ตอนที่ 306

The Divine Nine Dragon Cauldron

“เจ้าตำหนักหลิง ข้าได้รับสั่งให้สืบสวนเรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องเข้ามาแทรก!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีพูดอย่างเย็นชา

 

หลิงเสี่ยวเทียนสีหน้าเรียบเฉย

 

“รองเจ้าตำหนักของข้าต่อสู่กันเองในเขตตำหนักรองของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะปิดตากับเรื่องนี้ได้รึ?”

 

“หึหึ…”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะ

 

“เจ้ายังมีหน้าเข้ามาสอดแม้เจ้าจะดูแลรองเจ้าตำหนักของตัวเองไม่ได้รึ?”

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ…หลิงเสี่ยวเทียนนั้นไร้ความสามารถ เขาปล่อยให้คนของตัวเองต่อสู้กันเอง จนทำให้อาณาจักรเกิดความสูญเสีย

 

หลิงเสี่ยวเทียนหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาละสายตาออกไป

 

ซือหยูมองเขาจากด้านข้างด้วยความรู้สึกผิด

 

หลิงเสี่ยวเทียนมีหลายเรื่องให้ทำอยู่แล้วในการดูแลตำหนักรอง แต่เขาก็ถูกรบกวนและเยาะเย้ยเพราะซือหยู

 

“ผู้ตรวจการไป่ฮี ถ้าเจ้ามีเวลาพูดถึงคนอื่น เจ้าควรจะกลับมาสนใจเรื่องของเจ้าซะก่อน”

 

ซือหยูพูดถากถางกลับไป

 

ฟึ่บ–

 

แววตาดุร้ายมองไปที่ซือหยูราวกับจะเจาะตัวเขาให้ทะลุ

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีมองซือหยูที่นั่งอยู่และพูดช้าๆ

 

“ข้าอนุญาตให้รองเจ้าตำหนักพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

ตำแหน่งของซือหยูนั้นต่ำต้อยในสายตาเขา

 

“ถ้าเจ้าอยากจะพูด ข้าก็จะถามเจ้า เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีที่ดูถูกเขาสอบสวนตรงๆ

 

ซือหยูแอบหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร ผู้ตรวจการไป่ฮีได้รับคำสั่งให้มาสืบเรื่องราวแต่ก็ถามราวกับว่าซือหยูเป็นคนผิด แม้ว่าจะยังไม่รู้ถึงข้อสิ้นสุดน่ะรึ?

 

ซือหยูส่ายหัว

 

“ผู้ตรวจการ ข้าทำผิดอะไรรึ?”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะอย่างเย็นชา

 

“จนถึงขั้นนี้เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกรึ? เจ้าตำหนักซื่อเหยากับเฟิงฉิงสารภาพหมดแล้ว ซางเจี้ยนถูกเจ้าสังหาร! แต่เจ้าก็ยังไม่รับข้อกล่าวหา ข้ารับเจ้าไม่ได้จริงๆ!”

 

สองคนนั้นสารภาพรึ? ซือหยูถอนหายใจ

 

ต่อหน้าตำหนักหลัก สุดท้ายทั้งสองก็ไม่แน่วแน่พอและถูกบังคับให้สารภาพ

 

“โอ้? ทำไมซางเจี้ยนถึงถูกฆ่าเล่า? ข้าอยากรู้นักว่าสองคนนั้นพูดอะไร?”

 

ซือหยูยังคงใจเย็น ไม่แสดงสีหน้าแม้แต่น้อย

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีใบหน้าบิดเบี้ยวแต่ก็ซ่อนเร้นได้อย่างรวดเร็ว

 

“เหตุที่เขาถูกสังหารไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าต้องยอมรับว่าเจ้าฆ่าคนไปก็เท่านั้น!”

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยอมรับความผิดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็จงคุกเข่ารับการลงโทษ!”

 

เพียงไม่กี่ประโยคเขาก็ตัดสินประหารซือหยู!

 

เขาไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย

 

“หึหึ ผู้ตรวจการไป่ฮี ข้ายังอยู่นี่นะ!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนไม่ขยับตัว เขาหัวเราะอย่างใจเย็น

 

แต่ทุกคนที่ได้ยินก็บอกได้เลยว่ามีความโกรธอยู่ในเสียงของเขา

 

ผู้ตรวจการรไป่ฮีไม่สนใจ

 

“หลักฐานชัดแล้วจะต้องพูดอะไรกันอีก? ตามกฎของอาณาจักร เขาต้องถูกประหาร!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนลูบถ้วยชาด้วยนิ้วและพูดอย่างใจเย็น

 

“ผู้ตรวจการไป่ฮี ถ้าเจ้าดื้อด้านไม่สนใจชีวิตผู้คน ข้าคงต้องบอกเรื่องนี้ถึงตำหนักหลัก ราชาแห่งความมืดจะมาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้”

 

คำว่า ‘ราชาแห่งความมืด’ นั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดใส่ไป่ฮีจนชักสีหน้า

 

ในนามเจ้าตำหนัก หลิงเสี่ยวเทียนมีโอกาสที่จะได้พบกับราชาแห่งความมืดเป็นการส่วนตัวทุกปี เพื่อการบ่มเพาะพลังหรือการได้รับรางวัล เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนในการดูแลหนึ่งในตำหนักรองทั้งสี่

 

นอกจากจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ด เจ้าตำหนักทั้งสี่ก็คือคนที่ใกล้ชิดกับราชาแห่งความมืดที่สุด

 

หากเป็นเช่นนั้น หลิงเสี่ยวเทียนก็แค่ทิ้งเรื่องการบ่มเพาะพลังและขอให้ราชามาจัดการเรื่องนี้แทน

 

หากการสืบสวนบ่งบอกว่าผู้ตรวจการไป่ฮีได้ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ…ก็ไม่มีผู้ใดในโลกนี้รักษาชีวิตของเขาได้

 

สีหน้าดุร้ายของไป่ฮีลดลงและเป็นมิตรมากขึ้น

 

“พูดอะไรกันเล่า เจ้าตำหนักหลิง ข้าทำตามคำสั่ง ข้าต้องทำตามกฎและดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมอยู่แล้ว”

 

“ข้าเพียงแค่ตั้งใจจะทดสอบการตอบโต้ของเจ้าตำหนักหยินหยูก็เท่านั้น”

 

เมื่อไป่ฮีพูดปัด หลิงเสี่ยวเทียนก็พูดออกมา

 

“หากเจ้าเป็นธรรม ข้าก็ไม่เข้าแทรก”

 

“ต่อได้”

 

ราวกับเขากำลังสั่งคนของตัวเอง

 

แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นรู้สึกผิดและต้องอดทนเอาไว้

 

เขามองซือหยูด้วยความชิงชังเล็กน้อย

 

“พูดมา เจ้าฆ่าซางเจี้ยนเพราะเจ้าแบ่งสมบัติไม่ได้ใช่หรือไม่? จงพูดความจริง โทษของเจ้าจะได้กลายเป็นเบา การขัดขืนจะทำให้เจ้าถูกลงโทษ!”

 

ซือหยูยิ้ม

 

“เช่นนั้นเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าข้าผิดหรือไม่สินะ?”

 

ไป่ฮีโกรธเกรี้ยว

 

“เรากำลังสืบสวนเรื่องคดีของเจ้า ร่วมมือให้ดีแล้วเจ้าจะได้รับโทษสถานเบา”

 

ถ้าซือหยูยอมตามเขา ซือหยูก็คงจะตายเร็วขึ้น!

 

“ดูเหมือนว่าความผิดข้าจะยังไม่ถูกตัดสิน!”

 

ซือหยูยิ้มอย่างเย็นชา

 

“เช่นนั้นข้าก็อยากจะถามผู้ตรวจการว่าถ้าความผิดของข้ายังไม่เป็นที่แน่ชัด มันมีเหตุผลหรือไม่ที่จะให้หัวหน้าองครักษ์ใช้เหตุผลนั้นมาฆ่าข้า?”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีเลิกคิ้วและสาปแช่งในใจ หัวหน้าองครักษ์ประมาทเกินไปและทำให้เขามีช่องโหว่ ถ้าเขากลับมาจะต้องถูกลงโทษแน่

 

แต่ก่อนที่เขาจะพูด หลิงเสี่ยวเทียนก็แทรกเข้ามาก่อน

 

“หืม? องครักษ์ชุดแดงต่อต้านคนที่ตำแหน่งสูงกว่าโดยไร้หลักฐานและอยากจะฆ่ารองเจ้าตำหนักงั้นรึ? ช่างกล้านัก! เขาสมควรตาย!”

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีรีบพูด

 

“หัวหน้าองครักษ์เป็นคนดีและจะไม่ทำผิด เขาต้องไม่โจมตีเจ้าแน่!”

 

เขามองเย้ยซือหยู

 

“ตัวเจ้าที่อยู่ตรงนี้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็อธิบายทุกอย่างแล้ว! ถ้าเขาอยากจะฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้มาอยู่ถึงวันนี้รึ?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนเงียบ หัวหน้าองครักษ์คงไม่กล้าฆ่าซือหยูจริงๆ

 

“เป็นคนดีและไม่ทำผิดงั้นรึ?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“คนดีคือคนที่ปล่อยให้โจรสลัดที่ทำร้ายผู้คนหนีไปโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นรึ? คนที่จะไม่ทำผิดจะใช้หน้าที่มาล้างแค้นเรื่องส่วนตัวและพยายามฆ่าข้ารึ?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“ส่วนเรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่โดยปลอดภัย ก็ไม่ใช่เพราะมันไม่กล้าโจมตีข้า แต่เป็นเพราะข้าฆ่ามันตอนที่มันจะฆ่าข้าต่างหาก!”

 

อะไรนะ?

 

ไม่ใช่แค่ไป่ฮี แต่หลิงเสี่ยวเทียนเองก็ตกใจ

 

หัวหน้าองครักษ์มีพลังอำมฤตระดับสาม ซือหยูมีพลังแค่ระดับหนึ่ง เขาจะฆ่าหัวหน้าองครักษ์ได้ยังไง?

 

แต่เขาก็เข้าใจในไม่นาน

 

ตำหนักหยินหยูคือดินแดนของซือหยู ซือหยูมีกำลังคนและจำนวนที่ได้เปรียบ มันอาจจะพอเป็นไปได้

 

ปั้ง—

 

พื้นโต๊ะใต้มือของผู้ตรวจการไป่ฮีระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

 

สีหน้าของเขาน่าเกลียดราวกับอยากจะกลืนกินมนุษย์เข้าไป

 

“เจ้าฆ่าเขางั้นรึ?”

 

หัวหน้าองครักษ์ไม่กลับมาหลายวันแล้วและผู้ตรวจการไป่ฮีก็สงสัยอยู่แล้ว คำพูดของซือหยูยืนยันทุกอย่าง

 

ซือหยูหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร

 

“กล้านัก! เจ้ากล้าคนที่ปฏิบัติหน้าที่งั้นรึ? ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีโกรธเกรี้ยว

 

ต้องอวดดีเพียงใดกันถึงกล้าฆ่าหัวหน้าองครักษ์? เขาดูถูกผู้ตรวจการไปเท่าใดกัน?

 

ซือหยูพูดช้าๆ

 

“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าผู้ตรวจการเชื่อว่าองครักษ์พยายามฆ่ารองเจ้าตำหนักที่บริสุทธิ์ต่อหน้าผู้คนตามกฎใช่หรือไม่?”

 

คำถามนี้ทำให้ไป่ฮีตัวแข็งทื่อ เขามองหลิงเสี่ยวเทียนที่กำลังครุ่นคิด

 

เขามิอาจทนที่จะกลายเป็นคนน่าหัวร่อต่อหน้าทุกคนได้

 

เขาฝืนใจเย็น

 

“เขาควรถูกประหารตามกฎ แต่เจ้าตัดสินด้วยตัวเองได้ยังไ…”

 

แต่ซือหยูก็พูดขัดขึ้นมา

 

“ถ้าเขาควรถูกประหาร ข้าก็จะถามว่าเขาที่เป็นแค่องครักษ์ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน? เขาทำตามคนสั่งคนที่เหลือกว่ารึ?”

 

คนเดียวที่เหนือหัวหน้าองครักษ์ก็คือผู้ตรวจการไป่ฮี!

 

หลิงเสี่ยวเทียนแววตาดุร้าย

 

“ผู้ตรวจการไป่ฮี รองเจ้าตำหนักเป็นยอดฝีมือที่ถูกบ่มเพาะโดยอาณาจักรทมิฬ เจ้ายังกล้าจะฆ่าเขาอีกเรอะ!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีสีหน้าหม่นหมอง แม้แต่เขาก็มิอาจรอดไปจากความผิดเช่นนี้ได้

 

เขาชักสีหน้าและรีบพูดแก้ตัว

 

“ข้าทำหน้าที่ตรวจสอบทุกสิ่งในอาณาจักร ทุกคำและการกระทำของข้าคือตัวแทนจากอาณาจักร ข้าจำกฎทุกข้อได้อย่างดี ข้าจะทำผิดบาปเช่นนั้นได้อย่างไร?”

 

“ข้าเพียงแค่สั่งหัวหน้าองครักษ์ให้พาตัวเจ้ากลับมาสอบสวน ข้าไม่เคยสั่งให้เขาฆ่าเจ้า! ตามที่ข้าคิดไว้ เจ้ากับเขามีเรื่องบาดหมางต่อกัน เขาจะต้องขัดคำสั่งข้าและพยายามล้างแค้นเจ้า! ข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีผลักตัวเองให้พ้นจากเรื่องนี้

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“เช่นนั้นเขาก็สมควรตายใช่หรือไม่?”

 

ริมฝีปากเขาบิดเบี้ยว เขาข่มความชิงชังอันไร้ขอบเขต

 

“ฮื่ม! กล้าขัดคำสั่งและทำผิดเช่นนั้น เขาสมควรตาย! ถึงเจ้าตำหนักหยินหยูจะไม่ชัดการ ข้าก็ต้องประหารเขาอยู่แล้ว!”

 

เขามองผ่านซือหยูด้วยแววตาที่มีจิตสังหาร

 

“เลิกพูดถึงเรื่องหัวหน้าองครักษ์แล้วพูดเรื่องซางเจี้ยนเถอะ ทำไมเจ้าถึงฆ่าเขา! พูดมา!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นทำเกินไปมาก เขาสืบสวนโดยจังใจจะให้ซือหยูยอมรับผิดให้ได้

 

ซือหยูใจเย็น

 

“คนคนนั้นร่วมมือกับศัตรูเพื่อสังหารคนของตัวเอง เขาตอบแทนความเอื้อเฟื้อด้วยความชิงชังและสมควรตาย!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า

 

“อืม เล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังหน่อย”

 

เขาเข้าใจนิสัยของรองเจ้าตำหนักทั้งสิบอยู่แล้ว

 

จากนั้นซือหยูจึงอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

 

แน่นอนว่าเขาไม่เล่าเรื่องซากในถ้ำ ซื่อเหยากับเฟิงฉิงก็น่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้เช่นกัน เพราะอย่างไรเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

 

พวกเขาคงไม่ต้องการปัญหาอย่างไร้ประโยชน์

 

และซือหยูยังช่วยชีวิตซางเจี้ยนไว้สองครั้ง แต่ก็ถูกซางเจี้ยนลอบโจมตี!

 

และเขาก็ยังปล่อยหัวหน้าลำดับสองของโจรสลัดวารีทมิฬไปและพยายามปิดปากซื่อเหยาและเฟิงฉิง หลิงเสี่ยวเทียนใบหน้าเยือกเย็นอย่างมาก เขาหยุดนิ่งไปนานก่อนจะถอนหายใจ

 

“ข้าก็มีส่วนรับผิดชอบในความตายของเขา!”

 

“ก่อนหน้านี้ข้าต้องรีบสร้างสิบรองเจ้าตำหนักและสนใจในพลังมากกว่านิสัยใจคอ ข้าไม่มีโอกาสได้ชี้แนะเขา ข้าคือคนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้!”

 

เมื่อเรื่องคลี่คลาย ผู้ตรวจการไป่ฮีก็หัวเราะอย่างเย็นชา

 

“เจ้าสองคนคิดจะร่วมมือกันกลบเรื่องนี้ไปงั้นรึ?”

 

“ข้าขอถามเจ้า ใครจะพิสูจน์เรื่องในวันนั้นได้? ซางเจี้ยนทำเช่นนั้นเพราะเจ้าพูดเช่นนั้นรึ? เขาตายไปแล้ว เขามาโต้แย้งเจ้าไม่ได้!”

 

“แล้วเจ้าไม่ได้สืบสวนซื่อเหยากับเฟิงฉิงหรอกรึ? ข้าว่าเจ้าก็ต้องได้ฟังเรื่องแบบเดียวกัน!”

 

“ฮื่ม! พวกเจ้าสามคนลงเรือลำเดียวกันต้องมีแผนวางไว้อยู่แล้ว นอกจากจะมีพยานคนที่สี่ คำพูดของพวกเจ้าสามคนถือเป็นโมฆะ!”

 

คนที่สี่..ทำไมต้องมีคนที่สี่นอกเหนือจากพวกเขาอีกเล่า?

 

“ถ้าไม่มีคนที่สี่ ข้าก็มีเหตุให้คิดได้ว่าพวกเจ้าสามคนฆ่าเขาเพื่อตัวเอง!”

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีกดดัน

 

ถ้าเขาไม่ใช้โอกาสนี้ฆ่าซือหยู เขาก็มิอาจดับความชิงชังในหัวใจไปได้

 

ซือหยูแววตาเย็นชา ไร้สาระนัก!

 

ตามสถานการณ์ในวันนั้น จะไปมีคนที่สี่ได้ยังไง?

 

ความไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาอยากให้ซือหยูตายอย่างไม่ต้องสงสัย!

 

หลิงเที่ยวเทียนเลิกคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้ตรวจการไป่ฮีพยายามจะทำอะไร เขาก็ไม่ได้พูดอย่างไร้สาระ

 

หากไม่มีใครยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังเป็นไปได้ที่ทั้งสามจะร่วมมือกันสังหารซางเจี้ยน

 

“หึหึ ใครบอกเจ้าว่าไม่มีคนที่สี่รึ? ข้าไม่ได้อยู่ที่หน้าเจ้ารึไงกัน?”

 

เสียงนุ่มลื่นดังมาจากนอกห้อง

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีมองออกไปและพูดอย่างเย็นชา

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

ชายที่มีแขนข้างเดียวเดินเข้ามาในสายตาของเขา