ตอนที่ 509 เปิดม่านงานแถลง โดย ProjectZyphon

หน้าอัครการค้าสาขาหลัก

ฟ้ายังไม่สว่าง บนสถานที่กว้างใหญ่นั้นก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คนมืดฟ้ามัวดิน

ผู้ที่สามารถผ่านสถานที่นั้นเข้าไปยังสาขาหลักของอัครการค้าได้ หากไม่ใช่ตระกูลทรงอิทธิพลหนึ่ง ก็เป็นคนใหญ่คนโตของขุมอำนาจหนึ่ง

เฟิงชิงโยวปรากฏตัว ณ ที่นั้นอย่างน่าประทับใจ นางสวมใส่อาภรณ์ขาว ผมสีดำทิ้งตัวลงมา ใบหน้าเนียนสะอาดพริ้งเพรา ผิวหนังนุ่มเนียนละเอียด

ขณะที่หลินสวินยังไม่ผงาดขึ้นมา สาวน้อยที่มาจากตระกูลเฟิงคนนี้มีสมญานามว่า ‘เด็กสาวอัจฉริยะ’ ส่องประกายโชติช่วงเจิดจรัสบนวิถีสลักวิญญาณ

แม้จนถึงทุกวันนี้ นางก็เป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลในหมู่นักสลักวิญญาณรุ่นเยาว์ ถูกจับตามองอย่างมาก

ข้างกายนางยังมีสตรีงามที่แต่งงานแล้วตามมาด้วย นางสวมอาภรณ์เรียบง่าย กิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน ใบหน้าดุจน้ำนิ่ง ราบเรียบราวเมฆาเคลื่อน

เฟิงชิงโยวเงี่ยหูฟังพักหนึ่งก่อนย่นจมูก กล่าวกระซิบ “เทียบผ่านประตูขึ้นมาถึงสามพันเหรียญทอง ดูท่าเจ้าหลินสวินนี่คงได้รับความนิยมมากสินะ”

ฮูหยินงามยิ้มหวานพลางกล่าว “อย่างไรก็เป็นงานแถลงของปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็น”

เฟิงชิงโยวพูดอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่านว่า ‘อาสัญสลาย’ นั่นร้ายกาจเหมือนดังข่าวลือหรือไม่”

ฮูหยินงามกล่าวอย่างง่ายๆ “ต้องดูด้วยตาตนเองถึงจะรู้”

เวลานี้ในที่ไกลออกไปพลันเกิดความไม่สงบ เห็นอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและบรรดาปรมาจารย์สลักวิญญาณคนอื่นๆ ปรากฏตัว ณ ที่นั้น

พวกเขาต่างมาจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพลบนวิถีสลักวิญญาณ ทันทีที่ปรากฏตัวก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในทันใด

เพียงแต่เมื่อพวกอวี๋เป่ยโต้วเห็นฮูหยินงามที่อยู่ข้างเฟิงชิงโยวก็ต่างหยุดกึก อึ้งตะลึง เผยสีหน้าประหลาดใจทันที ทยอยกันก้าวไปเบื้องหน้า

“คารวะฮูหยินเป่าหวา!”

“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสก็มาด้วย”

พวกอวี๋เป่ยโต้วต่างก็เคารพนอบน้อม จนผู้คนใกล้เคียงมากมายล้วนส่งเสียงตื่นเต้น เท่านี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินงามท่านนั้นต้องเป็นคนใหญ่คนโตมากๆ คนหนึ่งแน่

“เป่าหวา ไม่เจอกันนานนะ”

ข้างๆ พวกอวี๋เป่ยโต้ว ยังมีผู้อาวุโสผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างผอมบางอยู่ด้วยคนหนึ่ง หากหลินสวินอยู่ที่นี่จะต้องจำได้แน่ ผู้อาวุโสคนนี้คือเหล่าโม่นี่เอง!

ปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้เคยสร้างเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ล่าสุดที่ค่ายกระหายเลือด

สีหน้าเหล่าโม่ตอนนี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นัยน์ตาสว่างวาบ เหมือนกำลังพยายามควบคุมตัวเองอยู่ ราวกับไม่กล้าเชื่อว่าจะได้พบฮูหยินงามคนนั้นที่นี่

“ศิษย์พี่โม่ ท่านก็มาด้วย ไม่ได้ยินข่าวคราวท่านมาหลายปีเลยทีเดียว”

ฮูหยินงามยิ้มเล็กน้อย

“เฮ้อ ปีนั้นข้า…”

เหล่าโม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กำลังจะพูดอะไร กลับพลันได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไกลๆ “ที่แท้ทุกท่านก็มาถึงแล้วนี่เอง”

สีหน้าเหล่าโม่อึมครึมโดยพลัน เห็นบุรุษท่าทางน่าเกรงขาม เผ้าผมหนวดเคราตัดแต่งสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา

เมื่อเห็นบุรุษน่าเกรงขามนี้ พวกอวี๋เป่ยโต้วพลันเก็บรอยยิ้ม ประกบมือคารวะ “คารวะอาจารย์หลัว”

“พี่หลัว” ฮูหยินงามก้มหน้าให้เล็กน้อย

เหล่าโม่กลับแค่นเสียงเย็นชา สีหน้าอึมครึมยิ่งกว่าเดิม แววตาที่มองไปยังบุรุษน่าเกรงขามนั่นแฝงไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด

“ฮ่าๆๆ วันนี้ช่างบังเอิญจริงๆ เพราะงานแถลงของเด็กรุ่นหลังงานหนึ่ง ถึงทำให้พวกเราได้พานพบกันอีก หาได้ยากจริงๆ ไป พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”

บุรุษน่าเกรงขามหัวเราะร่า นำทุกคนไปยังสาขาหลักของอัครการค้า

“นั่นก็คือฮูหยินเป่าหวา บุคคลผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งสาขาสลักวิญญาณของพวกเรา ขณะเดียวกันก็เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณท่านหนึ่ง ฐานะพิเศษโดดเด่นหาใครเปรียบ เพียงแต่ยี่สิบกว่าปีมานี้นางเก็บตัวศึกษาค้นคว้าวิถีสลักวิญญาณมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางก็มาด้วย”

สาขาใหญ่อัครการค้าเป็นอาคารเก้าชั้นหลังหนึ่ง โอ่อ่าหรูหรา กว้างขวางใหญ่โต เวลานี้ด้านหลังหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นที่เก้า เสิ่นทั่วกำลังกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

เมื่อกล่าวถึงฮูหยินเป่าหวา สีหน้าเสิ่นทั่วก็ดูเคารพนอบน้อมอย่างยากปกปิด นี่คือบุคคลในตำนานที่ยังมีลมหายใจคนหนึ่ง ชุดศึกสลักวิญญาณที่นางหลอมเองกับมือมีมากถึงห้าชิ้น แต่ละชิ้นต่างเรียกได้ว่าเป็นมหาสมบัติแห่งยุค ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว

เหมือนดังชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งในมือจักพรรดิองค์ปัจจุบันนาม ‘มังกรผยองไร้โศก’ ก็เกิดจากฝีมือของฮูหยินเป่าหวา!

“นางกับเหล่าโม่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”

ด้านข้างนั้นหลินสวินมองเห็นเหล่าโม่ ในใจพลันเกิดคลื่นถาโถม เพียงแต่เขาเองก็สังเกตเห็นว่ายามเหล่าโม่เห็นฮูหยินเป่าหวา ก็ปรากฏอาการควบคุมตัวเองไม่อยู่และตื่นเต้นอย่างยากจะพบเห็น จึงอดแปลกใจไม่ได้

เขาจำได้ว่าอุปนิสัยของเหล่าโม่คือแปลกประหลาดโอหังอวดดี

“ทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” เสิ่นทั่วกล่าว “เพียงแต่ได้ยินมาว่าปีนั้นที่เหล่าโม่หายไปจากนครต้องห้าม ก็มีความเกี่ยวข้องกับฮูหยินเป่าหวาไม่น้อย”

“เป็นฮูหยินเป่าหวาที่บีบเหล่าโม่ออกไปหรือ” หลินสวินคิ้วขมวด

เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ ขณะจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันหรี่ลง พลางกล่าว “เจ้าดู อาจารย์หลัวก็มาด้วย”

“เขาเป็นใครกัน” สายตาหลินสวินมองไป เห็นบุรุษเผ้าผมหนวดเคราสะอาดสะอ้าน ท่าทางน่าเกรงขามผู้นั้น

“หลัวเฟิง หนึ่งในปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากนักสลักวิญญาณมากมาย ในนครต้องห้ามต่างเล่าลือว่า ระดับความรู้อันลึกซึ้งบนวิถีสลักวิญญาณของเขาเป็นเลิศถึงขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด ยากจะมีผู้ใดเทียบเคียงเขาได้”

บนสีหน้าเสิ่นทั่วปรากฏแววแปลกประหลาด “ปีนั้นที่เหล่าโม่หายไปจากนครต้องห้าม ก็มีความเกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อยเช่นกัน”

หลินสวินหรี่ตาลง “ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นตัวหลัก ผู้อาวุโส ท่านพอจะทราบไหมว่าเขากับเหล่าโม่มีความแค้นอะไรต่อกันกันแน่”

เสิ่นทั่วพูดเสียงทุ้มต่ำ “ได้ยินเพียงว่า ดูเหมือนสาเหตุเป็นเพราะฮูหยินเป่าหวา”

“เพราะนาง?”

หลินสวินมึนงงไปชั่วขณะ ในหัวปรากฏละครฉากหนึ่งของสองบุรุษชิงหนึ่งสตรีขึ้นมาตามธรรมชาติ…

“รอหลังจากงานแถลงสิ้นสุดลง เจ้าลองไปถามด้วยตนเองดู”

เสิ่นทั่วเองเกาหัวยิกๆ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

หลินสวินพยักหน้า

ตอนนั้นที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด เหล่าโม่เคยช่วยเหลือเขาไว้มาก หากเหล่าโม่มีความแค้นกับหลัวเฟิงนั่นจริง เขาไม่มีทางนิ่งดูดายแน่

การมาถึงของปฐมาจารย์หลัวเฟิง ฮูหยินเป่าหวา ไม่ช้าก็แพร่กระจายไปทั่วสถานที่จัดงานแถลง ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก

สองคนนี้เป็นถึงบุคคลระดับปฐมาจารย์บนวิถีสลักวิญญาณ ถึงขั้นมาที่นี่ด้วยตนเอง ถือเป็นเรื่องที่ยากจะพบเห็น

แต่ว่าผู้ที่มาร่วมงานแถลงวันนี้ แทบจะเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจสั่นสะเทือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คงจะไม่มีอะไรน่าตกใจมากไปกว่านี้แล้ว

เหมือนกับเวลานี้ คนใหญ่คนโตที่มาถึงสถานที่จัดงานแถลง มีทั้งผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลในนครต้องห้าม ผู้สูงศักดิ์จากราชวงศ์ แม่ทัพผู้มีอำนาจของกรมทหาร และยังมีผู้ยิ่งใหญ่จากทุกหัวระแหงของจักรวรรดิ… พูดได้ว่าแต่ละคนล้วนมีอำนาจอิทธิพลเพียงพอจะทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน

แต่มาวันนี้ คนใหญ่คนโตเหล่านี้มาอยู่รวมกัน เพียงแค่นี้ก็เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์แล้ว!

สถานที่จัดงานค่อยๆ เงียบสงบลง เวลาเริ่มงานแถลงมาถึงแล้ว

บุรุษคนหนึ่งสวมชุดพิธีการเดินขึ้นมาบนยกพื้น หลังจากขึ้นเวทีเขาทำความเคารพทั่วทิศ จากนั้นจึงเริ่มส่งเสียง เขามีนามว่าหลีอัน รูปงามอากัปกิริยางามสง่า คำพูดเต็มไปด้วยแรงดึงดูด

“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานแถลงของปรมาจารย์หลินสวิน อย่างที่ทุกท่านต่างทราบกันดี ปรมาจารย์หลินสวินแม้อายุยังน้อย กลับชื่อเสียงขจรขจายทั้งใต้หล้า กลายเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ผู้คนในนครต้องห้ามต่างรู้จักกันดี ที่หาได้ยากที่สุดคือ บนวิถีสลักวิญญาณปรมาจารย์หลินสวินมีพรสวรรค์และความรู้แจ้งเหนือจินตนาการ ไม่เพียงแต่เคยชักนำปรากฏการณ์ประหลาดอย่าง ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ เท่านั้น มาวันนี้ยังกลายเป็นอาจารย์ที่ได้รับความนิยมจากคณาจารย์และศิษย์แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตท่านหนึ่งอีกด้วย”

“และงานแถลงวันนี้จะจัดแสดงชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งจากฝีมือปรมาจารย์หลินสวิน… ‘อาสัญสลาย’!”

พูดถึงตรงนี้ เสียงหลีอันหยุดลงชั่วขณะ ก่อนจะปรบมือไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววัยแรกแย้มนางหนึ่งนำกล่องสัมฤทธิ์ยาวหนึ่งฉื่อขึ้นมา

“ทุกท่าน อาสัญสลายอยู่ภายในกล่องสัมฤทธิ์เบื้องหน้าข้านี้”

พรึ่บ!

สายตานับไม่ถ้วนมุ่งไปยังกล่องสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าหลีอันกันพรึ่บพรั่บ ผู้คนมากมายต่างอดไม่ได้ที่จะยืดคอยาวเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นเปล่งประกาย ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถมองเห็นสิ่งของที่อยู่ภายในกล่องสัมฤทธิ์นั่นได้

ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเฝ้ารออย่างจดจ่อ

เพียงแต่กลับเห็นหลีอันยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ก่อนที่จะแสดงชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นนี้ ขอให้ข้าได้แนะนำกระบวนการผลิตสมบัติชิ้นนี้สักเล็กน้อย”

ผู้คนมากมายแอบด่าขึ้นมาในใจทันที เเทบอยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่ ช่างยั่วน้ำลายคนเก่งเสียจริง

“คาดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว สิบวันก่อนหน้านี้ที่สำนักศึกษามฤคมรกต ปรมาจารย์หลินสวินใช้เวลายี่สิบกว่าวัน ท้ายที่สุดก็หลอมอาสัญสลายได้สำเร็จ เมื่อสมบัตินี้ปรากฏขึ้น สวรรค์ได้ประทานด่านเคราะห์อสนี ปรากฏการณ์ประหลาดเป็นประวัติการณ์ นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…”

ทุกคนต่างอดทนฟังเจ้าหลีอันนี่พูดร่ำไรเยอะแยะ

ท้ายที่สุดหลีอันจึงกล่าวสรุปว่า “สรุปง่ายๆ ก็คือ นี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นอื่นอย่างแน่นอน เป็นศาสตราวุธแห่งยุคที่เพียงพอจะทำให้ใต้หล้าตกตะลึงได้”

“บางทีทุกท่านอาจคิดว่าข้ากำลังคุยโวโอ้อวด แต่ข้ารับประกันได้เลยว่า หลังจากที่ทุกท่านได้เห็นความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ของสมบัตินี้ด้วยตาตนเองแล้ว จะต้องพบว่าความวิเศษมหัศจรรย์ของสมบัติชิ้นนี้เกินกว่าที่ข้าพูดแน่นอน!”

ผู้คนมากมายบนที่นั่งไม่มีใครไม่กลั้นหายใจ คำพูดครู่เดียวของหลีอันได้กระตุกต่อมอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนเป็นเฝ้าคอยยิ่งกว่าเดิม

คนใหญ่คนโตที่ใจร้อนส่วนหนึ่งเริ่มด่าออกมาอย่างอดไม่อยู่ “จะอุบกับผีอะไรนักหนา ต้องให้คนแก่ร้อนใจตายเจ้าถึงจะพอใจรึไง”

ส่วนพวกที่ความคิดลึกซึ้งหน่อยส่วนหนึ่งต่างปรากฏสีหน้าเฝ้ารออย่างยากจะปกปิด

หลีอันสูดหายใจลึก ใบหน้าพลันแดงก่ำกล่าวว่า “ทุกท่านอย่าได้ร้อนใจไป ข้าสามารถรับรองกับทุกท่านได้ว่า งานแถลงวันนี้จะต้องเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแน่นอน!”

ในน้ำเสียงสะกดข่มอาการสั่นเทาและตื่นเต้นเอาไว้ ผู้คนมากมายต่างฟังออก ทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นและรอคอยยิ่งกว่าเดิม

คนส่วนมากต่างเฝ้ารอคอยด้วยความร้อนใจ ไม่ว่าจะเป็นการคุยโวหรือไม่ อาศัยแค่จุดที่ชุดศึกสลักวิญญาณนี้เคยก้าวผ่านด่านเคราะห์อสนี ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดพวกเขามา

แต่คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งต่างขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าหลีอันคุยโวเกินไปแล้ว

ปาฏิหาริย์?

ในอดีตก็เคยมีชุดศึกสลักวิญญาณเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ใครกล้าเรียกว่าปาฏิหาริย์บ้าง

“คนรุ่นเยาว์สมัยนี้ช่างเก็บอาการไม่อยู่เสียจริง กับแค่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาชิ้นหนึ่ง กลับทำเอางานแถลงดูโอ้อวดเกินจริงขนาดนี้ ทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้ว”

พลันมีเสียงราบเรียบดังขึ้น เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณหลัวเฟิงที่มาจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อยให้หันมองมา

แต่ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ฐานะของหลัวเฟิง ถึงแม้การพูดเช่นนี้ออกจะเป็นการข่มด้วยความอาวุโสกว่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครสามารถคัดค้านการวิจารณ์ของปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งได้

………………