ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 2 เปลี่ยนแปลง (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทั้งสองมายังประตูใหญ่เกาะฝูอวี้ เห็นหน้าประตูมีศิษย์ยืนเฝ้าอยู่สองสามแถว ทุกคนพกกระบี่ที่เอว มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เทียบกับตอนที่พวกเขามาก่อนหน้านั้น ตอนนั้นดูผ่อนคลายกว่านี้มาก

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสบตากับนางแวบหนึ่ง เดินเข้าไปท่าทางแปลกใจ ประสานมือกล่าวว่า “พี่ชาย ขอถามหน่อยว่าเกิดอันใดขึ้นหรือ”

 

 

คนเหล่านั้นคำนับตอบพลางกล่าวว่า “ก็ไม่ได้มีอันใดเกิดขึ้นหรอก แต่เจ้าสำนักมีคำสั่งมา สองสามวันนี้ส่งคนมาเฝ้าหน้าประตูใหญ่ให้มากหน่อย อย่าได้ปล่อยให้เข้าออกตามอำเภอใจ”

 

 

ดังคาด มีเรื่องอันใดปิดบังพวกเขา หรือว่าเกี่ยวข้องกับโซ่หมุดทะเล

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดไปมา กล่าวว่า “พวกข้ามีบางเรื่องต้องจากไปชั่วคราว ขอพี่ชายเปิดทาง”

 

 

คนเหล่านั้นส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้ เจ้าสำนักสั่งการไว้ ผู้ใดหากต้องการเข้าออกเกาะฝูอวี้ ก็ต้องมีป้ายสัญญาณ ไม่มีป้าย พวกเราก็ไม่อาจปล่อยไปได้”

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “แต่พวกเราไม่ใช่คนเกาะฝูอวี้นะ หรือว่าก็ต้องมีป้ายจึงจะออกไปได้?”

 

 

คนเหล่านั้นท่าทางลำบากใจ เจ้าสำนักสั่งการมาไม่อาจไม่ปฏิบัติ แต่ทั้งสองคนไม่ใช่คนเกาะฝูอวี้แต่เป็นแขก แต่ไรมาก็ไม่เคยมีเหตุผลที่จะไม่ให้แขกจากไป

 

 

 หัวหน้าศิษย์เฝ้าประตูนิ่งเงียบเป็นนานจึงกล่าวว่า “เอาเช่นนี้ ข้าไปถามเจ้าเกาะ พวกเจ้าอยู่รอตรงนี้ก่อน”

 

 

“เดี๋ยว…” อวี่ซือเฟิ่งเรียกเขาไว้ “เจ้าเกาะห้ามเช่นนี้ ใช่มีศัตรูจะมาหรือไม่”

 

 

คนผู้นั้นลำบากใจกล่าวว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้อย่าได้ทำพวกข้าลำบากใจ เรื่องเกาะฝูอวี้ ทั้งสองท่าน…ไม่เกี่ยวข้องอันใด”

 

 

อะไรเรียกว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องแล้วยังไม่ปล่อยไป เรื่องที่นี่ทำไมมันยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“พวกเราแค่คิดช่วย ห้าสำนักใหญ่เป็นหนึ่งเดียว หากเกาะฝูอวี้มีภัย ไม่อาจกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้อง ขอพี่ชายบอกรายละเอียดหน่อย”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าววาจาด้วยท่าทีไม่อ่อนไม่แข็ง แต่คนผู้นั้นยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ จอมยุทธ์อย่าได้ทำข้าลำบากใจ ในเมื่อต้องการออกไป ก็รอข้าไปรายงานเจ้าเกาะก่อนค่อยว่ากัน ขอทั้งสองท่านโปรด…”

 

 

เสวียนจีก้าวขึ้นหน้ากำลังจะหาคนอื่นมาถามให้ละเอียดต่อ พลันมีของบางอย่างตกปูพรมลงมาเหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว รอบๆ พลันมืดลง

 

 

ทุกคนรีบเงยหน้า รู้สึกเพียงทั้งร่างพลันสะดุ้งเกือบจะล้มลง ตามมาด้วยฝุ่นตลบไปรอบบริเวณ ราวกับมีระเบิดพร้อมกันระเบิดขึ้นข้างกายนับไม่ถ้วน เสียงระเบิดดังเสียดหูไม่หยุด ทุกคนพากันตกใจจนนิ่งอึ้งไปหมด ยืนนิ่งไม่ขยับ เสวียนจีเห็นก้อนระเบิดขนาดเท่ากำปั้นสีดำสิบกว่าก้อนถูกโยนลงมาตรงหน้าประตู ก็รีบชักกระบี่เปิงอวี้ออก ใช้แรงตวัดไปกลางท้องฟ้า แสงสีเงินราวกับปีกนกเฟิ่งหวงกางออกพัดหอบลมเย็นวูบไป พริบตาก็กลืนหอบเอาระเบิดพวกนั้นที่ไม่รู้มาจากไปหมดสิ้น

 

 

ได้ยินเพียงเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวกลางท้องฟ้า กลิ่นและคลื่นเสียงกระแทกพื้นทำเอาทุกคนไม่อาจฝืนยืนต่อไปได้ เสวียนจีโงนเงนกำลังจะล้มลง อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้ามาคว้าแขนนางไว้ กล่าวเสียงเข้มว่า “พวกเราขึ้นไปดูกันว่าเป็นผู้ใดมาก่อกวน!”

 

 

ศิษย์ข้างๆ ได้สติในที่สุด ลากพวกเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ได้! ด้านบนเกาะฝูอวี้ปูแหกระบี่ทั่ว คนไม่อาจลอดผ่านได้!”

 

 

ยามนี้พวกเขาจึงได้นึกถึงลู่เยียนหรานปูแหกระบี่ที่เขาไห่หวั่นในตอนนั้น คนและปีศาจผ่านไม่ได้ แต่สิ่งของไม่มีชีวิตไม่มีปัญหา คิดว่าด้านบนต้องมีใครรู้จุดอ่อนแหกระบี่นี้ ถึงกับโยนนระเบิดมากมายนับไม่ถ้วนพวกนี้มาก่อกวนพวกเขาก่อน

 

 

เห็นเบื้องหน้ามีระเบิดมากมายระเบิดใส่จนเป็นรูนับร้อยพัน ท้องฟ้ามืดลง ระเบิดระลอกสองตามมาอีกแล้ว หากปล่อยให้ระเบิดต่อไป เกาะฝูอวี้ดีๆ ก็จะถูกระเบิดเป็นเกาะเละๆ แล้ว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลากเสวียนจีไปกันอยู่ด้านหน้าศิษย์เกาะฝูอวี้ เหินกระบี่ขึ้นไปจากแท่นหยกขาว พริบตาก็เหินขึ้นไปกลางท้องฟ้าสูง มองออกไปไกลๆ หลายคนกำลังรุมที่นี่ คิดว่าคงเป็นคนที่มาก่อกวนหาเรื่องศิษย์เกาะฝูอวี้

 

 

 ทั้งสองรีบเข้าช่วยเหลือ เห็นแต่ด้านหน้ารายล้อมแน่นขนัดไปด้วยชายชุดดำปิดหน้า ที่เอวแขวนห่วงเหล็กขาวไว้ เสวียนจีตกใจอยู่ในใจ การแต่งกายคนพวกนี้ เป็นพวกที่ทำลายโซ่หมุดทะเลที่เขาเกาซื่อซาน เป็นปีศาจที่ทำร้ายพวกเขาบาดเจ็บ! ใต้ฝ่าเท้าพวกเขาไม่มีกระบี่ ถึงกับลอยตัวกลางท้องฟ้าได้ ในมือทุกคนมี**บใหญ่สองใบ กำลังโยนระเบิดลงมา รอบๆ มีหลายคนกำลังตวัดกระบี่ออกกระบวนท่า จากนั้นถูกศัตรูล้อมไว้ ออกกระบวนท่าร้ายกาจเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เห็นวงล้อมยิ่งเล็กลง คนพวกนั้นสองสามคนเริ่มรับมือไม่ไหว เสวียนจีหมุนกระบี่เปิงอวี้ในมือเบาๆ ตัวกระบี่ก็เปล่งประกายสีเงินบางเบา นางลูบคมกระบี่ พลังกระบี่เปล่งแสงกระจายออกรอบทิศ ชายชุดดำที่ล้อมอยู่ด้านหน้าไม่ทันป้องกันตัว พริบตาก็ถูกนางกระแทกร่วงไปหลายคน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอาศัยจังหวะที่พวกเขาตั้งรับไม่ทัน เคลื่อนไหวราวสายฟ้า กระบี่ราวมังกรเหิน วนรอบนอกอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เสียงร้องดังเจ็บปวดพริบตาดังไม่หยุด รอบนอกพริบตาก็ถูกพวกเขาตีเปิดช่องออก อวี่ซือเฟิ่งใช้กระบี่เข้ากดดันปีศาจชุดดำที่บุกเข้ามา พลางตะโกนดังว่า “คนด้านในรีบออกมา!”

 

 

หลายคนที่ยืนหยัดอย่างยากลำบากในวงล้อมก็ได้สติเร็วมาก พลันมีคนมาช่วย ไม่รอให้เขากล่าวจบ ก็รีบฝืนตัวกันพุ่งออกมาจากช่องทางที่เปิดออก ยังมีคนตะโกนขอบคุณดัง “ขอบคุณ! พี่ชาย! รีบไปแจ้งเจ้าเกาะตงฟาง!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งได้ยินเสียงคุ้นหู อดไม่ได้หันขวับกลับไปทันที สองฝ่ายสบตากัน อดตกใจไม่ได้!

 

 

“ซือเฟิ่ง!”

 

 

“หมิ่นเหยียน! รั่วอวี้…พวกเจ้า…” ด้านหลังพลันมีลมฟาดมา อวี่ซือเฟิ่งไม่ทันกล่าวจบ ตวัดกระบี่ไปรับไว้ ปีศาจชุดดำรอบๆ ยิ่งล้อมกันมามากขึ้น ทุกคนล้วนเคลื่อนไหวรวดเร็วราวภูตผี รับมือกินแรงมาก เห็นชัดว่าพวกเขาถูกล้อมใหม่อีกรอบแล้ว ล้อมปิดตายพวกเขาสองสามคนไว้ด้านในอีกครั้ง

 

 

“ตรงนี้พวกข้ารับมือเอง เจ้ารีบไปรายงานเจ้าเกาะ!” จงหมิ่นเหยียนเหงื่อท่วมตัว สีหน้ายังมีคราบเลือดหลายแห่ง มองดูแล้วสภาพทุลักทุเลมาก ที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือ ด้านหลังเขาเหมือนแบกคนหนึ่งไว้ ดังนั้นเคลื่อนไหวไม่คล่องเหมือนปกติ เพิ่งรับมือไปได้ไม่เท่าไร ก็ถูกคลื่นปีศาจชุดดำราวกับสายน้ำบีบให้ถอยหลังทั้งตัวมีร่องรอยบาดเจ็บไม่รู้เท่าไร

 

 

เสวียนจีตวัดกระบี่ฟันอยู่เป็นนาน เห็นว่าฟันอย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้น ตนเองค่อยๆ ถูกปีศาจพวกนี้ล้อมไว้ตรงกลางแล้ว ทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุด ในใจอดอึดอัดไม่ได้ จึงเก็บกระบี่ ผนึกฝ่ามือจะปล่อยวิชาเซียน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงดุดันกล่าวเสียงดังว่า “เสวียนจี! อย่าใช้พลังเสกไฟ! พวกเขามีระเบิดติดตัว…”

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบเสียงก็ขาดห้วงไป คิดว่าเขาก็คงถูกล้อมโจมตีไร้หนทางเช่นกัน

 

 

เรียกไฟเป็นวิชาที่นางถนัดที่สุด วิชาอื่นเช่นว่าธนูน้ำหรือสายฟ้าล้วนไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าไร ไม่อาจใช้พลังเสกไฟ เช่นนั้นก็ได้แต่รอความตายเฉยๆ แล้ว

 

 

เสวียนจีแอบกัดฟัน สนใจอะไรเขา ดินระเบิดระเบิดก็ค่อยเหินหนีได้!

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงหลังคอมีลมร้อนพัดวาบมา เขาตกใจหันกลับไป เห็นเพียงมังกรเพลิงยืดตัวขึ้นหลายสาย ค่อยๆ เปล่งพลังไฟทั่วท้องฟ้า ส่ายหัวส่ายหางบ้าคลั่งกลางท้องนภา

 

 

เขาแอบนึกตะโกนในใจว่าไม่ได้การแล้ว รีบตวัดกระบี่บีบให้ปีศาจที่ขวางด้านหน้าเปิดทางออก แย่งหนีออกจากวงล้อมไปก่อน พอหันกลับไปก็ตะโกนดังสุดแรงว่า “รีบหนี!”

 

 

พอวาจาเงียบลง ก็ได้ยินเพียงเสียง ตูม ตูม ดังสนั่นนับไม่ถ้วน กลางท้องฟ้าพลันมีดอกไม้ควันดำนับไม่ถ้วนระเบิดออก ลมดำทะมึนหอบม้วนพร้อมควันดำมืด ปกคลุมไปทั่วศีรษะ ท่ามกลางกระแสคลื่นรุนแรงนี้ทุกคนก็ราวกับใบไม้ร่วง ไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย พริบตาก็ถูกกระแทกกระจายออกไปหมด

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกหน้ามืดตาลาย หูและจมูกล้วนเจ็บปวดรวดร้าว คิดว่าถูกคลื่นเสียงมหึมากระแทกบาดเจ็บ เขาตีลังกากลางอากาศไปไม่รู้กี่รอบ หากไม่ใช่ฝืนกัดฟันทน เกรงว่าคงร่วงจากกระบี่ไปนานแล้ว

 

 

สุดท้ายคลื่นลมร้อนแรงหอบม้วนมานั้นในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง เขาอ้าปากหอบหายใจหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด มองกลางท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง ที่นั่นนอกจากควันโขมงดำแล้ว ก็ไม่มีแม้สักคน ปีศาจชุดดำพวกนั้นเกรงว่าก็คงถูกระเบิดที่ตนเองพกมาแหลกเป็นจุณไปนานแล้ว 

 

 

แต่ที่เขาใส่ใจไม่ใช่เรื่องนี้

 

 

“เสวียนจี! หมิ่นเหยียน!” น้ำเสียงเขาแหบพร่า ส่งเสียงเรียกไม่ออกอีก แต่ไม่ยอมแพ้ เอาแต่พยายามส่งเสียงเรียกชื่อพวกเขาสองคน แต่นอกจากควันหนาด้านหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดตอบเขา

 

 

เหลวไหล…เหลวไหลจริงๆ! เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี ไม่กล้าคิด หากพวกเขาตายกันไปหมดแล้ว…

 

 

พริบตา เพียงแค่พริบตา เหตุใดจึงได้…

 

 

“นี่! ซือเฟิ่ง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?!” ด้านหน้าพลันมีเสียงตะโกนของจงหมิ่นเหยียนดังมา ตามมาด้วยหลายคนก้าวออกมาจากควันดำ เหินกระบี่ตรงมาเบื้องหน้าเขา อวี่ซือเฟิ่งมองพวกเขาตาปริบๆ ไม่ทันได้ตั้งสติ

 

 

จงหมิ่นเหยียนมีแต่บาดแผลทั้งตัว แม้แต่หน้าผากก็ถูกระเบิดเลือดอาบ พิงตัวรั่วอวี้ที่สภาพย่ำแย่ไม่แพ้กันหันมายิ้มกว้างให้เขา

 

 

ข้างกายรั่วอวี้ยังมีศิษย์หญิงแต่งกายแบบเกาะฝูอวี้อีกหลายนาง แต่ละคนล้วนบาดเจ็บ เด็กหญิงที่เป็นหัวหน้าหน้าตางดงงาม สองตาเป็นประกายมองมาทางเขา ปากก็ตะโกนดังสุดแรง “ซือเฟิ่ง! ซือเฟิ่ง!”

 

 

ถึงกับเป็นลู่เยียนหราน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ นิ่งอึ้ง สุดท้ายไปหยุดที่เสวียนจีที่ถูกรมควันจนดำมืดไปทั้งตัวตรงริมสุด แม้แต่ใบหน้ารูปไข่ของนางก็ดำมืดไปหมด มองมาทางเขา นางโบกมือให้เขาอย่างตื่นเต้น พลางเหินมาคว้าแขนเขาไว้ ตะโกนดัง “เจ้าดู ข้าทำสำเร็จแล้ว! ซือเฟิ่ง เจ้าเห็นไหม”

 

 

กล่าวจบนางก็หันกลับไปโบกมือให้จงหมิ่นเหยียน “ศิษย์พี่หก! รั่วอวี้! พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”

 

 

ภาษิตกล่าวว่า คนเราไม่อาจมองภายนอก เสวียนจีก็คือรูปแบบที่ไม่อาจมองจากภายนอกได้ ดูแล้วเชื่อฟังหัวอ่อน แต่จริงๆ แล้วเหลวไหลได้อย่างที่สุด

 

 

ในที่สุดอวี่ซือเฟิ่งก็ได้สติ หัวเราะฝืดเฝื่อนขึ้นเสียงหนึ่ง รู้สึกมือเท้าตกใจจนอ่อนแรงไปหมด สุดท้ายยกมือแตะศีรษะนางทีหนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “ลงไปก่อนค่อยว่ากัน”