ตอนที่ 1433 ยอดฮ่องเต้หยก

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ภายใต้การพินิจมองอย่างละเอียด บุรุษที่แปลงกายเป็นนกกระสากับเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่เข้ามารับเขาไว้เมื่อครู่ หน้าตาไม่เหมือนกับชาวเผ่าธรรมดาๆ ใบหน้าคล้ายกับเผ่ามนุษย์ แต่หูทั้งสองเรียวแหลม ตรงหน้าผากมีตุ่มนูนๆ สีแดงโป่งออกมา

 

 

ส่วนชายหนุ่มชุดดำที่เมื่อครู่แปลงเป็นวิหคประหลาดนั้น บนหน้าผากมีเขาสีดำเล็กๆ งอกออกมา มุมปากเผยเขี้ยวยาวสองสามชุ่นออกมาคู่หนึ่ง

 

 

ส่วนชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินร้อยกว่าคนที่มุงดูอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนมีจุดที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ บางคนมีจุดที่ไม่เหมือนหลายจุด บางคนมีจุดไม่เหมือนเพียงเล็กน้อย แต่คนเหล่านี้ล้วนมีปีกที่เล็กบ้างใหญ่บ้างที่แผ่นหลัง ยาวหน่อยสั้นหน่อยสีเทาบ้างสีแดงบ้างต่างๆ มากมาย

 

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหิน

 

 

“ความสามารถระฆังสวรรค์สยบมารของเผ่านออีแร้งมีอานุภาพไม่ธรรมดา ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว” บุรุษที่พ่ายแพ้เอ่ยอย่างไม่ยินยอม ถอยกลับไปอยู่ในฝูงชนรวมกับสหายด้วยความแค้นใจ

 

 

“ยังมีสหายท่านไหนอยากขอคำชี้แนะหรือไม่” ชายหนุ่มชุดดำไม่ได้ใส่ใจ กลับเปล่งเสียงท่าสู้กับฝูงชนที่อยู่เบื้องล่าง

 

 

เผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ด้านล่างเกิดเสียงฮือฮาขึ้น แต่ครานั้นไม่มีผู้ใดกล้าออกมาท้าสู้ในทันที

 

 

ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ครั้นเมื่อคิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ฉับพลันนั้นไกลออกไปก็มีคนตะโกนขึ้นว่า

 

 

“มาดูเร็วเข้า บุตรชายของสามสาขาทางปลายสุดของทิศตกตะวันตก เผ่าเบญจลำแสง เผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าแดงสดมาถึงแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินหลังจากที่ฝูงชนด้านล่างพลันตกตะลึงแล้ว ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้น แล้ว เสียงพูดคุยดังขึ้น

 

 

คนที่รู้สึกประหลาดใจแม้กระทั่งหันกายบินออกไปยังจุดที่ไกลออกไป ชั่วพริบตาคนที่อยู่ตรงนั้นก็หายไปเกือบครึ่ง

 

 

ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่กลางาอากาศได้ยินคำว่าเผ่าวิหคสวรรค์ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ

 

 

ในเวลาเดียวกัน ห่างจากยอดเขายักษ์ไปร้อยลี้เศษ วิหคยักษ์รูปร่างประหลาดยี่สิบสามสิบตัวประกอบกับแมงป่องบินสีแดงสดความยาวยี่สิบจั้งเศษที่ประกอบข้าง กำลังบินเคียงกันมาที่ยอดเขายักษ์

 

 

ในบรรดาวิหคยักษ์เหล่านั้น มีตัวที่เป็นสีขาวราวกับหิมะอยู่สองสามตัว ด้านบนมีบุรุษและสตรีอยู่ นั่นก็คือกลุ่มคนที่ออกเดินทางมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าวิหคสวรรค์

 

 

หานลี่นั่งอยู่บนวิหคยักษ์หนึ่งในนั้น

 

 

ในกลุ่มชาววิหคสวรรค์ นอกจากสามบุตรชายที่มีหานลี่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีมหาอาวุโสจินเย่ว์และอาวุโสสือที่ลึกลับผู้นั้นด้วย

 

 

ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามคอยรักษาการณ์อยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์

 

 

ครานี้ผู้ที่มากับพวกเขายังมีคนที่แต่งกายและหน้าตาแตกต่างกันอีกสองกลุ่ม

 

 

กลุ่มหนึ่งมีผมสีม่วงเข้ม ผิวสีแดงอ่อน อีกกลุ่มหนึ่งมีปีกขนาดเล็กหน่อย แต่งกายงดงาม

 

 

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นั่่นก็คือคนของเผ่าแดงสดและเผ่าเบญจลำแสง ทว่าเทียบกับทั้งสองเผ่าแล้ว เผ่าวิหคสวรรค์มีคนอยู่แค่ห้าคน เห็นได้ชัดว่ามีจำนวนคนน้อยมาก

 

 

“อาวุโสจิน ดูแล้วอาวุโสอวี้หวงจิ่งน่าจะรู้ว่าพวกเรามาถึงแล้ว แม้แต่เปลวเพลิงวิญญาณต้อนรับก็ยังปล่อยออกมาแล้ว” หญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่งกายงดงามคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

 

 

กลางอากาศเหนือยอดเขายักษ์ เปลวเพลิงยักษ์ห้าหกสีปรากฎขึ้น แค่หมุนวนเปล่งแสงสว่างวาบก็ปกคลุมไปกว่าครึ่งของท้องฟ้าจนเป็นแสงโชติช่วง

 

 

ปรากฏการที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ แม้นว่าจะอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ กลุ่มของพวกเขาก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

“สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก เวลาผ่านไปไวจริงๆ ชั่วพริบตาก็ผ่านมาสามร้อยปีแล้ว พี่จู้มาที่นี่อีกครั้ง รู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่” จินเย่ว์ตอบรับหันหน้าไปเอ่ยถามชายชราผิวแดงเพลิงคำหนึ่ง

 

 

“จะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! นอกเสียจากว่าพวกเราจะฝึกฝนจนกลายเป็นเทพเซียนได้ หรือบินขึ้นไปในแดนเทพเซียน มิเช่นนั้นหากน้อยหน่อยก็สองสามพันปีมากหน่อยก็สองสามหมื่นปี เจ้ากับข้าก็ต้องกลายเป็นผุยผงเท่านั้น ความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าต่างๆ ก็ต้องสลับกันไปมาเหมือนกันหมด เรื่องที่ข้าเอ่ยเมื่อสองสามวันก่อน อาวุโสจินคิดเห็นอย่างไร?” ชายชราผู้นั้นย้อนถามกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

“ตอนนี้เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมาก แต่เผ่าของข้าสืบทอดกันจนมาถึงทุกวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในสองสามสาขาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด จะยอมทิ้งการถ่ายทอดของตนเองโยนเข้าไปในสาขาอื่นได้อย่างไร เรื่องร่วมมือกันที่พี่จู้เอ่ยระหว่างทาง ข้าขบคิดแล้วก็ทำได้เพียงต้องปฏิเสธแล้ว” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย ขณะตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

       “งั้นหรือ? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในอดีตอาวุโสสือของเผ่าเจ้าสังกัดอยู่ที่เผ่าขนทมิฬ ดูเหมือนว่าจะถูกกลืนกินตอนที่เผ่าของเจ้าเจริญรุ่งเรือง ครานี้เผ่าของเจ้าอ่อนแอแล้ว การเข้าเผ่าที่แข็งแกร่งของพวกเรา และให้ตำแหน่งบุตรชายหลักกับเผ่าอื่น ก็เป็นสัจธรรมความถูกต้องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหตุใดอาวุโสจินต้องเอ่ยอย่างจริงจังขนาดนั้น” ชายชราแซ่จู้เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

 

 

“เรื่องเผ่าขนทมิฬ จะมาเทียบกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ตอนแรกเผ่าขนทมิฬไม่ใช่แค่ไม่มีประมุข ตัวเองยังเผชิญกับแรงกดดันจากศัตรูที่แข็งแกร่ง และเป็นฝ่ายมาของเข้าร่วมกับเผ่าของข้าเอง เผ่าข้าไม่เคยบีบบังคับเขา” หญิงสาวตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

“หึ ตอนนั้นที่เกิดเรื่องมันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ในเมื่อเผ่าของเจ้าปฏิเสธเจตนาดีของเผ่าข้า ก็มีเพียงต้องดูว่าบุตรชายของเผ่าเจ้าจะผ่านการทดสอบหุบเหวหรือไม่แล้ว มิเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าเผ่าต่างๆ ของพวกเราจะยื่นข้อเสนอในการถอดเผ่าของเจ้าออก อย่าลืมล่ะ เผ่าที่สนใจเผ่าของเจ้าไม่ได้มีแค่เผ่าแดงสดอย่างพวกเราเพียงเผ่าเดียว” ชายชราแซ่จู้หัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย

 

 

“พี่จู้ เผ่าของเจ้าคือหนึ่งในสามเผ่าที่แข็งแกร่งในเจ็ดสิบสองสาขาของพวกเรา เหตุใดต้องทำการบีบคั้นว่าจะกลืนกินเผ่าวิหคสวรรค์ให้ได้ หรือว่าเผ่าของเจ้าคิดจะกดเผ่าเก้าเย่ว์?” หญิงสาวผู้งดงามกลอกตาไปมา แล้วฉีกยิ้มหวานหยดขณะเอ่ย

 

 

“ฮูหยินชิว เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อาวุโสอย่างข้าเคยบอกว่าไม่เคราะเผ่าเก้าเย่ว์ตอนไหนกัน” ชายชราแซ่จู้ได้ยินคำพูดของหญิงสาว ก็หน้าเปลี่ยนสีพลางเอ่ยปฏิเสธ

 

 

หญิงสาวฉีกยิ้มครั้นเมื่อกำลังคิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ตรงยอดเขาที่ไกลออกไปกลับมีเสียงไพเราะดังขึ้น จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันสว่างวาบที่ขอบฟ้า ลำแสงผืนใหญ่หมุนวนเข้ามา

 

 

สองสามคนปิดปากฉับไม่พูดอะไร กลุ่มคนทั้งกลุ่มหยุดลงลำแสงหลีก ลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

ชั่วพริบตาลำแสงหลากสีสันก็มาถึงตรงหน้าทุกคน หยุดชะงักมีคนแต่งกายหลากหลายเดินออกมาจากในนั้นสิบคน กว่าครึ่งล้วนมีเรือนผมสีขาว ท่าทางอ่อนแอเพราะความแก่ชรา

 

 

“คารวะเหล่าอาวุโส” จินเย่ว์และชายชราแซ่จู้เห็นคนสิบคนนี้ กลับทยอยกันกระโดดออกจากที่นั่ง แล้วคารวะทั้งสิบคนอย่างนอบน้อม

 

 

“เหล่าสหายไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเรา อาวุโสที่เหลือรอเหล่าสหายอยู่ที่ยอดฮ่องเต้หยก” ฮูหยินชราที่มือหนึ่งค้ำไม่เท้าเอาไว้ในเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มจนตาหยี

 

 

“อันใด หรือว่าสามเผ่าอย่างพวกเรามาช้าที่สุด?” จินเย่ว์ใจเต้น เอ่ยถามอย่างมีมารยาท

 

 

“ไม่ได้มาช้าที่สุด เผ่าหน้าผี เผ่านกเขาพิษทั้งสองเผ่าที่อยู่ทางทิศเหนือสุดมีธุระด่วน ต้องรอให้การทดสอบหุบเหวจัดขึ้นแล้วถึงจะมาถึง ดังนั้นหลังจากที่พวกเจ้าทั้งสามเผ่ามาถึงแล้ว ก็เริ่มการประชุมก่อนได้เลย” ฮูหยินหัวเราะหึๆ ขณะตอบกลับ

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” จินเย่ว์ได้ยินแล้วพลันพยักหน้า

 

 

หานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง กวาดสายตาไปยังคนที่ปรากฎตัวขึ้นใหม่สิบคน ในใจรู้สึกสั่นสะท้าน

 

 

สิบคนนี้คาดไม่ถึงว่ากว่าครึ่งจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมร่างขึ้นไป ฮูหยินชราที่ผู้นำซึ่งกำลังพูดอยู่นั้น แม้กระทั่งไม่อาจมองพลังยุทธ์ออก อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเท่ากับจินเย่ว์ คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมร่างขั้นกลางขึ้นไป

 

 

คนเหล่านี้คืออาวุโสในการประชุมในตำนาน

 

 

ว่ากันว่าเดิมทีคนเหล่านี้คืออาวุโสที่มีชื่อเสียงของเผ่าต่างๆ เมื่ออายุขัยเหลือไม่มาก ก็จะเข้าร่วมชุมนุมผู้อาวุโส และตั้งแต่นั้นก็จะละทิ้งตำแหน่งฐานะเดิมทั้งหมดของเผ่า รับหน้าที่ดูแลเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งหมด

 

 

ครานี้ชายชราแซ่จู้และหญิงสาวเองก็ก้าวขึ้นไปทักทายฮูหยินชราสองสามประโยค ทันใดนั้นกลุ่มคนก็ขับเคลื่อนวิหคยักษ์ตรงไปยังยอดเขาอีกครั้ง โดยมีทั้งสิบคนเป็นผู้นำ

 

 

ชั่วครู่ทุกคนก็มาอยู่ใกล้ๆ กับยอดเขา เบื้องหน้ามีสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อยู่ลางๆ และกลางอากาศก็มีจุดสีดำเล็กบ้างใหญ่บ้างหมุนโคจรอยู่

 

 

หานลี่พิจารณาอย่างละเอียดถึงได้พบว่านั่นคือวิหคยักษ์หลากชนิดนับร้อยนับพันตัวที่กำลังบินไปมาอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นยังมีแมลงบินติดปีกขนาดยักษ์รวมอยู่ด้วย ท่าทางน่าดุดัน

 

 

ห่างจากยอดเขาไปสองสามลี้ เสียง “ปัง” ดังขึ้น สิ่งปลูกสร้างบนยอดเขามีสายรุ้งเจ็ดสีสายหนึ่งพุ่งออกมา แค่เปล่งแสงสว่างวาบก็ตัดผ่านไปในระยะไกลมาอยู่ตรงหน้าทุกคน

 

 

จากนั้นสะพานโค้งขนาดยักษ์ที่วิจิตรงดงามก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคน

 

 

ฮูหยินชราและพวกแค่พลิ้วไหวร่างกาย ก็มาถึงสะพานก่อน จากนั้นฮูหยินชราก็กวักมือเรียกทุกคนด้วยรอยยิ้ม

 

 

“พวกเข้าเองก็ขึ้นไปเถิด” จินเย่ว์ออกคำสั่ง และลงจากวิหคยักษ์ เดินขึ้นไปบนสะพานตามหลังไปติดๆ

 

 

แน่นอนว่าหญิงสาวและคนของเผ่าแดงสดเองก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายเดินรั้งท้าย

 

 

หานลี่เหยียบลงไปบนสะพาน รู้สึกเพียงว่าจุดที่เหยียบอ่อนนุ่ม มีแรงดีดสูง ราวกับว่ากำลังเหยียบลงไปบนเบาะรองนั่งก็ไม่ปาน

 

 

ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจ เขาพิจารณาอย่างละเอียดอีกสองแวบ คิดจะแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ฉับพลันนั้นใต้ฝ่าเท้าพลันสั่นเทา รอบๆ มีลำแสงหลากสีกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้น ห่อหุ้มทุกคนเอาไว้ หลังจากแค่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็พาทุกคนมาอยู่ที่เชิงสะพานอีกด้าน

 

 

น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

 

 

ครานี้หานลี่ไม่ได้สำรวบความแปลกประหลาดของสะพานใต้ร่างแล้ว เป็นเพราะด้านล่างสะพานมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสิบกว่าคนยืนอยู่ กำลัง้จองเขม็งมาที่กลุ่มคนของพวกเขา

 

 

ด้านหลังของพวกเขาลำแสงสีขาวผืนหนึ่งหมุนวนเป็นเกลียว วิหารยักษ์สีเขียวมรกตหลังหนึ่งปรากฎอยู่ลางๆ

 

 

เบื้องหน้าของทุกคนกลับมีคนอยู่แค่สองคน เป็นชายวัยกลางผมสีขาวราวกับหิมะจมูกโด่งรั้นคนหนึ่ง และชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแก้มยาวผิดปกติ ลำคอมีลายสักยันต์สีดำอ่อนอีกคนหนึ่ง

 

 

ชายชราเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหัวเราะหึๆ สะบัดแขนเสื้อเดินมาอยู่ด้านข้างของทั้งสองคน คนที่เหลือกลับกล่าวเข้าไปในฝูงชนแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

“เหล่าอาวุโสพาบุตรชายมาจากที่ไกลโพ้น คงจะลำบากน่าดู ให้เหล่าบุตรชายไปพักผ่อนที่วิหารด้านข้างก่อนเถิด เหล่าสหายก็ไปสนทนากับพวกเราในวิหารก็แล้วกัน เหล่าอาวุโสของเผ่าต่างๆ ก็อยู่ในวิหาร กำลังคุยเล่นกับอาวุโสท่านอื่นอยู่” ชายชราที่มีรอยสักที่คอโค้งคำนับ แล้วเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ

 

 

“อาวุโสหมิงมีมารยาทเกินไปแล้ว พวกเรารับคำสั่งขอรับ!” ชายชราแซ่จู้ของเผ่าแดงสดชิงเอ่ย ตอบกลับด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

แม้ว่าจินเย่ว์และหญิงสาวของเผ่าเบญจลำแสงจะไม่ถูกกับเผ่าแดงสด ครานี้ก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น

 

 

ทันใดนั้นก็หันกายมาออกคำสั่งของพวกของหานลี่ แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในหมอกสีขาวพร้อมกับคนเหล่านั้น

 

 

“บุตรชายทุกคนตามข้ามาเถิด ข้าจะจัดที่พักให้ทุกท่าน” ไม่รู้ว่าหญิงสาวสวมชุดสีขาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นมาปรากฎตัวเบื้องหน้าของพวกหานลี่ทั้งสิบคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พลางเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก