เล่ม 9 เล่มที่ 9 ตอนที่ 255 อยู่หรือตายกับค่ายกลหยินหยางแปดทิศ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“เยี่ยโยวเหยา เก็บดีงูเหลือมตัวนี้ไว้ ต่อไปจะต้องได้ใช้มัน” ซูจิ่นซีพูด

ครั้งก่อนตอนที่อยู่หลังเขาวัดพุทธฝ่า งูเหลือมยักษ์ตัวนั้นตายเพราะถูกพิษของซูจิ่นซี ดังนั้นดีของมันจึงมีสารพิษแทรกอยู่ ไม่สามารถนำมาทำเป็นยาได้ ทว่างูเหลือมตัวนี้ถูกเยี่ยโยวเหยาใช้กระบี่ฟันจนตาย ดีของงูเหลือมตัวนี้จึงไม่มีสารพิษปนเปื้อน สามารถนำมาใช้เป็นตัวยาที่ดีได้

เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไป ใช้กระบี่กรีดท้องงูเหลือมและดึงดีของมันออกมา

จากนั้นซูจิ่นซีก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ใช้มันห่อดีงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นไว้

เยี่ยโยวเหยาอดขมวดคิ้วไม่ได้

นั่นเป็นเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าไหมน้ำแข็งอย่างดีเชียวนะ!

ลวดลายปักบนเสื้อคลุมใช้วิธีปักแบบด้นเข็มเดี่ยวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนผู้ใด ทั้งยังหายสาบสูญไปจากแคว้นจงหนิงแล้ว ซูจิ่นซีใช้เสื้อคลุมที่ล้ำค่าเช่นนี้ห่อดีงูเหลือม นางรู้จักของใช้ที่มีค่าหรือไม่รู้จักกันแน่?

“เสร็จแล้ว เยี่ยโยวเหยา พวกเราไปกันเถิด! ”

ซูจิ่นซีแบกดีงูเหลือมยักษ์ขึ้นหลังด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง พลางพูดกับเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีดีใจ บนใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์หวาดกลัวเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เยี่ยโยวเหยาเผยแววตาแปลกประหลาด ทว่ายังคงไม่แสดงความคิดเห็นอันใดออกมา ทำเพียงเดินจูงมือซูจิ่นซีออกไป

ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติ ทว่ากลับอธิบายไม่ได้ ราวกับว่า… ไม่ค่อยดีใจเท่าไรนัก แต่… เพราะเหตุใดเล่า?

ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินออกจากห้องศิลา จู่ ๆด้านหลังก็มีเสียงนุ่มนวลดังขึ้น พวกเขาหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับไปพร้อมกัน

ซูจิ่นซีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

ดอกปี่อั้นสีโลหิต…

ดอกปี่อั้นสีโลหิตปรากฏตัวอีกครั้ง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก ซูจิ่นซีนึกไม่ถึงเลยว่า นางจะพบดอกปี่อั้นสีโลหิตดอกที่สามในสถานที่และเวลาเช่นนี้ นี่คงเป็นกลีบดอกที่สามของดอกปี่อั้นผลึกแก้วในมิติเวลา

เยี่ยโยวเหยาเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก จึงประหลาดใจอยู่บ้าง

ดอกปี่อั้นสีโลหิตดอกนั้นปรากฏขึ้นมาจากลำตัวของงูเหลือมยักษ์ บนดอกยังมีคราบเลือดติดอยู่ ตัวดอกส่องแสงสว่างเจิดจ้าจนแสบตา ทำให้ห้องศิลาทั้งห้องและทางเดินแคบด้านนอกสว่างไสวขึ้นมา

จากประสบการณ์ที่หลังเขาวัดพุทธฝ่าก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีทราบดีว่าต้องเก็บดอกปี่อั้นนี้อย่างไร

ซูจิ่นซียื่นนิ้วมือออกไปปาดลงบนกระบี่ในมือของเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่มีท่าทีลังเล เมื่อปรากฏหยดเลือดบนนิ้วมือ ซูจิ่นซีก็ยื่นมือไปทางดอกปี่อั้นสีโลหิตโดยไม่สนใจใบหน้าประหลาดใจของเยี่ยโยวเหยา

ทันใดนั้นดอกปี่อั้นที่หมุนวนอยู่กลางอากาศ ราวกับมีแรงดึงดูด มันค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาหาซูจิ่นซี จากนั้นก็ผนึกเข้ามาในร่างของนางทันที

สติสัมปชัญญะของซูจิ่นซีเลือนลางเล็กน้อยจากการที่ดอกปี่อั้นเข้ามาในร่างกาย กอปรกับแรงผลักของดอกปี่อั้น ทำให้นางซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว

เยี่ยโยวเหยารีบยื่นมือออกไปประคองซูจิ่นซีไว้ทันที

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

ซูจิ่นซีสะบัดหน้าสองครั้ง รอจนคืนสติกลับมา ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่เป็นอันใด ดอกปี่อั้นนี้ใช้เพื่อเพิ่มระดับอาคมกำไลปี่อั้น ดอกที่สามแสดงว่าอาคมกำไลปี่อั้นเพิ่มขึ้นถึงระดับสาม เมื่อรวมกับสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เพิ่มทักษะการฟังของหม่อมฉันให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเพิ่มทักษะใด”

“ตั้งแต่ที่เจ้าเก็บรวบรวมดอกปี่อั้นในครั้งก่อน จนกระทั่งเริ่มเพิ่มระดับ ระหว่างนั้นจะมีการเว้นช่วงเวลา ครั้งนี้ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน พวกเราต้องรีบไปช่วยคน และออกไปจากที่นี่”

เยี่ยโยวเหยาเกรงว่าอาคมกำไลปี่อั้นจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างกะทันหัน หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาอาจเป็นอันตรายมากขึ้น

“เพคะ! ”

เยี่ยโยวเหยารีบจูงมือพาซูจิ่นซีเดินออกจากห้องศิลา

เส้นทางเดินหลังจากนี้ พวกเขาไม่พบอุปสรรคอันตรายใดๆ

เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ระบบถอนพิษก็ส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีสารพิษอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ทว่าไม่ใช่สัตว์มีพิษอันตรายที่สามารถโจมตีคนได้ แต่เป็นคนจำนวนมากที่ถูกพิษ

“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันพบมือสังหารที่เป็นลูกน้องของท่านแล้ว”

เยี่ยโยวเหยาหันมามองซูจิ่นซีเพื่อสอบถามตำแหน่งที่ชัดเจน

ซูจิ่นซีชี้ไปทางผนังเตี้ยจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าพวกเขา “อยู่ข้างหน้านี้”

สาเหตุที่บอกว่ามีผนังเตี้ยจำนวนมาก ก็เพราะว่าเมื่อผนังเตี้ยทั้งหมดมารวมกันจะกลายเป็นเขาวงกตนั่นเอง

เขาวงกตนี้ดูธรรมดา สามารถมองเห็นได้รอบด้าน ทว่ามีกลไกลึกลับ

ด้านในเขาวงกตมีกลไกจำนวนมาก ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยายืนอยู่ในจุดที่ใกล้เขาวงกตที่สุด ซูจิ่นซีใช้ประโยชน์จากอาคมกำไลปี่อั้น ทำให้ได้ยินเสียงกลไกเคลื่อนที่อย่างชัดเจน

เดิมทีทักษะของเยี่ยโยวเหยาสามารถเหินข้ามเขาวงกตไปได้อย่างง่ายดาย ทว่าด้านบนของเขาวงกตกลับถูกปกคลุมด้วยตาข่ายไหมทอง

ตาข่ายไหมทองทำจากเส้นไหมทองคำชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นแข็งแกร่งมาก เส้นเล็กละเอียดสามารถตัดเหล็กขาดเหมือนตัดดินโคลน ชาวยุทธภพจำนวนไม่น้อยมักนำสิ่งนี้มาทำเป็นอาวุธ

ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเคร่งขรึม เขาหยิบมีดพกออกมา ยกมือขึ้นและฟันลงไป

ทันใดนั้นมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้น มีดพกเล่มนั้นหมุนคว้างเข้าไปในเขาวงกต

แม้จะคาดเดาผลลัพธ์ได้ตั้งแต่แรก ทว่าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็อดประหลาดใจไม่ได้ มีดพกเล่มนั้นถูกหั่นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมากและตกลงไปในเขาวงกต

หลังจากนั้น ผนังภายในเขาวงกตก็เกิดการเคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเขาวงกต

เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีค้นพบปัญหาใหม่ เมื่ออยู่ในเขาวงกต หากก้าวพลาดไปแม้แต่ก้าวเดียว โครงสร้างของเขาวงกตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

เห็นได้ชัดว่า เขาวงกตแห่งนี้ประกอบขึ้นจากการใช้ห้าธาตุหยินหยางแปดทิศ [1] ด้านในเขาวงกตจัดวางกลไกไว้จำนวนมาก ภายนอกดูเหมือนเป็นเขาวงกตธรรมดา ทว่าแท้จริงแล้วได้วางค่ายกลห้าธาตุหยินหยางแปดทิศไว้ ภายในค่ายกลห้าธาตุหยินหยางแปดทิศจะมีประตูเป็นสี่บาน และประตูตายสี่บาน นี่คือค่ายกลแปรผัน พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หากก้าวพลาดไปก้าวหนึ่ง กลไกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และตำแหน่งประตูเป็น ประตูตายก็จะแปรผันไปเช่นกัน

เดิมที่พวกเขาอาจเลือกประตูเป็นได้แล้ว ทว่าบางครั้งมันอาจเปลี่ยนเป็นประตูตาย ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจบังเอิญสัมผัสเข้ากับอีกกลไกหนึ่ง เช่นนั้นผู้ที่เข้าไปก็ตายอย่างไร้ศพสถานเดียว

นี่คือบททดสอบที่หนักหน่วงมากสำหรับผู้ที่คิดจะทำลายค่ายกลนี้

บททดสอบนี้ ไม่เพียงผู้ที่คิดทำลายค่ายกลต้องเข้าใจหลักห้าธาตุหยินหยางแปดทิศเท่านั้น ยังต้องแตกฉานวิชากลไกลัทธิม่อจื่อ [2] อีกด้วย

ซูจิ่นซีไม่รู้เรื่องค่ายกล ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องกลไกต่างๆ นางหันไปมองเยี่ยโยวเหยา การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายากคาดเดาได้ว่าเขาทำได้หรือไม่

เมื่อเห็นใบหน้าที่กำลังครุ่นคิด ซูจิ่นซีก็รู้ในทันทีว่า เยี่ยโยวเหยากำลังคิดหาวิธีทำลายค่ายกลนี้อย่างแน่นอน นางจึงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน ไม่คิดรบกวน

ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วหนักขึ้น เขาถามซูจิ่นซีว่า “เจ้าลองใช้อาคมกำไลปี่อั้นฟังว่าประตูเป็นอยู่ตำแหน่งใดได้หรือไม่”

เยี่ยโยวเหยาก็ไม่รู้เช่นกันหรือ?

เสียงดังมาก! มันสับสนอื้ออึง เสียงเคลื่อนที่ของกลไกดังต่อเนื่องไม่หยุดจนซูจิ่นซีสับสนไปหมด นางไม่รู้เรื่องกลไกและห้าธาตุหยินหยางแปดทิศ แม้นางจะได้ยินเสียงของกลไก ทว่าไม่มีทางแยกออกว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของกลไกประตูเป็นหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางต้องแบกรับชีวิตของพวกเขาทั้งสอง รวมถึงชีวิตของมือสังหารจำนวนมาก!

ซูจิ่นซีไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้?

เมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่เส้นทางการทำลายค่ายกล ก็นับว่าเป็นตายเท่ากัน ไม่มีทางให้ถอยหลังได้แล้ว

“แยกไม่ออกเพคะ” ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “หม่อมฉันไม่เข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลและวิชากลไกแม้แต่น้อย และไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับด้านนี้เพคะ”

“เช่นนั้น ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง เจ้าก็แยกแยะเสียงตามที่ข้าพูด เป็นเช่นไร? ”

นี่… นี่มันเสี่ยงเกินไปหรือไม่?

หากซูจิ่นซีวิเคราะห์พลาดขึ้นมาเล่า?

……

เชิงอรรถ

[1] ห้าธาตุหยินหยางแปดทิศ เป็นแนวคิดทางปรัชญาพื้นฐานของชนชาติฮั่นโบราณ และทฤษฎีหยินและหยางโบราณ “ห้าธาตุ” ประกอบไปด้วย ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน รวมกับหยินหยางยันต์แปดทิศ ซึ่งธาตุทั้งห้ามีทั้งสอดรับกันและขัดกัน ตามวิถีทางธรรมชาติ เช่น แนวหักล้างหรือขัดกัน คือ น้ำดับไฟ ไฟหลอมทอง ทองทำลายไม้ ไม้แทงดิน ดินกั้นน้ำ และแนวสอดรับกัน คือ ไม้เกิดไฟ ไฟเกิดดิน ดินเกิดทอง ทองเกิดน้ำ น้ำบำรุงไม้ เป็นต้น และผสมผสานกับทิศทั้งแปด

[2] ลัทธิม่อจื่อ เป็นปรัชญาจีนโบราณ มีเหตุผลความคิดและวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาโดยนักคิด นักคิดที่ศึกษาภายใต้ปรัชญาจีนโบราณของนักปราชญ์ที่มีนามว่า ม่อจื่อ (c 470 BC. – c. 391 ปีก่อนคริสตกาล) ในด้านทักษะกลไก ลัทธิม่อจื่อเก่งด้านหัตถศิลป์และการผลิต พวกเขาเก่งกว่านักวิชาการด้านเทคโนโลยีทางทหารคนอื่น ๆ และสามารถเรียกได้ว่าเป็นคนขยัน ว่ากันว่าเขาสามารถตัดไม้ขนาดสามนิ้วให้เป็นแท่งที่สามารถรับน้ำหนักได้ 300 กิโลกรัมในทันที