ตอนที่311 ลงมือขั้นเด็ดขาด
หลังจากพวกคนงานท่าเรือเฉียนตงช่วยกันปั่นประสาทอีกฝ่ายเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม ในท้ายที่สุดเป้าหมายของจ้าวเฉียนก็ประสบความสำเร็จ
เช้าตรู่วันนี้ จ้าวเฉียนรีบเดินทางมายังท่าเรือแต่หัววันเพื่อมารับชม‘การประท้วง’
พวกคนงานของท่าเรือเฉียนตงล้วนสามัคคีกลมเกลียว ตั้งใจทำงานกันตั้งแต่เช้า
แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายท่าเรือหัวพวกคนงานกลับเริ่มก่อม็อบขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครทำงานเลยสักคนเดียว
เวลา9:30 น. ผู้จัดการท่าเรือหัวก็เดินทางมาถึง พอเห็นพวกพนักงานเอาแต่รวมตัวจับกลุ่มกันไม่ยอมไปทำงาน เขาก็เริ่มโกรธทันที
ในเวลานี้เอง ไส้ศึกของท่าเรือเฉียนตงที่อยุ่ท่มกลางม็อบของท่าเรือหัวก็เริ่มการแสดงปลุกปั่นผู้คนทันที
“นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำงานไปชีวิตก็ไม่เจริญแบบนี้แล้วเรายังมีหน้าทำต่อได้ยังไง! พวกเราจำไอ้เด็กใหม่จางฟ่าได้ไหม? ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในท่าเรือเฉียนตง ได้เงินเดือนเยอะกว่าเราอีก เยอะจนขนาดที่ว่ามีเงินเหลือไปเที่ยวกับสาวสวย! แล้วพวกเราล่ะ?”
“ใช่แล้ว! ไอ้จางฟ่าแต่ก่อนมันเป็นเด็กเดินบุหรี่ให้ฉันวันละสิบหยวน ประสบการณ์เดินเรือก็แทบไม่มี ถ้าให้ทำงานเดียวกัน ฉันมั่นใจได้เลยว่าตัวเองทำได้ดีกว่าแน่นอน แล้วทำไมฐานเงินเดือนถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวแบบนี้!”
“น้องชายของฉันกับฉันแต่เดิมพวกเราทำงานที่ท่าเรือหัวนี่แหละ ฉันหาเงินได้มากกว่าเดือนละหมื่นหยวนต่อเดือน ครอบครัวฉันต่างยกย่องฉันกันอย่างมาก แต่พอตอนนี้น้องชายของฉันได้ย้ายไปที่ท่าเรือเฉียนตง เงินเดือนของเขาก็เพิ่มขึ้นทันทีเป็นหมื่นห้าพันหยวน สถานะของฉันที่บ้านถูกลดค่าลงทันที คุณลุงคุณป้าต่างยกย่องความสามารถของน้องชายแทนฉันไปแล้ว ทั้งๆที่ฉันทำงานเดินเรือมาสิบปี แต่ทำไมได้แค่หมื่นเดียว ในขณะที่น้องชายฉันเพิ่งทำได้สองสามปี กลับได้ตั้งหมื่นห้า! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”
……………
หลังจากถยอยระบายความในใจกันออกมา คนงานที่เหลือเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจกันมากขึ้น
“เราต้องการเพิ่มค่าแรง!”
“ใช่แล้ว! เราไม่ควรโดดนกดค่าแรงแบบนี้!”
“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรงให้พวกเรา…”
คนงานทั้งหมดในขณะนี้รวมตัวกันประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขาเริ่มส่งเสียงตะโกนดังขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำงาน
ในไม่ช้า อาหมิงก็ต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ด้วยตังเอง เขารีบเอ่ยถามเสียงดังขึ้นทันทีว่า
“ทุกคนเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามีอะไรก็ค่อยว่ากันได้ไหม? วันนี้พวกเรามีเรือสองลำที่ต้องเดินทางนะ จะล่าช้าแบบนี้ไม่ได้!”
“เราต้องการขึ้นค่าแรง!”
“ถูกต้อง! เราควรได้เงินมากกว่าที่ควรได้ตอนนี้!”
“ผมไม่ยอมหรอกนะครับ ประสบการณ์การเดินเรือของพวกเราการันตีไม่น้อยกว่าสิบปี แล้วทำไมถึงได้น้อยกว่าพวกมือใหม่ของท่าเรือเฉียนตงอีก!”
“ทุกวันนี้ผมต้องกินข้าวคลุกเกลือเพื่อประหยัดไปจ่ายค่าบ้าน! ต้องประหยัดค่ากินค่าเรียนของลูกกับเมียอีก! ดังนั้นผมต้องการค่าแรงเพิ่ม!”
“ค่าแรงเพิ่ม! ค่าแรงเพิ่ม!”
…………
อาหมิงสงสัยอย่างมากว่าทำไมจู่ๆคนพวกนี้ถึงประท้วงอยากได้ค่าแรงเพิ่มกันอีกแล้ว? พอจับใจความฟังเนื้อความที่แต่คนละพูดออกมาถึงจะค่อยเข้าใจ ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากการสนทนาระหว่างคนงานด้วยกันเองระหว่างท่าเรือสองฝ่าย และนี่ทำให้คนงานของทางท่าเรือหัวรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อตัวพวกเขาเอง
แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะสองท่าเรืออยู่ติดกันจะให้ห้ามไม่ให้ติดต่อสัมพันธ์เลยคงจะไม่ได้ และที่สำคัญคือ ณ ปัจจุบันทัศนคติของพวกเขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะให้เปลี่ยนทันทีตอนนี้ก็คงทำไม่เช่นกัน
แต่เรื่องความน้อยอกน้อยใจแบบนี้ก็ควรพูดคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ประท้วงท่าเดียว
โดยเฉพาะกับวันนี้ที่ต้องส่งเรือใหญ่ทั้งสองลำออกจากท่า จะไม่พอใจแค่ไหนก็ช่วยรวบยอดกันพรุ่งนี้ได้ไหม ส่วนวันนี้ก็ช่วยทำงานกันให้เต็มที่กันไปก่อน
นี่คือสิ่งที่อาหมิงคิด แต่พวกคนงานกลับไม่คิดแบบนั้น ที่เลือกประท้วงวันนี้ก็เหตุผลก็เพราะวันนี้มีเรือใหญ่สองลำออกจากท่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นวันธรรมดาทั่วไป ต่อให้ประท้วงยังไงพวกผู้บริหารระดับสูงคงไม่มาสนใจแน่นอน
เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานเริ่มแสดงความรุนแรงออกมาจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว หัวหมิงก็รู้ตัวทันทีว่านี่เกินความสามารถตนเองไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบโทรเรียกหัวฉีเฉินมาจัดการทันที
หัวฉีเฉินรับสายและฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะรับโทรไปหาหัวเซินซวนต่อทันควัน
หัวเซินซวนทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างช่วยไม่ได้ และรีบพาผู้คนอื่นๆมาที่ท่าเรือทันที
หัวฉีเฉินตะโกนเสียงดังฟังชัดไปว่า
“ทุกคน! จะร้องขออะไรก็ได้พวกเราไม่ว่า แต่จะมาหยุดงานส่งเดชแบบนี้ไม่ได้! ไม่ว่าทุกคนอยากเรียกร้องอะไรขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหม? วันนี้พวกเราต้องส่งสินค้าโกดังใหญ่ถึงสองลำ จะให้เกิดความล่าช้าไม่ได้โดยเด็ดขาด!”
“ถ้าไม่แก้ปัญหาภายในวันนี้ พวกเราจะไม่ทำงาน!”
“ใช่! จนถึงขนาดนี้แล้วพวกคุณก็เอาแต่สนใจในเรื่องของตัวเอง เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องบ้างไหม!”
“เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง! เพิ่มค่าแรง!”
…………..
หัวเซินซวนกัดฟันแน่นและกล่าวขึ้นว่า
“ฉีเฉิน รีบเห็นด้วยกับคำขอของพวกมันเร็วเข้า ในเวลาแบบนี้ เราไม่ควรสร้างความบาดหมางกับพวกเมล็ดพืชดาราจกับไชน่าปิโตรเคมี ไม่อย่างนั้นพวกเราจะประสบปัญหาครั้งใหญ่!”
หัวฉีเฉินเอ่ยตอบน้ำเสียงแผ่วเบาดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
“แต่พวกเขาขอมากเกินไป เราไม่มีปัญญาจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ให้ทุกคนไหว!”
หัวเซินซวนยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมา เขาไม่พอใจอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของหัวฉีเฉินลูกชายเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หัวฉีเฉินจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหัวรุ่นต่อไปยังไง?
สมาชิกตระกูลหัวรับร้อยต้องพึ่งพาธุรกิจท่าเรือหัวเพื่อกินอยู่อาศัย แล้วหัวฉีเฉินที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลยแบบนี้ เขายังเหลือคุณสมบัติเข้าสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่?
หัวฉีเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด สถานการณ์ตอนี้ของเขาไม่ต่างอะไรจากเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางที่ไม่รู้จะแตกตอนไหน ถ้าเดินผิดสิ่งที่มาเดิมพันคือตำแหน่งผู้นำตระกูลหัว
หัวเซินซวนเองก็พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวภายในใจลงและกล่าวกับหัวฉีเฉินต่อว่า
“รีบๆสัญญากับพวกมันไปก่อน ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเลื่อนวันจัดส่งน้ำมันกับเมล็ดพืชได้อีกแล้ว เข้าใจไหม!?”
หัวฉีเฉินรีบพยักหน้าตอบโดยไว และหันศีรษะป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า
“ทุกคน! ผมขอสัญญาว่าจะทำตามคำร้องขอของทุกคน! พวกเราจะเซ็นสัญญาเพิ่มค่าแรงให้ทันทีหลังจากขนส่งสินค้ารอบนี้เสร็จ ตกลงไหม?”
“ไม่! พวกเราต้องเซ็นสัญญาก่อนถึงจะยอมทำงาน! คุณหักหลังพวกเรามาสองรอบแล้ว! ดังนั้นเราไม่เชื่อใจคุณแล้ว!”
“ใช่! เรื่องเครื่องปรับอากาศจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีให้ใช้เลย! เรื่องประกันสังคมก็เอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง! ความไว้ใจของพวกเรามันไม่เหลือแล้ว! ดังนั้นต้องให้เซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้!”
“เซ็นสัญญา! เซ็นสัญญา!”
………..
หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืนทันที ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ เขาต้องงัดมาตรการพิเศษซึ่งเป็นไพ่ตายออกมาใช่แล้ว
หัวเซินซวนคว้าโทรโขงตะโกนลั่นว่า
“ทุกคน! ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของประธานใหญ่อย่างฉัน! ดังนั้นแล้วฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ ขอถอดถอนตำแหน่งรองประธานบริหาร หัวฉีเฉินออกจากตำแหน่ง และอาหมิงจากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป หัวหน้าฝ่ายการเงินและฝ่ายขนส่งก็ด้วย! เราจะดำเนินการปรับเปลี่ยนแผนงานกันใหม่ในภายหลัง ตอนนี้ฉันก็ขับไล่ไอ้พวกมีปัญหาออกไปหมดแล้ว ทีนี้ทุกคนคงจะเชื่อใจกันบ้างแล้ว ถ้าหมดศรัทธากับท่าเรือหัว อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อใจหัวเซินซวนคนนี้สักครั้ง!”
คำพูดประโยคนี้ของหัวเซินซวนทำให้สถานการณ์โดยรอบทั้งหมดพลันเงียบสนิทลงทันใด
หัวฉีเฉินเหลือบมองพ่อของเดขาด้วยความกังวล และรีบเอ่ยถามขึ้นว่า
“พ่อ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ แล้วทำไมถึงต้องไล่ผมออกด้วย?”
หัวเซินซวนตวาดสวนกลับไปว่า
“แกเป็นถึงรองประธานบริหารใหญ่ แล้วปล่อยให้ท่าเรือหัวของเราวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง แถมยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย ก็สมควรแล้วที่โดนถอดจากตำแหน่ง!”
หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นสีหน้ารวนเรชักไม่แน่ใจว่า
“พ่อ! ผมมีหน้าที่บริหารเครืออสังหาเป็นส่วนใหญ่นะ แต่ทางนี้อาหมิงทำได้ไม่ดีเอง แล้วทำไมถึงโยงมาหาผมด้วย! นี่ไม่เกี่ยวกันเลย!”
ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนดูเย็นเฉียบขึ้นทันใด เขากล่าวว่า
“หื้ม? นี่แกยังจะแก้ตัวอีกงั้นเหรอ?”
หัวฉีเฉินกล่าวแย้งขึ้นทันที
“พ่อ! ถ้าพ่อตัดสินอย่างยุติธรรมผมก็น้อมรับ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับตัวผมเลย!”
“อวดดี! ฉันอุตส่าห์คาดหวังในตัวแกว่าจะเข้ามารับสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากฉันได้ ปรากฏว่าฉันคิดผิด! ไสหัวไปซะ!”
หัวเซินซวนคำรามเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัด
หัวฉีเฉินที่โดนพ่อดุด่ากระทั้งไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองได้ ก็ได้แต่สบถพึมพำด้วยคามโกรธและหันหลังจากไปโดยตรง
อาหมิงรีบก้าวย่างออกไปข้างหน้าและกล่าวว่า
“ท่านประธาน ผมไม่ดีเองครับและรู้ตัวว่าผิดจริงๆ แต่ผมขอร้องเถอะครับ ให้โอกาสผมแก้ไขอีกสักครั้ง ผมจะพิสูจน์ให้ประธานเห็นเองว่าผมสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้!”
“เหอะ เหอะ…ไม่จำเป็น ไสหัวไป!”
หัวเซินซวนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย
อาหมิงไม่เหลือความมั่นใจใดๆอีกต่อไป แม้แต่หัวเรือใหญ่สุดแห่งตระกูลหัว หัวเซินซวนยังขับไล่เขา แล้วเขายังจะทำอะไรได้? จึงทำได้เพียงหันหลังเดินคอตกจากไป