ตอนที่ 261-2 การต่อสู้ระหว่างพ่อลูก

ชายาเคียงหทัย

บนรถม้า ม่อตัวน้อยทิ้งตัวอยู่บนตักของมารดา ส่งสายตาดูถูกเสด็จพ่อของตนแทนท่านลุง

แต่ม่อซิวเหยาหาได้สนใจไม่ เลิกคิ้วขึ้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าหนู เจ้าจะไปเข้าใจอันใด ใช้คนต้องใช้ให้สุดความสามารถ ใช้ของก็ต้องใช้ให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ หรือจะเรียกอีกอย่างว่า รู้จักใช้คนให้เกิดประโยชน์ ท่านตากับท่านลุงเจ้าในเมื่อเก่งกาจถึงเพียงนั้น เหตุใดข้าถึงต้องไปเหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงานไร้สาระพวกนั้นด้วยเล่า ในซีเป่ยข้า เสด็จพ่อของเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด ข้าเพียงต้องวางทิศทางและเป้าหมายให้ชัดเจน จากนั้นก็จะมีคำจำนวนนับไม่ถ้วนที่จะทำทุกทางเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น”

“อู้งาน! ท่านลุงบอกว่าฮ่องเต้ที่อู้งานไม่สนใจราชกิจเป็นประมุขที่ไม่ได้ความ ดังนั้นท่านอ๋องที่อู้งานไม่สนใจงานการก็เป็นท่านอ๋องที่ไม่ได้ความเช่นกัน!” เจ้าซาลาเปาขาวอวบตัวน้อย นั่งอยู่บนตักเยี่ยหลี ถกเถียงเรื่องความขยันขันแข็งด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอให้เรียกว่า ข้าบริหารงานได้เป็นอย่างดี ขอบคุณ” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเกียจคร้าน มองบุตรชายที่ทุ่มเถียงในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกด้วยสายตาสงสาร

เจ้าเด็กโง่ ถูกท่านลุงเจ้าปั่นหัวแล้วยังไม่รู้ตัวอีก เขาก็แค่กลัวว่าพอเจ้าโตขึ้นแล้ว เจ้าจะไม่ทำอันใดเลยเช่นเดียวกับพ่อเจ้า จนต้องไปเหนื่อยเขาอีกก็เท่านั้น

เพียงแต่ เสด็จพ่อของเจ้าไม่มีทางให้เจ้าเปลี่ยนมาเป็นแบบข้าเด็ดขาด เพราะข้ากำลังรอเจ้าโตแล้วมารับช่วงต่อข้าอยู่นี่ล่ะ ถึงยามนั้นข้าจะพาอาหลีบินหนีหายไปให้ไกลทีเดียว ท่านแม่อุ้มข้าหน่อย ฝันไปเถอะ

ซาลาเปาน้อยที่ไม่รู้ว่าถูกพ่อตนเองปั่นหัว ทั้งยังถูกท่านลุงปั่นหัวถึงกับถลึงตาโต “ใช่ที่ไหนกัน! ท่านลุงกล่าวไว้ คนที่ขยันขันแข็งต่างหากถึงจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี!” สิ่งที่ท่านลุงพูดล้วนถูกต้องทั้งสิ้น

“ขอบใจที่เตือนนะ ข้า พ่อเจ้าไม่ใช่ฮ่องเต้เสียหน่อย” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างหมดสนุก

ถึงแม้จะร่ำเรียนมาไม่น้อย แต่ซาลาเปาน้อยที่อายุห้าขวบ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรับรู้ถึงความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างท่านอ๋องกับฮ่องเต้ ว่าต่างกันมากมายเพียงไร แต่ถึงกระนั้นในพื้นที่เขตซีเป่ยนี้ ความต่างระหว่างฮ่องเต้กับท่านอ๋องก็มิได้มากมายอันใดนักจริงๆ

ความเข้าใจของสหายม่อตัวน้อยก็คือ ที่อื่นๆ มีท่านอ๋องอยู่จำนวนมากมาย ดังนั้นท่านอ๋องจึงต้องเชื่อฟังฮ่องเต้ แต่ในซีเป่ยมีเพียงพ่อของเขาที่เป็นท่านอ๋อง อีกทั้งยังไม่ต้องฟังคำสั่งของฮ่องเต้อีกด้วย ดังนั้นท่านอ๋องอย่างพ่อของเขานี้จึงมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ทั้งยังเป็นท่านอ๋องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหล้านี้อีกด้วย

ฮ่องเต้มีดีอันใดกัน ที่ซีหลิงมีหนึ่งองค์ ต้าฉู่มีหนึ่งองค์ เป่ยหรง หนานจ้าวก็มีอีกแคว้นละหนึ่งองค์ ฮ่องเต้มีเยอะก็เท่ากับไร้ค่า เพียงแต่ท่านอ๋องกลับมีเพียงหนึ่งเดียว หากจะเป็นก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวที่มีคุณค่าที่สุดเท่านั้น

ความคิดสุดแสนประหลาดของม่อตัวน้อยนี้ ทำให้การสถาปนาฮ่องเต้แห่งแคว้นแคว้นหนึ่งต้องล่าช้าไปหลายปีดีดักเลยทีเดียว

เมื่อเถียงสู้เสด็จพ่อไม่ได้ ม่อตัวน้อยก็หันไปออดอ้อนออเซาะกับอกของมารดา พร้อมส่งเสียงหึหึออกมาแทน

ม่อซิวเหยาก็หาได้สนใจไม่ ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าลูกชาย ท่านตาทวดของเจ้าคงสอนเจ้าเรื่องประวัติศาสตร์มาไม่น้อย ในประวัติศาสตร์มีทั้งฮ่องเต้ที่สิบวันครึ่งเดือนถึงจะออกว่าราชการครั้งหนึ่ง แต่ประชาชนก็ยังอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข และก็มีฮ่องเต้ที่ตื่นตั้งแต่ยามห้า กว่าจะนอนก็ดึกดื่นค่อนคืน แต่แคว้นก็ยังล่มสลาย ดังนั้นการจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือเลวนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดโดยตรงกับความขยันขันแข็งไม่”

ม่อตัวน้อยหยุดใช้ความคิดเล็กน้อย แล้วก็กลับขึ้นนั่งบนตักของมารดาอีกครั้ง เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ นั่นยังเกี่ยวข้องกับความฉลาดหลักแหลมอีกด้วย เจ้างั่งที่ตื่นยามห้านอนดึกดื่นค่อนคืนที่เสด็จพ่อเอ่ยถึง ก็คือฮ่องเต้ที่โง่เขลาของต้าฉู่ในยามนี้” พูดจบ ม่อตัวน้อยยังได้พยักหน้าหนักๆ เป็นการยืนยันความคิดของตนเอง

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าจริงจังเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็อดรู้สึกสนุกขึ้นมาไม่ได้ เขายิ้มเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขานั้นเป็นเจ้างั่ง แคว้นเขายังไม่ล่มสลายเลยนะ”

ม่อจิ่งฉีตื่นยามห้า นอนดึกดื่นค่อนคืนจริงๆ เพียงแต่อาจมิใช่ด้วยเพราะมีต้นเหตุจากความขยัน ม่อซิวเหยาคิดว่า สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากการที่เขาคิดจะขวางคนนู้นคนนี้ แล้วนอนไม่หลับเสียมากกว่า

ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เขาต้องเป็นเจ้างั่งสิ เขาไล่เสด็จพ่อออกมา แล้วยังไล่ท่านตากับท่านลุงออกมาอีก แล้วเขายังโปรดปรานตระกูลเสนาบดีหลิ่วที่ชั่วร้ายที่สุดพวกนั้น ไม่ชอบท่านแม่ของพี่อู๋โยว แม้แต่มารดากับน้องชายแท้ๆ ของเขาก็ยังไม่ชอบเขา พี่อู๋โยวก็ไม่ชอบเขาแล้วเหมือนกัน ท่านลุงใหญ่บอกว่า เช่นนี้เรียกว่าทำลายกำแพงเมืองตนเอง เฟิ่งซานบอกว่าเขาทำได้ดีจนสมควรตาย”

เยี่ยหลีที่เดิมทีฟังอยู่ด้วยความสนใจ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่ไปเรียนรู้เรื่องไร้สาระอันใดมากันนี่

พวกเขาพูดคุยหยอกเย้ากันตลอดทาง เวลาดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็เป็นเวลาเที่ยงเสียแล้ว รถม้าที่บรรทุกกลุ่มคนคณะหนึ่งหยุดจอดลงตรงหน้าภูเขาลูกหนึ่ง เมื่อลงจากรถม้าแล้ว การเดินทางต่อจากนี้จำต้องลงเดินด้วยเท้า

ม่อซิวเหยาไม่มีทางยอมให้เยี่ยหลีอุ้มม่อตัวน้อยที่มีแววว่าจะอ้วนท้วนแล้วอย่างแน่นอน เมื่อต้องเดินไประยะทางไกลๆ เช่นนี้ จึงต้องเป็นตนที่คอยอุ้มเขาเดินไป

ม่อตัวน้อยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเสด็จพ่อของเขา กลับไม่ดูอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขาทิ้งตัวลงด้วยความสบายใจ สายตาแห่งความใคร่รู้มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา พลางเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”

เยี่ยหลีอมยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไปแล้วเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”

อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ก็มิได้เลวร้ายนัก ยามปกติทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ แต่ก็มองออกว่า เอาเข้าจริงม่อตัวน้อยก็มิได้รู้สึกไม่ดีอันใดกับท่านพ่อที่ไร้ความปราณีของเขา มิเช่นนั้นแล้ว คงไม่อยู่ในอ้อมแขนของพ่อตนด้วยความยินยอมพร้อมใจเช่นนี้

คนกลุ่มนั้นเดินขึ้นเขาไป ผ่านไปไม่ถึงห้าลี้ การอารักขาก็ค่อยๆ เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งเข้มงวดมากขึ้น ตลอดทางทหารที่รักษาการณ์อยู่ ต่างพากันหันมาทำความเคารพคนทั้งสอง จนเมื่อถึงปากประตูหนึ่ง ถึงได้มีคนออกมาขวางไว้ “ป้ายคำสั่ง รหัสผ่าน!”

ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยารู้ถึงสถานที่นี้อยู่แล้ว แต่ด้วยเพราะสิทธิขาดทั้งหมดได้ยกให้เยี่ยหลีเป็นผู้จัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมาที่นี่จริงๆ มาก่อน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็อดอึ้งไปเล็กน้อยไม่ได้ อมยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็ต้องใช้ป้ายคำสั่งกับรหัสผ่าน?”

ทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่หน้าประตู หาได้สะทกสะท้านไม่ “ป้ายคำสั่ง รหัสผ่าน”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วหันไปหาเยี่ยหลี ด้วยสัมผัสที่ว่องไวของเขา จึงรับรู้ได้ว่าบริเวณด้วยรอบมีธนูอยู่หลายร้อยดอกที่กำลังเล็งตรงมายังจุดที่พวกเขาอยู่ หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าป้ายคำสั่งกับรหัสผ่านแล้วล่ะก็ ม่อซิวเหยาไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย ว่าทหารเหล่านี้จะยิงธนูออกมาจริงๆ

เยี่ยหลีหยิบป้ายคำสั่งที่หน้าตาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งออกมาส่งให้เขา พร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “วิญญาณทหาร รหัสตอบกลับ”

ทหารผู้นั้นตรวจตราป้ายคำสั่งชิ้นนั้น เมื่อมั่นใจว่าเป็นของแท้หรือของปลอมแล้ว ถึงได้ส่งกลับให้นาง พร้อมตอบว่า “ไม่หวาดหวั่น พระชายาเชิญด้านใน”

เมื่อเข้าไปแล้ว ตลอดทางยังต้องผ่านปากประตูคล้ายๆ กันนี้อีกสามสี่ประตูด้วยกัน รหัสผ่านของแต่ละประตูล้วนไม่เหมือนกัน เมื่อรวมกับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์กับการป้องกันเช่นนี้ ต่อให้เป็นม่อซิวเหยาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถบุกเข้ามาที่นี่ได้โดยไม่บาดเจ็บ

“อาหลี ข้านึกสงสัยขึ้นไปทุกทีแล้วว่าที่นี่คือสถานที่เช่นไรกันแน่”

สถานที่ลึกลับแห่งนี้ ถือว่าอยู่ห่างจากเมืองหลีไม่มากนัก แต่กลับไม่มีผู้ใดคาดถึงว่า ในสถานที่ที่เดิมทีก็ไม่สะดุดตาแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นสุสานหลวงที่แท้จริงของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน หรือจะว่า เป็นสถานที่เก็บสมบัติลับก็ว่าได้

สุสานหลวงแห่งนี้มิได้หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนสุสานหลวงทั่วไป และถึงขั้นเทียบไม่ได้กับสุสานลวงที่อยู่ใกล้ๆ หงโจวแห่งนั้นด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้วก็แค่พอฝืนเรียกได้ว่าเป็นวังใต้ดินอันกว้างขวางใหญ่โตที่สร้างขึ้นในภูเขาเท่านั้น ภายในมิได้มีหินสลักชิ้นใหญ่หรือการประดับตกแต่งที่งดงามหรูหรา ไม่มีเงินทองอัญมณีหรือสิ่งของมีค่าที่แปลกประหลาด เพียงดูประหนึ่งเหมือนวังใต้ดินหน้าตาธรรมดาๆ เท่านั้น หากคนที่ต้องการค้นหาสมบัติเข้ามาที่นี่ จะต้องผิดหวังขนานหนักอย่างแน่นอน

แต่ในยามนี้ ที่นี่กลับมีคนเดินผ่านไปผ่านมาด้วยความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย

ม่อซิวเหยามองคนเหล่านั้นที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการผลิตอาวุธเหล็กหน้าตาประหลาดด้วยความใคร่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงจุดที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด ที่มีคนจำนวนมากกำลังล้อมรอบมุงดูเสาทองแดงที่ตรงกลางกลวง ที่ตั้งอยู่บนรถคันเล็กๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออันใด แต่เมื่อได้เห็นเสาทองแดงที่ตรงกลางกลวงโบ๋นั้นแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด สัญชาตญาณม่อซิวเหยาถึงรับรู้ได้ถึงความอันตราย

เขาค่อยๆ ขยับออกห่างจากเสาทองแดงต้นนั้นเงียบๆ ม่อซิวเหยาผินหน้าไปเลิกคิ้วให้เยี่ยหลี “อาหลี สิ่งนี้คือของที่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนทิ้งไว้หรือ ว่าตามตรง ข้ายังมองไม่ค่อยออกว่าของพวกนี้คืออันใดกันแน่”

เยี่ยหลีมองเขา พลางถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่า ทำเช่นนี้เรียกว่าดีหรือไม่ดี”

คราแรกที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ เมื่อได้เห็นสิ่งที่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนเหลือทิ้งไว้ นางก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็บังเกิดความลังเลสงสัย หากมิได้ผ่านวิวัฒนาการตามธรรมชาติแล้ว จะข้ามจากยุคอาวุธเย็น * ไปสู้ยุคอาวุธร้อน **เลยจะดีจริงๆ หรือไม่ เชื่อว่าผู้อาวุโสท่านนั้นก็คงลังเลตัดสินใจไม่ได้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่เคยถูกใช้มาก่อน ในประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์ก่อน จึงไม่เคยเห็นสิ่งของที่ไม่ควรปรากฏอยู่ในยุคสมัยนี้ให้ได้เห็น

“เช่นนั้น…ยามนี้อาหลีคิดดีแล้วหรือยัง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามยิ้มๆ

เยี่ยหลียิ้มน้อย “ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน”