ไม่มีลม ไม่มีฝน ท้องฟ้าเป็นสีเทาและไร้ดาว ลูเซียนรู้สึกว่าโลกในมิติเวทมนตร์เป็นโลกของคนตาย

อย่างไรก็ตาม มีคลื่นบนผิวน้ำทะเลสาบสีเลือดภายใต้ ‘มหากางเขน’ ราวกับว่าทะเลสาบมีชีวิต สีของน้ำที่ดูหลอนและตัดกันยิ่งทำให้ลูเซียนกังวลหนักเข้าไปใหญ่ แม้เขาจะเป็นนักเวทฝึกหัดระดับสูงที่ปกติค่อนข้างสงบและมีสติสัมปชัญญะอยู่แทบตลอดเวลา

เมื่อสังเกต ‘มหากางเขน’ ที่ส่องแสงสว่างจ้าบนฟ้าท้องอย่างรอบคอบอีกครั้ง และเปรียบเทียบกับมหากางเขนของแผนที่ดาราศาสตร์ใน ‘ตำราโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ในห้องสมุดห้วงจิต ลูเซียนถึงได้รู้ว่ารูปแบบของมิติเวทมนตร์ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนกับมิติเวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่จะใช้ในการเก็บซ่อนบางอย่าง มิติเวทมนตร์แห่งนี้เป็นเหมือนประตูมิติที่ใช้สะสมพลังเพื่อผนึกบางอย่างไว้ภายในมากกว่า

หากความรู้สึกของลูเซียนถูกต้อง เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลูเซียนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคำนวณพิกัดของ ‘สวนเวทมนตร์’ ที่อยู่ใกล้ที่สุดใหม่อย่างรวดเร็วตามตำแหน่งของมหากางเขน โดยไม่ลังเล เขากลับหลังหันและวิ่งไปยังสุดชายป่าสีดำทางตะวันตกตามทางเดินริมทะเลสาบ

แม้ลูเซียนจะอยากรู้แค่ไหน เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าการเข้าสู่ ‘มิติเวทมนตร์ชั้นตำนาน’ แบบนี้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเป็นเรื่องประมาทเกินไป เขารู้ว่าเขาต้องยึดตามวัตถุประสงค์เดิมก่อนที่จะเข้ามาที่นี่

ร่างกายของลูเซียนฟื้นฟูเร็วขึ้นจาก ‘พรแสงจันทร์’ เมื่อเขาเข้าไปในป่าดำ อาการบาดเจ็บบริเวณแผงอกจากการสู้กับวิญญาณแค้นหายไปแล้ว

ป่าดำก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเช่นกัน แม้แต่ใบไม้บนกิ่งไม้ก็ไม่ไหวติง ทุกอย่างนิ่งสงบ ไม่มีวี่แววของชีวิต

ลูเซียนพยายามสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ขณะเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ สิบกว่านาทีต่อมา เขาเห็นอาคารหลังสูงใหญ่ภายใต้เงามืดตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ห่างไปไม่ไกล แสงประหลาดพุ่งออกมาจากอาคารตรงไปยัง ‘ทะเลสาบเอลซินอร์’ เป็นช่วงๆ

เขาชะลอฝีเท้าเมื่อเข้าไปภายในตัวอาคาร กำดาบในมือแน่น ลูเซียนเหงื่อแตกพลั่ก

ลูเซียนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบก้อนหินสีดำออกมาก้อนหนึ่ง นั่นคือ ‘ต่อมใต้สมองค้างคาว’

เมื่อถือ ‘ต่อมใต้สมองค้างคาว’ อยู่ในมือซ้าย ริมฝีปากเขาร่ายคาถาเสียงแผ่วเบา คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกระจายตัวออกไปราวกับคลื่นน้ำกระเพื่อม เขายืนอยู่ตรงกลางของคลื่นพลัง รอรับคลื่นสะท้อนกลับ หลังคลื่นพลังไปกระทบเข้ากับสิ่งกีดขวางอะไรก็ตาม

ต้นสนที่สูงใหญ่ปรากฏขึ้นในห้วงจิตของลูเซียนทีละต้น วัตถุต่างๆ ที่อยู่ภายในรัศมีหลายร้อยเมตรก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพวัตถุบางอย่างที่ทำให้คลื่นพลังสะท้อนกลับยังคงไม่ชัดเจน แต่ลูเซียนก็สามารถสันนิษฐานเอาจากรูปร่าง

ถึงอย่างไรก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิต ลูเซียนไม่มั่นใจว่าเขาควรรู้สึกสบายใจหรือควรจะกังวลหนักกว่าเดิม

เมื่อตรวจดู ‘กับดักเวท’ ที่อาจวางไว้ เขาคืบหน้าเข้าใกล้เป้าหมายอย่างช้าๆ สิ่งกีดขวางทั้งหมดที่เขาไม่สามารถระบุได้ปรากฏว่าเป็นเพียงก้อนหินใหญ่เท่านั้น

เมื่อเขาเดินฝ่าพุ่มไม้หนาๆ เขาเห็นหินจารึกหลุมฝังศพสีเทาๆ ด้านหลังเป็นห้องเก็บโลงศพขนาดเล็ก

ใกล้หินจารึกหลุมฝังศพเข้าไปอีก เขาเห็นตัวอักษรสีขาวสลักไว้ “ณ ที่นี่ มีร่างนายกเทศมนตรีเมืองบอนน์ผู้วายชนม์ เดวิด เทอร์เรน ด้วยวีรกรรมอันห้าวหาญ เขาคือผู้สังหารผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้าแห่งสัจจธรรมหลายร้อยชีวิต

ชายผู้นี้ต้องล่วงลับเพราะตกหลุมรักชายอีกผู้หนึ่งซึ่งมีอำนาจเหลือล้น”

หน้าของลูเซียนกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นตัวอักษรจารึกดังกล่าว ไม่เพราะความไม่สมเหตุสมผล แต่เพราะเขาเคยเห็นหินจารึกหลุมฝังศพนี้มาแล้ว เมื่อเขาลอบเข้ามาใน ‘เมืองบอนน์’ ครั้งแรก เขาจำได้ชัดเจนว่าหินจารึกหลุมฝังศพนี้ตั้งอยู่ที่สุสานของเมือง ไม่ได้อยู่ในป่า

‘สุสานย้ายมาอยู่ในป่าดำในโลกมิติเวทมนตร์หรือ?’ ลูเซียนคิดกับตัวเอง

เขามองไปรอบๆ และพบหลุมศพอีกมาย ในโลกสีขาวดำแห่งนี้ หลุมศพพวกนี้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม

ชัดเจนอยู่แล้วว่าสุสานไม่ใช่สถานที่น่าอภิรมย์ให้อยู่นานๆ ฉะนั้น ลูเซียนตัดสินใจรีบออกจากตรงนั้นใช้ทางอ้อมสุสานเพื่อไปยัง ‘สวนเวทมนตร์’ แม้จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันขวับ ลูเซียนรู้สึกเจ็บแปลบบนหนังศีรษะด้วยความเย็นยะเยือก ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกันตอนที่เขาเจอวิญญาณแค้นของสาวน้อยตนนั้น

โดยไม่ลังเล ลูเซียนตวัดดาบกลับหลังทันที

แม้ว่าเขารู้สึกเหมือนเขาฟันเข้ากับวัตถุอะไรบางอย่างลักษณะเหมือนท่อนไม้เน่าเปื่อย พลังประหลาดก็ทำเอาลูเซียนสั่นไปทั้งแขนแม้จะมีดาบอยู่ในมือ ลูเซียนหันหน้าไปทางเงาสีเทา เขากระโดดหลบไปด้านข้างลงพร้อมในท่าคุกเข่า เข่าข้างหนึ่งตั้งขึ้น หลังพิงกับหินจารึกหลุมฝังศพ

เขามองเห็นแว่บๆ มีข้อความสั้นๆ จารึกอยู่บนหินจารึกหลุมฝังศพ

“ข้าเคยอ้วนท้วน ตอนนี้ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”

ลูเซียนรู้สึกขบขันอยู่เสี้ยววินาที อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่วินาที แขนเน่าเฟะยื่นทะลุออกมาจากกองดินบนหลุมศพ

ศพในหลุมศพกลับมามีชีวิต!

ผิวหนังของศพแทบจะเน่าเฟะไปทั้งหมด แม้ชิ้นส่วนเศษหนังเล็กๆ บางชิ้นยังห้อยติดอยู่กับกระดูกสีขาว กลิ่นซากศพเหม็นเน่าจนน่าขนลุก

เมื่อหันไปรอบๆ ลูเซียนเห็นผีดิบอีกตนยืนอยู่ข้างหลัง และห้องเก็บโลงศพของเดวิด เทอร์เรน ก็เปิดออก!

ลูเซียนพรางตัวเข้ากับเงาอีกครั้งเพื่อรักษาระยะห่างจากซากศพเดินได้ที่น่าสยองทั้งสองตัว ด้วยฟันคมๆ และท่าทางการเคลื่อนไหว ลูเซียนรู้ว่าพวกมันคงไม่ใช่ผีดิบหรือโครงกระดูกธรรมดาๆ แต่พวกมันเป็น ‘ผีกินศพ’

และในโลกมิติเวทมนตร์พิลึกพิลั่นนี้ พวกมันจะมีพลังแข็งแกร่งขึ้น ลูเซียนบอกได้ว่าพวกมันเกือบจะว่องไวและเร็วเท่ากับเขา เผลอๆ อาจจะแข็งแรงกว่าเขาด้วย

ด้วยลักษณะท่าทางเหมือนผีดิบ ผีกินศพพวกนี้มีกระแสพลังโรคระบาดและความหดหู่อยู่รอบตัว คนที่ถูกผีกินศพทำร้ายจะรู้สึกอ่อนแรงและชาไปทั้งตัว และสุดท้ายจะล้มลงด้วยโรคร้าย

หากใครถูก ‘ผีกินศพ’ ฆ่าตาย ก็จะกลายเป็น ‘ผีกินศพ’ ตัวต่อไป

เมื่อรู้ว่าพวกมันคือตัวอะไร ลูเซียนเปลี่ยนยุทธวิธีการสู้ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ ‘ผีกินศพ’ ตัวต่อตัว และลอบโจมตีพวกมันจากด้านหลัง

โชคดีที่พวกผีกินศพไม่ค่อยฉลาดเท่าไร และผีกินศพตนที่สองดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งเท่าตัวแรก ลูเซียนเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าในการต่อสู้และดาบของเขาก็ฟันผีกินศพเข้าไปหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม กระดูกของผีกินศพแข็งกว่าที่เขาคิด ผีกินศพสองตนยังเคลื่อนไหวอยู่ และพวกมันยิ่งคลุ้มคลั่งหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเนื้อหนังเน่าๆ ของพวกมันถูกเฉือนจากการโจมตีของลูเซียน

เมื่อลูเซียนกำลังเตรียมตัวร่ายคาถา ‘เวทกำแพงเพลิงกำมะถัน’ เขาเห็นผีกินศพหลายตนตะเกียกตะกายผุดขึ้นมาจากกองดินหลุมฝังศพอีก แขนเน่าๆ ของพวกมันเหมือนกับกิ่งไม้สีดำๆ จากต้นไม้ที่ยืนต้นตาย

ลูเซียนร่ายเวทมนตร์โดยไม่ลังเล ทันทีที่กำแพงเพลิงปรากฏตรงหน้า เขาหันกลับและวิ่งหนีให้เร็วที่สุด

กลิ่นกำมะถันรุนแรงที่กำลังลุกไหม้ลอยมาสัมผัสจมูกของลูเซียนจากด้านหลัง

ผีกินศพอีกตัวโผล่มาขวางทางลูเซียนจากอีกฝั่งของกำแพงเพลิง ลูเซียนตวัดดาบจ้วงแทงเข้าผีดิบเข้าอย่างจัง

กลิ่นเนื้อเน่าส่งกลิ่นสาบรุนแรงขึ้นๆ และลูเซียนเห็นผีกินศพอีกมากคลานออกมาจากดินหลุมฝังศพ

ลูเซียนจับดาบกระชับในมือขวา ยิงดาบน้ำแข็งที่มีประกายสะท้อนแสงออกด้วยมือซ้าย เขาเพิ่งร่ายคาถา ‘เวทดาบน้ำแข็งพาล์เมรา’

คมดาบตัดลึกเข้าที่คอหอยของผีดิบ หากเนื้อเน่าๆ กับกระดูกสันหลังรวมกันแล้วยังเรียกว่า ‘คอหอย’ ลูเซียนไม่คิดว่าคมดาบจะสังหารผีกินศพน่าสยองพวกนี้ได้ เพียงแต่แช่แข็งพวกมันไว้ชั่วคราว

ตามที่เขาคาดการณ์ ลมเย็นที่ออกมาจาคมดาบก็สร้างชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะตัวผีกินศพอย่างรวดเร็ว และผีกินศพจะถูกแช่แข็งในทันที

ขณะเดียวกัน ลูเซียนร่ายคาถา ‘เวทคุ้มภัย’ และเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแรงโน้มถ่วงภายในพื้นที่บริเวณที่ผีกินศพอยู่ ผีกินศพที่ถูกแช่แข็งเสียสมดุลและร่วงลงไปกองกับพื้น

หลังจากนั้น เขาพุ่งตัวผ่านมันไปอย่างรวดเร็วราวกับเงาสีสลัวๆ แต่ก็สังเกตว่าน้ำแข็งเริ่มแตกออกแล้ว

ลูเซียนวิ่งหนีตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ฝูงผีกินศพไล่ล่าตามหลังมา อย่างไรก็เสียเขาก็รู้ตัวว่าควรมุ่งหน้าไปทิศไหน

เมื่อลูเซียนหนีห่างมาจากพวกผีดิบสักระยะ เขาเปลี่ยนทิศทางและวิ่งไปยัง ‘สวนเวทมนตร์’

ผีกินศพบางตนแข็งแกร่ง บางตนอ่อนแอ เมื่อลูเซียนเห็นประตูสีดำของ ‘สวนเวทมนตร์’ เหลือผีดิบเพียงสองตนที่ยังไล่ตามเขามา

‘สวนเวทมนตร์’ ทั้งสวนถูกปกคลุมด้วยเงาสีเทา มีเพียงประตูสีดำเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจน ด้านหลังประตูมีอาคารหลังเล็กๆ ทรงแหลมดูน่าขนลุกอยู่หลังหนึ่ง

เมื่อลูเซียนใกล้เข้าไป เขาสังเกตเห็น ‘วงเวท’ ประทับอยู่บนประตูดูคุ้นตาเขามาก แต่มีองค์ประกอบขาดไปบางส่วน

ด้วยความคิดที่ว่า ‘สวนเวทมนตร์’ แห่งนี้มี ‘ผู้วิเศษ’ จงใจทิ้งไว้ให้ผู้สืบทอดผุดขึ้นมาในความคิดของลูเซียน เนื่องจากเขาจำองค์ประกอบของวงเวทได้ ตั้งแต่ตอนที่อ่านจาก ‘ตำราโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’

ลูเซียนหยิบหลอดธาตุปรอทออกจากเสื้อคลุมมาถือไว้ในมือ ทันทีที่มาอยู่ตรงหน้า ‘วงเวท’ เขาเปิดจุกหลอดแก้วออก แล้วหยดธาตุปรอทก็ลอยออกมาจากหลอดไปยังที่ประตูเอง

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสมาธิ ลูเซียนควบคุมสายหยดธาตุปรอทด้วยพลังวิญญาณให้เติมเต็มองค์ประกอบของวงเวทให้สมบูรณ์

เขารู้ว่าเขาโชคดีมาก แม้ว่าจะอยู่เหนือความคาดหมายที่ ‘สวนเวทมนตร์’ ใช้ปริศนาเป็นกุญแจกลจริงๆ เขาค่อยๆ อ่านตำราที่ผู้วิเศษผู้สร้างมิติเวทมนตร์แห่งนี้ทิ้งไว้

เมื่อองค์ประกอบวงเวทสมบูรณ์ ผีกินศพสองตนมาก็ถึงเช่นกัน กลิ่นเหม็นน่าของพวกมันทำให้ลูเซียนรู้สึกหมดแรงและเวียนหัว

วงเวทบนประตูส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมาในทันที ด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี ลูเซียนกระโจนเข้าใส่ประตูเวทมนตร์ที่มีพายุแสงหมุนวนอยู่ภายใน

ช่วงจังหวะที่กระโจนเข้าในประตู ลูเซียนรู้สึกถึงลมวูบหนึ่งจากกงเล็บคมๆ ของผีดิบที่พยายามคว้าหลังเขา

……………………………………….