เมื่อคิดได้ดังนั้น มเหสีรองก็ขนลุกผวา…
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา สนมเอกเฮ่อเหลียนก็เชื่อมโยงได้ว่าม้าที่นำมาฝึกอาจจะมาจากเขาหม่าโถวได้ทันที ด้วยเหตุนี้นางจึงอนุมานได้ว่าเหวยเซ่าฮุยและโจรป่านั้นสมคบคิดกัน นั่นก็อธิบายได้ว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนเพ่งเล็งตระกูลเหวยอยู่ทุกฝีก้าว!
สาวต่างชนเผ่าจากทางเหนืออย่างนาง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในต้าเซวียน ไร้ที่พึ่งพิง อยู่ในวังหลังมาหลายปี แต่ไรมามักจะฝังตัวเองไว้ในดินเลน ไม่คิดว่าจะแสร้งทำเป็นไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร แต่กลับแอบตรวจสอบตระกูลเหวย!
จะระวังใครก็ทำสำเร็จ แต่ไหนเลยจะคิดว่าต้องระวังนางด้วย!
มเหสีรองเหวยจ้องเขม็งอย่างดุร้าย แต่กลับเห็นสนมเอกเฮ่อเหลียนเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับสายตาของตนเป็นครั้งแรก ความหวาดกลัวไม่กล้าสู้หน้าที่มีในเมื่อก่อนนั้นหายไปหมดสิ้น แล้วนางก็หันกลับ ทูลรายงานฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงสงบ “มีอีกเรื่อง ไม่ทราบว่าควรไม่ควรทูลเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้รับสั่งอย่างเย็นชา “ว่ามา”
มีอะไรอีก มเหสีรองเหวยเหงื่อท่วมแผ่นหลัง เพ่งมองไปที่สนมเอกเฮ่อเหลียน
สนมเอกเฮ่อเหลียนเหลือบมองมเหสีรองแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ตอนนั้นที่หม่อมฉันฝึกม้าเยี่ยนหยางให้กับมเหสีรอง ผ่านไปสักพักหนึ่ง ม้าจะทนสภาพอากาศไม่ไหวแล้วตายไป เหวยกั๋วจิ้วก็จะไปหาม้าตัวใหม่ที่เมืองเยี่ยนหยาง แล้วส่งเข้าวังอีกครั้ง…”
“อืม” หนิงซีฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น
“ม้าเหล่านั้น ทุกครั้งจะไม่ได้ตายโดยธรรมชาติ แต่มเหสีรองจะเติมยาถ่ายลงในอาหารม้าจำนวนเล็กน้อย ลูกม้าทนไม่ไหวท้องเสียจนตาย เนื่องจากในแต่ละครั้งจะใส่ในจำนวนที่น้อย คนดูแลม้าในวังไม่สังเกต จึงคิดว่าม้าปรับตัวตามสภาพแวดล้อมในเมืองหลวงไม่ได้ ในเมืองแห่งทุ่งหญ้านั้นมีม้ากันทุกบ้าน ม้ามีปัญหาอะไร หม่อมฉันล้วนมองออกทั้งสิ้น ช่วงเวลานั้นได้ใกล้ชิดกับม้าของมเหสีรองบ่อยครั้ง จึงได้สังเกตเห็นจากอาหารม้า ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมเหสีรองจึงได้ทำเช่นนั้น แต่ก็กลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตน จึงไม่กล้าพูดอะไรเพคะ” สนมเอกเฮ่อเหลียนพูดชัดถ้อยชัดคำ
มเหสีรองเหวยเบิกตาโต ผ่านไปสักครู่จึงได้เข้าใจความหมายของสนมเอกเฮ่อเหลียน ตนวางยาม้า พี่ชายก็จะได้มีโอกาสให้คนไปหาม้าที่เมืองเยี่ยนหยางอีก เช่นนี้ โอกาสในการไปเมืองเยี่ยนหยางก็มีมากขึ้น
คนสารเลวนี่กำลังบอกว่า นางและเหวยเซ่าฮุยสมคบคิดกัน แผนชั่วของเหวยเซ่าฮุยและโจรป่านั้น นางรู้อยู่แต่แรกแล้ว และยังคิดจะร่วมมือกับตระกูลเหวยแย่งชิงบัลลังก์จากตระกูลซย่าโหว!
สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่เพียงแต่จะคิดทำร้ายตระกูลเหวย ยังจะฉวยโอกาสนี้เพื่อทำลายตนอีก!
มเหสีรองเหวยยังไม่ทันได้ตั้งสติ เพียะ! หนิงซีฮ่องเต้ฟาดฝ่ามือไปบนใบหน้าของนาง ตบนางจนล้มคว่ำ!
มเหสีรองเหวยกุมใบหน้าอันปวดแสบ แล้วมองไปอย่างหวาดกลัว พระพักตร์กริ้วเย็นชาเหมือนดังเข้าไปในโรงเก็บน้ำแข็ง นางก็ขนลุกทั่วร่าง ปากสั่นเทาไปชั่วขณะ “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำม้าพวกนั้นตายนะเพคะ! แม้เหวยเซ่าฮุยจะสมคบคิดกับพวกโจรป่านั่นจริงๆ หม่อมฉันก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อยนะเพคะ…ฝ่าบาทต้องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้ยิ้มอย่างน่าขนลุก “พอดีว่ามเหสีรองชอบม้าป่าในเขาลึก เหวยเซ่าฮุยก็ไปเมืองเยี่ยนหยางเพื่อเลือกม้าให้มเหสีรอง ทุกครั้งม้าของมเหสีรองจะอยู่ได้ไม่นาน เหวยเซ่าฮุยจึงได้ไปเมืองเยี่ยนหยางอย่างเปิดเผย…ช่างบังเอิญเสียจริง”
มเหสีรองเหวยไร้คำโต้เถียง ชาตินี้มีแต่ตนที่เหยียบข้ามหัวคนอื่น ไม่เคยถูกคนอื่นมาใส่ร้าย ทันใดนั้นความโมโหทะลักขึ้นมา นางหันหลังกลับไปบีบคอสนมเอกเฮ่อเหลียน “เจ้าคนสารเลว! เจ้าใส่ร้ายข้า! ข้าไม่ได้ฆ่าม้า! เจ้า! เจ้าใช่หรือไม่! เจ้านั่นแหละที่ฆ่าม้า!”
ท่ามกลางเสียงก่นด่า มเหสีรองเหวยสันหลังเย็นวาบ หากสนมเอกเฮ่อเหลียนเป็นคนฆ่าม้าบรรณาการแต่ละตัวในตอนนั้นจริง นั่นก็หมายความว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนอาจจะรู้แต่แรกแล้วว่าเหวยเซ่าฮุยไปมาหาสู่กับโจรป่า นางคาดเดาได้ว่าเหวยเซ่าฮุยไปเลือกม้าให้น้องสาวที่เมืองเยี่ยนหยาง ก็เพื่อพบกับโจรป่า จึงได้ซ้อนกล ให้มเหสีรองเหวยติดร่างแหไปกับเหวยเซ่าฮุยด้วย
จิตใจยากแท้หยั่งถึงจริงๆ! ตระกูลเหวยมีอำนาจ จะแตะต้องโดยพลการไม่ได้ แม้สนมเอกเฮ่อเหลียนจะรู้อยู่แต่แรกแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ก็จะมาฟ้องร้องไม่ได้ หากทำการบุ่มบ่ามไป เกรงว่าจะถูกนางจัดการเสียก่อน! จึงได้รอคอยโอกาสมาตลอด!
ในวันนี้ เป็นเวลาที่นางจะได้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแล้วมิใช่หรือ
ใบหน้าของมเหสีรองเหวยแข็งชะงักไปทันใด เหมือนตกใจเกินไปจนมือที่บีบคอสนมเอกเฮ่อเหลียนก็ค้างไปสักครู่
ในเวลาเพียงครู่เดียวนี้เอง ก็ถูกคนกระชากตัวจากด้านหลัง
หนิงซีฮ่องเต้เห็นนางใช้กำลังกับสนมเอกเฮ่อเหลียนต่อหน้าตน กดความโมโหในใจไม่อยู่ เขาหิ้วตัวนางขึ้นมาแล้วโยนออกไปข้างหน้า!
มเหสีรองเหวยกระโจนตัวไปที่พื้น เมื่อล้มลงบนพื้นก็มีเสียงกรีดร้องโอดครวญดังขึ้น เสียงโอดโอยนั้นประหลาดนัก ไม่เหมือนกับแค่หกล้ม จากนั้น นางก็เอามือปิดหน้าแล้วกลิ้งไปมาบนพื้น เลือดไหลลงมาตามมือ ที่แท้นางก็ล้มลงแถวกระจกที่ล้มเมื่อครู่นี้ หน้าทิ่มเข้าไปในเศษกระจกพอดี
สนมเอกเฮ่อเหลียนตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก จึงเดินเข้าไป อยากจะดึงมือของมเหสีรองเหวยเพื่อตรวจดูแต่ก็เหมือนจะกลัวว่าเศษกระจกจะทิ่มเข้าไปในผิวของมเหสีรองจึงไม่กล้าแตะ นางหันไปขอร้อง “ฝ่าบาทเพคะ รีบตามหมอหลวงเถิดเพคะ เหมือนจะทิ่มเข้าไปในตาเพคะ…” แล้วนางก็เตือนด้วยความตื่นตระหนก “มเหสีรองอย่าขยี้นะเพคะ ระวังเศษกระจกทิ่มตานะเพคะ!”
หนิงซีฮ่องเต้เดินกลับไปนั่งข้างโต๊ะเตี้ย ในแววตาไร้ซึ่งความสงสาร เขาเย้ย “คนกินบนเรือนขี้บนหลังคาเช่นนี้ จะเอาดวงตาไปทำไมกัน เมื่อครู่นางทำร้ายเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะเป็นห่วงนางอีก!”
สนมเอกเฮ่อเหลียนก้มหน้าไม่พูดอะไรอีก
เหยาฝูโซ่วและเมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินเสียงร้องโอดโอย จึงได้วิ่งเข้ามา เห็นฉากนี้เข้าก็ตกใจกันใหญ่ จึงได้ออกไปเรียกขันทีสองนายจากข้างนอกมาส่งมเหสีรองเหวยที่เจ็บปวดแทบจะขาดใจนั้นกลับวังฉังหนิง
เมื่อผ่านเรื่องวุ่นวายนี้ไป หนิงซีฮ่องเต้ก็เหมือนถูกสูบแรงไปทั้งร่าง รู้สึกไม่สบายที่ปอดขึ้นมาอีกครั้ง เมี่ยวเอ๋อร์เห็นดังนั้น จึงยกน้ำชามาให้แล้วนวดที่หน้าอกให้ฮ่องเต้
กว่าหนิงซีฮ่องเต้จะสยบอาการเอาไว้ได้ เขาโบกมือ “สนมเอกกลับไปก่อนเถิด ที่นี่มีสนมปรนนิบัติก็พอ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนคำนับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ “ฝ่าบาทดูแลพระวรกายด้วยนะเพคะ” แล้วเดินจากไปอย่างสง่างาม
หน้าประตูพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน จางเต๋อไห่เห็นว่ามเหสีรองเลือดไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่แล้วถูกคนพยุงออกมา ก็ตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นนายของตนออกมาก็รีบเข้าไปรับ “สนมเอกไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนโบกมือ แววตาเรียบเฉย “กลับตำหนัก”
ตั้งแต่สนมเอกเข้าวังมา จางเต๋อไห่ก็ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย คิดว่าตนและนางถือเป็นคนที่สนิมสนมกันมากที่สุด
หลายปีมานี้ นายเป็นคนอ่อนแอยอมคน หลีกเลี่ยงปัญหาใจเสาะ เขาก็คุ้นเคยมานานแล้ว
แต่หลายวันมานี้ กลับทำให้จางเต๋อไห่สับสน นายตรงหน้า เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เป็นไปได้ว่า นายอาจจะไม่เคยเปลี่ยน เป็นเช่นนี้อยู่แต่เดิม เพราะอย่างไรเสีย เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้คนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงถึงเพียงนี้
วันนั้นที่ถูกมเหสีรองเหวยเหยียดหยามตรงหน้าประตูพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน เมื่อสนมเอกกลับพระตำหนักแล้ว ก็นำป้ายหยกที่ติดตัวมาตอนออกเรือนของชาวมองโกลออกมาจากกล่องสมบัติ แล้วเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สุดท้ายก็นำป้ายหยกและจดหมายลับฉบับนั้นผนึกในซองจดหมาย แล้วให้จางเต๋อไห่ใส่ชุดลำลองออกวังไปยังหมู่บ้านตระกูลเกาบนเขาหลงติ่งที่ชานเมืองเมืองหลวง เพื่อมอบให้กับผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านนั้น
จางเต๋อไห่ไม่เคยถามเหตุผลของนาย แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังไปทำตามคำสั่ง
เมื่อกลับวังมาแล้ว สนมเอกก็เขียนฎีกาเรื่องที่กั๋วจิ้วออกเมืองหลวงเพื่อไปตามหาม้าบรรณาการแล้วใช้โอกาสนี้เพื่อติดต่อกับโจรป่าเมื่อห้าปีก่อน แล้วมอบให้หลานถิงถวายให้แก่ฮ่องเต้อย่างลับๆ
เช้าวันนี้ ข้าหลวงสวีจากเมืองเยี่ยนหยางก็ส่งจดหมายด่วนมา รายงานเรื่องที่เหวยเซ่าฮุยเป็นเบื้องหลังของขุนนางเขตฉังชวน และเรื่องปฏิบัติการลับในแต่ละครั้งที่เหวยเซ่าฮุยไปเมืองเยี่ยนหยาง