ตอนที่ 768

Elixir Supplier

768 ตบจนตาย

 

“ต้านพิษได้ทุกชนิดเลยเหรอ?” เจี่ยจื้อจายถาม

 

“ฉันไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง แต่ฉันได้ยินจากกรรมการคนอื่นมา” เธอตอบ

 

“ไหนนายบอกว่า คนที่ได้เห็นความสามารถของบอสตายหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?” จงหลิวชวนถาม

 

“ฮาฮา ฉันล้อเล่นน่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด พยายามทําให้ดูกระดากน้อยลง “เหมยใช่คนธรรมดาหรือไง?”

 

“ฟังจากที่เหมยพูด ดูเหมือนการฆ่าเขาจะเป็นเรื่องยาก” จงหลิวชวนพูด

 

“ใช่ นายลืมแล้วเหรอว่าเหล่าเซวียตายยังไง?” เธอถาม

 

“รู้สิ ฉันจําได้” เจี้ยจื้อจายพูด

 

“เคยมีคนในองค์กรคิดอยากฆ่าบอสบ้างไหม?” จงหลิวชวนเทชาให้พวกเขา

 

“มีสิ แล้วก็มีมากกว่าหนึ่งคน แถมยังมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย” เธอพูด “ทุกครั้งเป็นพวกเขาที่ล้มเหลว แล้วคนพวกนั้นก็ตายอนาถทุกคน หลังพยายามฆ่าอยู่หลายครั้ง คนที่เหลือก็ได้รู้ว่าการฆ่าบอสเป็นเรื่องยากเกินไป พวกเขาก็เลยยอมแพ้

 

เมื่อได้ยินที่เธอพูด จงหลิวชวนก็ขมวดคิ้ว เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขาคงต้องเปลี่ยนแผน ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เขาก็จะให้น้องสาวของเขาไปเรียนในเมือง เพื่อที่เธอจะได้อยู่ไม่ไกลจากเขา

 

“เฮ้อ นายคิดมากเกินไปแล้ว” เจี้ยจื้อจายพูด “แค่ขอให้อาจารย์ของนายจัดการเขาก็ได้นี่นา ขนาดดาบกับปืนยังทําอะไรเขาไม่ได้ แล้วเขายังต้านพิษได้ทุกชนิดด้วย แค่ตบเขาที่เดียวก็ตายได้แล้ว!”

 

“อาจารย์ที่ไหนเหรอ?” เธอถาม

 

“อาจารย์คนใหม่ของฉันน่ะสิ” เจี้ยจื้อจายพูด “เขามีพรสวรรค์ที่สุดยอด แทบจะเหมือนเทพเจ้าเลยล่ะ!”

 

“จริงเหรอ?” เธอรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินคําพูดเหล่านี้จากปากคนรักของเธอ

 

มันอาจจะเป็นไปได้ว่าฝ่ายนั้นแข็งแกร่งมาก หรือไม่ก็เป็นเจี้ยจื้อจายที่ดื่มมากเกินไป แต่ดูจากสถานการณ์ ในตอนนี้แล้ว เรื่องแรกเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่า

 

“จริงสิ มันคือเรื่องจริง” เจี้ยจื้อจายพูด “เธอคิดว่าความสามารถของหลิวชวนดีมากใช่ไหม? ไม่สิ ฉันควรเรียกเขาว่าศิษย์พี่ถึงจะถูก เขาเรียนทั้งหมดจากอาจารย์คนหนึ่ง ถ้าฉันคิดไม่ผิด เขาเพิ่งจะฝึกกังฟูมากได้แค่ 10 วันเท่านั้น”

 

“เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว เขายังไม่ได้รับนายเป็นลูกศิษย์” จงหลิวชวนพูด

 

“เอาล่ะ เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” เหมยพูด “เลิกคิดเรื่องนั้นได้เลย แล้วกลับไปกับฉัน”

 

“ฉันไม่ไป” เจียจื้อจายพูด “ฉันจะอยู่ฝึกฝนที่นี่”

 

“นายบ้าไปแล้วเหรอ?” เหมยเอื้อมมือไปบิดหูของเขา

 

“โอ๊ย มันเจ็บนะ เจ็บๆๆ” เจี้ยจื้อจายพูด “เหมยเบาๆ ตอนนี้ฉันใจเย็นแล้ว เธอเบาหน่อยได้ไหม?”

 

“กลับกับฉันซะ” เธอพูด

 

“ฉันบอกแล้ว ว่าฉันไม่กลับ ฉันจะอยู่เรียนและฝึกฝนที่นี่” เจียจื้อจายพูด “แล้วอีกอย่าง ร่างกายของฉันก็ยังถูกจํากัดอยู่ ถ้าฉันไปตอนนี้ ฉันก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ ฉันต้องรอให้อาจารย์กลับมาก่อน”

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะอยู่ที่นี่ด้วย ฉันจะคอยดูว่าคนที่นายเรียกว่าอาจารย์เป็นคนแบบไหน” เธอพูด

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย!” เจี่ยจื้อจายดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจูบเธออย่างดูดดื่ม

 

จงหลิวชวนแกล้งไอสองครั้ง เขาคิด พวกเขาเป็นกรรมการขององค์กรจริงๆน่ะเหรอ? ไม่ว่าเขาจะมองยังไง เขาก็ดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

 

“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?” เธอถาม

 

“อีกหนึ่งอาทิตย์” จงหลิวชวนตอบ

 

“ก็ได้ ฉันจะอยู่ที่นี่หนึ่งอาทิตย์” เธอพูด

 

“มีใครรู้ไหมว่าเธออยู่ที่นี่นะ?” เจี้ยจื้อจายถาม

 

“ไม่มี ฉันบอกเสี่ยวเหมยคนเดียวว่าฉันมาที่นี่” เธอพูด

 

“แล้วเครื่องติดตามล่ะ?” เจี้ยจื้อจายถาม

 

“ไม่ต้องห่วง ฉันตรวจดูหมดแล้ว รถก็เปลี่ยนแล้ว” เธอตอบ

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เจี่ยจื้อจายพูด

 

สุดท้าย เธอก็เริ่มต้นการอยู่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้ เธอกับเจียจื้อจายนั่งคุยอยู่ภายในบ้าน

 

“ไม่รู้ว่าพออาจารย์กลับมาแล้วเขาจะคิดยังไง” เจียจื้อจายพูดพร้อมถอนหายใจ

 

“เรื่องที่นายพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ?” เธอถาม

 

“จริงสิ” เจี้ยจื้อจายพูด “ฉันเคยโกหกที่ไหนกัน?”

 

ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง ในตอนที่เธอยกเท้าขึ้นถีบเขาจนลงไปกองกับพื้น

 

“แฮ่ๆ ที่รักอย่าโกรธเลยนะ” เจียจื้อจายพูด “ฉันอยากเรียนกับอาจารย์จริงๆ”

 

“คนที่ชื่อหวังเย้าแข็งแกร่งมากเลยเหรอ?” เธอถาม

 

“เธอไม่ได้เห็นด้วยตาหรือรับรู้ด้วยตัวเองน่ะสิ” เจี้ยจื้อจายพูด “ตอนที่เผชิญหน้ากับเขา ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้ กําลัง ฉันทําอะไรเขาไม่ได้เลยทั้งๆที่อยู่ห่างจากเขาแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาแค่โบกมือและตบอากาศ จากนั้นฉันก็นอนไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว และนั่นก็ทําให้ฉันกลายเป็นอย่างตอนนี้ ฉันอ่อนแอมาก ขนาดจะถ่ายยังไม่มีแรงเลย ความรู้สึกแบบนี้มันทุเรศสุดๆ”

 

“ทําไมนายถึงได้น่ารังเกียจแบบนี้นะ?” เธอถาม

 

“ฉันก็แค่อธิบายให้เธอได้เข้าใจว่า ตอนนี้ฉันรู้สึกได้เรี่ยวแรงขนาดนั้นยังไงล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด

 

“เขาอายุเท่าไหร่?” เธอถาม

 

“เอ่อ ฉันเดาว่าน่าจะน้อยกว่า 30” เขาตอบ

 

“เจี้ยจื้อจาย ฉันให้โอกาสนายอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” เธอพูด “ที่นายพูดเป็นความจริงใช่ไหม?”

 

“เหมย ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แท้ยิ่งกว่าทองคํา24Kซะอีก” เจี่ยจื้อจายตอบ

 

“คนที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน ถึงเขาจะฝึกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็เถอะ?” เธอถาม “ในเมื่อฉันไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี หรือจะเป็นความสามารถพิเศษ?”

 

“ไม่น่าจะใช่” เจียจื้อจายพูด “ดูจงหลิวชวนสิ เขาก็เรียนมาจากไอ้หนุ่มนั่น เวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์เขาก็พัฒนาไปอีกระดับหนึ่งได้แล้ว นี่มันยิ่งกว่าความสามารถพิเศษซะอีก ฉันตัดสินใจจะอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เขากลับมาแล้ว ขอให้เขารับเป็นศิษย์ให้ได้!”

 

“แล้วถ้าเขาไม่รับนายเป็นศิษย์ล่ะ?” เธอถาม

 

“ฉันก็จะดึงดันจนกว่าเขาจะรับฉัน” เลี้ยจื้อจายพูด

 

“ทําไมนายถึงได้อยากเรียนกับเขาล่ะ?” เธอถาม

 

“ฉันอยากออกจากองค์กร” เจี้ยจื้อจายกระซิบบอกในขณะที่เขานอนพังพาบอยู่บนเตียง

 

“อะไรนะ?!” เธอตกตะลึง

 

“เหมย เธอไม่อยากเหรอ?” เขาถาม

 

เธอนั่งเงียบอยู่ที่หัวเตียง

 

“พวกเขาเรียกตัวเองว่าองค์กร แต่ตัวเองก็ไม่ต่างจากฆาตกรกับของผิดกฎหมายหรอก” เจี้ยจื้อจายพูด “กรรมการพวกนั้นก็เหมือนกับนักฆ่าระดับสูง เรามีความสามารถอยู่ในมือ แล้วเราก็สามารถปลดปล่อยตัวเองและเป็นอิสระได้ เมื่อเราอยู่ในองค์กร เราทําได้เพียงเชื่อฟังกฎและถูกจํากัดเอาไว้ ตอนนี้พวกเขามีข้อมูลที่จะใช้จัดการกับพวกเราอยู่ในมือ พวกเราอาจจะถูกจับหรือตั้งค่าหัวเมื่อไหร่ก็ได้ มันรู้สึกเหมือนมีดาบแขวนอยู่เหนือหัวตลอดเวลา ดาบอาจจะร่วงลงมา และฆ่าเราได้ทุกเมื่อด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ สิ่งสําคัญก็คือ พวกเขามีสิ่งที่ใช้จัดการพวกเราได้ แต่พวกเรากลับไม่มีอะไรที่ใช้ต่อต้านพวกเขาได้เลย นี่มันไม่แปลกเหรอ?”

 

“เราทําอะไรไม่ได้นี่” เธอพูด “เรื่องที่พวกเราเคยทํา มันมากพอที่จะทําให้พวกเราถูกยิงจนพรุนได้เลย”

 

“มันเคยไร้หนทาง” เจี้ยจื้อจายพูด “แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันมองเห็นความหวัง ฉันต้องพยายามถ่ายังมีหวังอยู่”

 

“แล้วองค์กรล่ะ?” เธอถาม

 

“องค์กรน่ะเหรอ?” เจี้ยจื้อจายพูด “เราต้องคิดหาวิธีซื้อเวลาเอาไว้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันหายไปสักหน่อย พวกเขาอาจจะชินแล้วก็ได้ แต่เธอจะอยู่ที่นั่นานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกพวกเขาสงสัย”

 

“ฉันจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้เห็น คนที่นายบอกว่ายอดเยี่ยมคนนั้นกับตาตัวเองก่อน” เธอตอบ

 

“ได้อยู่แล้ว เธอจะต้องแปลกใจแน่นอน” เจี้ยจื้อจายพูด

 

ขณะเดียวกันนั้น หวังเย้าก็อยู่ในปักกิ่งอย่างเรียบเรื่อย ในระหว่างวัน เขาจะไปเรียนเป็นเพื่อนซูเสี่ยวซ์วี หรือไม่ก็ไปเดินเล่นในเมืองเพียงลําพัง เขาผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แล้วเวลาห้าวันก็ผ่านไปเพียงพริบตา

 

“ผมคงต้องกลับแล้ว” หวังเย้าพูดกับซูเสี่ยวซวี

 

“ก็ได้ค่ะ งั้นเจอกันอาทิตย์หน้านะคะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ

 

“ไม่ แค่บอกผมว่าเธอปิดเทอมเมื่อไหร่ก็พอ” หวังเย้าพูด “ผมจะมาหาคุณที่ปักกิ่งเอง”

 

“ได้ค่ะ แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน” เธอพูด

 

บ่ายวันนั้น หวังเย้าขึ้นเครื่องมุ่งหน้าออกจากปักกิ่ง ฟ้าสูงเมฆเบ่งบาน เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายลับไป ปล่อยให้คนงามยืนมองส่งอย่างโดดเดี่ยว

 

เขานอนค้างคืนที่เมืองเต่หนึ่งคืน แล้วกลับบ้านในเช้าอีกวัน

 

ทันทีที่เขาไปถึงที่คลินิก จงหลิวชวนก็มาหาเขา “หมอ คุณกลับมาแล้ว”

 

“อืม มีเรื่องอะไรรึเปล่า หลิวชวน?” หวังเย้าถาม

 

“มีเรื่องบางอย่างครับ” จงหลิวชวนพูด เขาบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หวังเย้าฟัง

 

“นักฆ่าสาวเหรอ?” หวังเย้าถาม หมู่บ้านยุ่งเหยิงมากขึ้น ทั้งยังมีคนแปลกประหลาดเข้ามามากขึ้นทุกวันด้วย “งั้นเราไปดูกันเถอะครับ”

 

ทั้งสองไปถึงที่บ้านหลังน้อยของเจียจื้อจาย ภายในบ้าน หญิงสาวกําลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ ส่วนเจี้ยจื้อจายก็กําลังนอนฮัมเพลงอยู่ที่เตียง

 

“โอ้ อาจารย์กลับมาแล้วเหรอ?” เขาอุทานออกมาด้วยความแปลกใจที่ได้เห็นหวังเย้าผ่านทางหน้าต่าง

 

เมื่อได้ยินเสียงเขาพูด เธอก็วางงานในมือแล้วเดินไปที่ลานบ้าน เธอเห็นชายหนุ่มที่ดูมีบุคลิกพิเศษ คล้ายนกกระเรียนหรือไม่ก็ผู้ทรงศีลที่ทรงพลัง เธอประหลาดใจที่ได้พบลักษณะพิเศษแบบนี้บนตัวของชายหนุ่มคนหนึ่ง

 

“อาจารย์กลับมาแล้ว” เจียจื้อจายพูด

 

“อย่างที่ผมเคยพูดไว้ ผมไม่รับคุณเป็นศิษย์” หวังเย้าพูด “จากที่หลิวชวนเล่า ดูเหมือนจะมีแขกคนใหม่มาสินะครับ”

 

ความประทับใจแรกที่หวังเย้ามีต่อหญิงสาวคือ เธอนั้นงดงามเหมือนดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามแหลม

 

“ฉันอยากจะลองดู” อยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา

 

“ลอง?” หวังเย้างนงง

 

“อย่าซนสิ เหมย” เจี้ยจื้อจายพูด