ปลายยอดเขาเสินม่อ หมอกเบาบางค่อยๆ กระจายตัว
กู้ชิงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย
ไม่ว่าจะเป็นจิ๋งจิ่วหรือว่าเจ้าล่าเยวี่ยก็ล้วนแต่ไม่ชอบให้ลูกศิษย์มาคุกเข่าอะไรแบบนี้ แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องคุกเข่า เพราะเขากลับมาคนเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูพื้นโล่งๆ ที่อยู่ตรงริมผา คิดถึงเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เคยตั้งอยู่ตรงนั้น นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
กู้ชิงกล่าวว่า “เจ็ดวันก่อนขอรับ”
หยวนฉวี่ยืนอยู่ด้านข้าง รู้สึกค่อนข้างร้อนใจ คิดถึงว่าอาจารย์อาออกไปท่องอยู่ข้างนอกสามปี เพิ่งจะออกมา แต่กลับต้องมาหายตัวไปเช่นนี้อีก?
เจ้าล่าเยวี่ยถามว่า “เขาได้สั่งอะไรไว้ไหม?”
เดิมกู้ชิงอยากจะบอกว่าไม่มี แต่พลันคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนขี่กระบี่ผ่านเขาเหลิ่งซาน จึงกล่าวว่า “อาจารย์บอกว่าให้สืบดูว่าเจ้าสำนักของสำนักเสวียนอินในตอนนี้คือใคร จากนั้นในตอนที่ฆ่าได้ก็ไปฆ่าเสียขอรับ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ไปสืบให้ได้ ไปเตรียมตัวซะ”
กู้ชิงคิดในใจ ความหมายของอาจารย์น่าจะหมายความว่าเขาจะเป็นคนไปฆ่าเอง เมื่อหวนคิดดูเล็กน้อย คราวนี้อาจารย์อาจจะกลับมาไม่ได้จริงๆ แล้ว จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
กระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้าสีครามวันนั้น เขามองเห็นอย่างชัดเจน
เมื่อต้องเจอกับการโจมตีอย่างเต็มที่ของเทพกระบี่ซีไห่ ใครยังจะรอดมาได้?
บรรยากาศบนยอดเขาค่อนข้างอึมครึม แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเสียใจเหมือนอย่างกู้ชิง
แมวขาวฟุบหมอบอยู่บนตั่งหยกเหมันต์ นอนกอดจักจั่นเหมันต์เอาไว้ ดวงตาหลับสนิท ส่งเสียงกรนเบาๆ
ออกจากชิงซานครั้งนี้ มันไม่ได้สู้กับมังกรชางหลง แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ลอบโจมตีเจี้ยนซีไหล เอาแต่เลี้ยงเด็กอยู่ในเมืองเจาเกอมาสามปี ช่างน่าเบื่อจริงๆ
จิ๋งจิ่วจะตายหรือจะรอด มันไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย หากตายไปก็ยิ่งดี เพราะมันอยากจะให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นั้นรีบๆ ตายไปเสีย และบนโลกนี้คนที่คิดเหมือนอย่างมันน่าจะมีอีกมาก
มันพลันลืมตาขึ้น คิดถึงไม้วิญญาณอัสนีที่ยังอยู่ใต้ยอดเขาซั่งเต๋อ ม่านตาหดเล็กลง ในใจครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วเจ้ายังตายไม่ได้ … ข้าเอาไม้วิญญาณอัสนีกลับมาจากเจ้าหมาบ้าตัวนั้นไม่ได้
หยวนฉวี่เองก็ไม่ได้เศร้าเสียใจอะไร เพียงแค่รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้ว่ากระบี่ของเทพกระบี่ซีไห่มันหมายความว่าอะไร
การสงบนิ่งของเจ้าล่าเยวี่ยทำให้กู้ชิงค่อนข้างกังวล
ริมผาไม่มีเก้าอี้ไม้ไผ่ มีคนอยู่คนหนึ่ง
เหอจานนั่งอยู่ตรงนั้น คล้ายวิญญาณออกจากร่าง
วันนี้ร่างของเผยไป๋ฟ่าถูกส่งกลับไปยังสำนักอู๋เอินเหมินโดยฟางจิ่งเทียน ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นในเขาว่านโซ่วจะมีภาพเป็นอย่างไร
ซูจึเย่คือเพื่อนที่เขาเชื่อใจ ดังนั้นเขาจึงลงมือช่วยอีกฝ่ายที่เมืองอี้โจว อีกทั้งแนะนำให้ถงเหยียนรู้จัก ถึงได้เกิดแผนการลอบสังหารเทพกระบี่ซีไห่นี้ขึ้นมา
ใครจะไปคิดบ้างว่าซูจึเย่นั้นแอบทรยศพวกเขาไปตั้งนานแล้ว เทพกระบี่ซีไห่รู้แผนการนี้ล่วงหน้า แล้วจะเกิดเรื่องได้อย่างไร?
ท่านเผยตายแล้ว ถงหลูตายแล้ว กั้วตงเป็นตายไม่รู้…นี่ล้วนแต่เป็นความผิดของเขา
เหอจานนั่งอยู่ริมผา มองดูไอหมอกที่อยู่ตรงหน้า ภายในดวงตาเองก็มีไอหมอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เสียงแหบพร่าและแผ่วเบา
“เป็นความผิดของข้าเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาริมผา ยืนไพล่หลังอยู่ด้านหลังของเขา
กู้ชิงและหยวนฉวี่คิดว่านางจะพูดปลอบเหอจาน
ใครจะไปคิดบ้างว่าจู่ๆ นางพลันถีบเหอจานตกลงไปด้านล่างหน้าผา
เมื่อไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของพวกไร้ประโยชน์ ในที่สุดโลกก็เงียบสงบลง ความกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจนางเองก็คลายลงไปบ้าง
“ยอดเขาซื่อเยวี่ยบอกว่าของวิเศษที่ชื่อว่าผ้าธารชำระชิ้นนั้นน่าจะมาจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางกู้ชิงที่กำลังตกตะลึง กล่าวว่า “เจ้าจับเขาส่งกลับไป”
ด้านล่างหน้าผามีเสียงตะโกนที่แฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดของเหอจาน “ข้าไม่ไปสำนักชี!”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่สนใจเขา หมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
ในเวลานี้หยวนฉวี่ถึงได้รู้ว่าที่แท้อารมณ์ของอาจารย์นั้นแย่อย่างมาก
กู้ชิงรับรู้ได้อย่างชัดเจน ไหนเลยจะกล้าพูดอะไร จึงรีบตะโกนบอกให้เหล่าวานรลงไปพาตัวเหอจานกลับขึ้นมา
……
……
เขาอวิ๋นเมิ่งคล้ายดินแดนแห่งเซียนอย่างแท้จริง
ริมผามีต้นสนทอดยาว หอสูงเร้นกายอยู่ในหมู่เมฆ กะเรียนเซียนกระพือปีกอยู่ด้านใน โฉบผ่านสายรุ้งไปเก็บผลไม้เซียนกลับมา
ถงเหยียนยืนอยู่ริมหอสูง มองภาพที่อยู่ตรงหน้า นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร คิ้วที่เดิมดูจางอย่างมาก เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องประกาย ดูคล้ายว่าหายไปอย่างไรอย่างนั้น
หมู่สนไหวเอน แถบผ้าพริ้วไหวคล้ายก้อนเมฆ จากนั้นหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ
หญิงสาวชุดขาวปรากฏตัวอยู่บนต้นสน
นางควรจะอยู่ที่เมืองเจาเกอ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้รีบกลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ไป๋เจ่าจ้องมองดูดวงตาของถงเหยียนพลางถาม
บนแผ่นดินได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของทะเลตะวันตกแล้ว
เผยไป๋ฟ่าเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินได้ท้าเทพกระบี่ซีไห่ต่อสู้อีกครั้งบนทะเลเพื่อชำระแค้นเมื่อในอดีต สุดท้ายพ่ายแพ้และตายไป
จากนั้นกั้วตงซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยได้พยายามลอบสังหารอีกครั้ง แต่ยังคงล้มเหลว ถูกผู้อาวุโสของชิงซานผู้หนึ่งช่วยเอาไว้ จากนั้นถูกเทพกระบี่ซีไห่ฟันเข้าใส่ในขณะที่กำลังหนี
ถงหลูเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลอบสังหารผู้เป็นอาจารย์ไม่สำเร็จ จึงสิ้นหวังและฆ่าตัวตายไป
ไป๋เจ่ารู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับถงเหยียน เผลอๆ นี่อาจจะเป็นแผนที่เขาวางขึ้นมา
ตอนแรกถงเหยียนไม่ยอมบอกนาง นางก็ไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
นางพอจะคาดเดาได้ว่าคนที่ช่วยกั้วตงนั่นมิใช่ผู้อาวุโสของชิงซานอะไร หากแต่เป็นจิ๋งจิ่ว
ตอนที่อยู่ในเรือนตระกูลจิ๋งในเมืองเจาเกอเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่นางพูดถึงกั้วตงกับจิ๋งจิ่ว นางรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วมีปฏิกิริยาแปลกๆ
นางจำเป็นต้องกลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่งเพื่อถามให้แน่ชัดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“นี่เป็นแผนที่พวกข้าวางเอาไว้ตอนที่อยู่ในสำนักฌานเป่าทง แผนการชั้นแรกก็เป็นเหมือนอย่างที่ทุกคนเห็นในตอนนี้”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสกั้วตงไม่เชื่อซูจึเย่ นางคิดว่าเขาจะหักหลัง แต่เจี้ยนซีไหลหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เขาจะต้องเอาตัวเองมาอยู่ในแผนการแน่ ดังนั้นนางจึงแอบแฝงตัวเข้าไป กลายเป็นตัวแปรหนึ่งในแผนการนี้”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “นี่คือชั้นที่สอง?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ถูกต้อง มีเพียงข้าและผู้อาวุโสกั้วตงที่รู้ถึงแผนการชั้นนี้ ข้าเคยปฏิเสธไปแล้ว แต่นางไม่ฟัง”
ไป๋เจ่ามองดวงตาเขา กล่าวถามว่า “อย่างนั้น…ชั้นที่สามล่ะ?”
ถงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่มีชั้นที่สาม”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ข้ารู้จักท่านดีกว่าใคร แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยคิดอะไรเรียบง่ายขนาดนี้…”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ความหมายของชั้นที่สาม ความจริงแล้วง่ายดายมาก ข้ากับซูจึเย่และท่านเผยต่างคิดว่าไม่สามารถสังหารเจี้ยนซีไหลได้ เขาแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้อาจารย์ลงมือเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ดังนั้นแผนการที่เกิดขึ้นในทะเลตะวันตกครั้งนี้ ความจริงแล้วเป็นแค่เพียงครึ่งแรก พวกเราเพียงแค่อยากจะทำให้ซูจึเย่ได้รับความเชื่อใจจากเจี้ยนซีไหลอย่างแท้จริง ส่วนหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องดูกันต่อไป”
ไป๋เจ่ารู้สึกยากที่จะเชื่อได้ นางกล่าวว่า “คนตายไปมากขนาดนี้ เพียงแค่อยากจะให้ซูจึเย่ได้รับความเชื่อใจอย่างนั้นหรือ? ท่านเองก็บอกว่าเจี้ยนซีไหลแข็งแกร่งเกินไป แล้วเพียงแค่เขาคนเดียวจะทำสำเร็จได้อย่างไร?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ซูจึเย่รับปากข้าไว้ว่าเขามีวิธีที่จะสังหารเจี้ยนซีไหลได้อย่างแน่นอน ในสถานการณ์แบบนี้ ข้าก็ทำได้เพียงแค่เชื่อเขาเท่านั้น”
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “พวกท่านหลอกถงหลู หลอกผู้อาวุโสกั้วตงเผย แล้วยังหลอกท่านเผยอีก…”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ท่านเผยย่อมต้องรู้ หากเขาไม่สามารถเอาชนะเจี้ยนซีไหลได้ นี่ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ส่วนถงหลู…หากเจี้ยนซีไหลตายจริงๆ เขาจะต้องฆ่าตัวตายตามไปด้วยอย่างแน่นอน อย่างนั้นก็แค่ตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “อย่างนั้นกั้วตงล่ะ? หากนางเป็นผู้อาวุโสท่านนั้นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ แล้วล่ะก็ ทำไมท่านถึงยังกล้าวางแผนหลอกนางอีก?”
ถงเหยียนมองดูกระเรียนขาวที่โบยบินอยู่บนทะเลเมฆที่อยู่ไกลออกไปตัวนั้น กล่าวว่า “ในเมื่อนางอยากจะให้พวกเราเดินไปบนเส้นทางของนาง อย่างนั้นนางก็ต้องเข้าใจวิธีการของข้าอย่างแน่นอน”
“แต่ว่าตอนนี้จิ๋งจิ่วเองก็ตายไปแล้ว…”
ไป๋เจ่ากล่าว “เขาไม่ใช่คนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับพวกเรานะ”
“คนที่ช่วยผู้อาวุโสกั้วตงคือจิ๋งจิ่ว?”
ถงเหยียนเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “เชื่อข้า คนคนนั้นก็คือเขา”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเขาก็อาจจะยังไม่ตาย”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงสั่นว่า “เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้?”
ถงเหยียนดึงสายตากลับมา ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มของศิษย์น้อง
ในตอนที่พูดถึงว่าจิ๋งจิ่วตาย ไป๋เจ่าก็ร้องไห้ออกมา
ถงเหยียนมองนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ตอนนั้นพวกข้าก็คิดว่าเจ้ากับเขาตายอยู่ในที่ราบหิมะ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ?”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ คนที่เชี่ยวชาญในวิถีหมากล้อมอย่างพวกท่านนี่ไร้ความรู้สึกขนาดนี้จริงๆหรือ?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “เจ้าต้องจำเอาไว้ วิถีหมากล้อมว่ากันด้วยเรื่องของการเกิดดับเป็นตาย มิอาจมีความเห็นใจ ข้าเป็นเช่นนี้ จิ๋งจิ่วก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
………………………………………………………………