไร้รูปร่างคู่หนึ่ง รวบรวมเมฆหมอกที่เคลื่อนไหวไปมาเหล่านั้นไว้ด้วยกัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหรี่ตาอย่างเงียบเชียบ สวินหรูก็ไม่เอ่ยวาจา ‘มอง’ ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบสงบ

 

 

แววตาของนางอ่อนโยน ด้วยเพราะยามนี้สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่เมฆหมอกที่แปลกประหลาดนั้น แต่ยังเป็นคนผู้นั้นในยามนั้น

 

 

เมฆหมอกเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดหย่อน สุดท้ายผนึกแน่นกลายเป็นประตูใหญ่โต

 

 

ประตูเปิดออกสามส่วน ตั้งตระหง่านเนื่องฟ้าดิน เมฆหมอกที่อยู่หลังประตูลาดเป็นทางยาว กระทั่งคล้ายขยายจรดบนขอบฟ้า แสงอาทิตย์โชติช่วงเปล่งประกายบนนั้น ประดุจเส้นทางแห่งสรวงสวรรค์

 

 

นิกายสวรรค์จิ่วฉง

 

 

ประตูสวรรค์ก่อเกิดบนมวลเมฆ สูงตระหง่านองอาจบนหน้าผา ระหว่างเมฆหมอก ราวกับว่าอีกครู่หนึ่งก็จะมีเทพเซียนนับมิถ้วนลอยเหยียบเมฆลงมา

 

 

ยามนี้ คนทั่วไปน่าจะจิตใจระส่ำระสายก่อนแล้ว หวาดกลัวชาวสวรรค์ ศิโรราบกราบกราน ถวายตนรับใช้สวรรค์

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกลับไม่ขยับเขยื้อนด้วยซ้ำ ยามนี้ต่อให้เป็นเทวดาลงมาจุติจริงๆ ก็ไม่คู่ควรให้มองเท่าญาติในอ้อมแขนเขา

 

 

หลังเมฆหมอกเลือนราง ระหว่างประตูสวรรค์ แว่วเสียงเย็นชาเย่อหยิ่ง เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์สวินหรู”

 

 

เสียงไร้ซึ่งอารมณ์ คล้ายเพียงตรวจนามสักหน่อย อีกครู่หนึ่งก็จะมีพู่กันแห่งเทพสวรรค์ลบนามนี้ออกไปอย่างง่ายดาย

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์สวินหรูนั้น คล้ายแม้แต่จะเหยียดหยามยังคร้านจะเหยียดหยาม

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเพียงหัวเราะ เอ่ยว่า “สุนัขของ…นิกายสวรรค์จิ่วฉง”

 

 

น้ำเสียงเขาก็ไร้ซึ่งอารมณ์ คล้ายเพียงตรวจนามสักหน่อยเช่นกัน

 

 

เมฆหมอกหน้าประตูสวรรค์สั่นสะท้าน แสงทองพลันพุ่งลงมาปานสายฟ้า

 

 

แสงทองดั่งไม้กระบอง บดขยี้เมฆครึ่งเขา ยามที่เพิ่งปรากฏขนาดเท่าปลายเข็ม ชั่วพริบตาเดียวพลันปกคลุมทั้งยอดเขาทั่วบริเวณ

 

 

ฉากนี้ทรงพลังน่าเกรงขาม เหยียลี่ว์ฉีเพียงหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยว่า “ถล่ม”

 

 

 

 

ได้ยินเสียงเจ็ดสังหารอาละวาดทางนั้น จิ่งเหิงปัวอดจะเสียสมาธิเล็กน้อยไม่ได้

 

 

จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงดังหนักหน่วงข้างหลัง ละอองน้ำกระเซ็นทั่วทิศ พอมองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าสัตว์เกราะเงินมาถึงข้างหลังนางแล้วตั้งแต่เมื่อไร กำลังใช้กรงเล็บฟาดเฟยเฟยที่เหินมาขัดขวางออกไป

 

 

พริบตาต่อมาสัตว์นั้นมาถึงข้างหลังนางปานภูตพรายแล้ว ปลายกรงเล็บดุร้ายพลันพุ่งออกมา ความยาวห้านิ้ว เอื้อมมาถึงสันหลังของนางแล้ว!

 

 

ปลายกรงเล็บดำคล้ำเปล่งประกายแสงเหน็บหนาวที่มีพิษ

 

 

จิ่งเหิงปัวหลบไม่ทันแล้ว

 

 

แต่วาจาท่อนหนึ่งพลันแล่นผ่านสมอง

 

 

“สรรพสิ่งสรรพสาร ร่วมเกิดร่วมวงศ์”

 

 

ต่อจากนั้นยังมีบันทึกที่ลึกซึ้งท่อนหนึ่ง นี่เป็นเนื้อหาในสมุดน้อยที่เหยียลี่ว์ฉีให้นางตอนนั้น ขณะนั้นนางอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่เวลาว่างก็เปิดอ่าน เวลาผ่านไปจดจำบันทึกเหล่านี้ไว้ในสมอง ขณะนี้ระหว่างความเป็นความตาย วาจาท่อนนี้โผล่มากะทันหัน ขณะเดียวกันนั้นเอง ตำแหน่งตานเถียนร้อนวูบวาบ รู้สึกรำไรว่ากระแสอากาศพวยพุ่ง บุกฝ่าบริเวณท้อง ผ่านสิบสองหลอดลม ร่างกายพุ่งไปข้างหน้าโดยสำนึก

 

 

พริบตาต่อมานางปรากฏกายบนฝั่ง

 

 

ปลายกรงเล็บของสัตว์เกราะเงินที่อยู่ข้างหลังฟาดลงบนผิวน้ำว่างเปล่า

 

 

จิ่งเหิงปัวงงงันชั่วพริบตา

 

 

นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

 

 

การเคลื่อนที่พริบตาของนางทำได้แค่ในอากาศมาโดยตลอด หายตัวจากบนพื้นไปในน้ำได้ แต่หายตัวจากในน้ำไปบนพื้นไม่ได้ อยากขึ้นจากน้ำก็ต้องว่ายขึ้นไปด้วยตัวเอง

 

 

ตอนนี้ เหมือนว่าความสามารถในการเคลื่อนที่พริบตาของตัวเอง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขณะคับขัน?

 

 

พริบตาต่อมานางพบว่าเงาคนกะพริบวูบในป่าไม้ จากนั้นมีลมพัดผ่าน นางรู้สึกว่าลมพัดเย็นทั่วร่าง พอก้มหน้ามอง เปล่งเสียงกรีดร้อง กระโดดลงไปในน้ำดังตูมอีกครั้ง

 

 

ไอ้เวรเอ๊ย เกือบได้วิ่งตัวเปลือยแล้ว

 

 

เดิมทีเจ้าหมาโง่ดีใจที่เห็นนางขึ้นมา ไม่นึกว่าจะเห็นนางวิ่งลงไปอีกครั้ง กระพือปีกตวาดว่า “แสงทองส่องกระถางธูปเกิดควันม่วง ผู้ที่ร่วงไปตายเองโคตรโง่เขลา!”

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวก็ไม่มีเวลามาสนใจเจ้าหมาโง่ นางกระโดดลงมาสู่อันตราย กระแทกใต้ท้องสัตว์นั้น ข้างหลังมีคลื่นน้ำโผล่มาดังซ่า สัตว์เกราะเงินพุ่งออกมาจากผิวน้ำจนได้ พุ่งลงมากลางศีรษะนาง เงาดำใหญ่โตปกคลุมครึ่งทะเลสาบไว้ พอเงยหน้านางมองเห็นฟันคมกริบดุร้ายที่เปื้อนเลือดของสัตว์นั้น

 

 

เงาขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยพุ่งไปทางหัวของสัตว์นั้น ปลายกรงเล็บออกแรงคว้าไปทางลูกตาสีแดงที่โปนออกมาของสัตว์เกราะเงิน

 

 

สัตว์นั้นยืดตัวตรง ฟาดเฟยเฟยลอยไป เงยหน้ามองข้างบน เปล่งเสียงตะโกนร้องคล้ายโกรธแค้น

 

 

ยามที่มันเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นร่องขาวราวหิมะเส้นหนึ่งใต้คอ

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าทันที