ภาคที่ 2 บทที่ 115 การประลอง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 115 การประลอง (1)

“ว่าอะไรนะ ? เจ้าจะเข้าร่วมการประลองสิ้นปี ?” หวังโต้วซานร้องขึ้น เสียงเหมือนไก่ถูกบีบคอ

แต่แน่นอนว่าคอเขาหนาเช่นนี้ จะมีใครบีบคอเขาได้ เว้นเสียแต่จะใช้วิชาฝ่ามือปิดนภาเท่านั้น

หวังโต้วซานทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่กำลังร้องโอดครวญกับน้ำหนักมหาศาล เขาจ้องหน้าซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าคิดตกแล้วหรือ ?”

ซูเฉินตอบเสียงไร้หนทาง “ไม่ใช่ข้าที่คิดตก แต่เป็นอาจารย์ต่างหาก เขาต้องการให้ข้าไปเอาของสิ่งหนึ่ง จึงอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประลองสิ้นปีในปีนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องติดหนึ่งใน 20 อันดับด้วย”

“โห อันดับสูงเชียว เขาคิดว่าคนอื่น ๆ ในสถาบันโง่เง่าหรือไร ?” หวังโต้วซานหัวเราะ

หลายปีมานี้เขาไม่เคยประลองฝีมือกับซูเฉินเลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงไหน เขารู้เพียงว่าเหล่าอัจฉริยะยอดฝีมือทั่วทั้งหลางซางนั้นรวมตัวกันอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้ การจะมีอำนาจแข็งแกร่งคุมสถาบันแห่งนี้นั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ไร้สายเลือด

ถูกต้อง ไร้สายเลือด !

แม้ซูเฉินจะพัฒนาวิชาทรงพลังออกมามากมายที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือด แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจเหนือกว่าพลังจากสายเลือดไปได้

มีอีกหลายคนที่สามารถต้านวิชาของซูเฉิน อีกทั้งพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินในหลายปีมานี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

หวังโต้วซานไม่ได้ดูถูกซูเฉิน เขาเชื่อว่าซูเฉินนั้นแข็งแกร่ง แต่จะไต่ขึ้นไปหนึ่งใน 20 อันดับได้หรือไม่นั้นพูดยากยิ่ง

“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะทำได้หรือ ?” ซูเฉินถาม

“ข้ารู้ว่าคนพวกนั้นรับมือไม่ง่าย ซูเฉิน พวกเขาไม่ใช่ลูกไก่อย่างจางเซิ่งอัน แต่ละคนทรงพลังยิ่งนัก พวกที่สามารถไต่ไปถึง 20 อันดับแรกของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนได้คือพวกที่สามารถล้มผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตระดับกลางได้เชียวนา เจ้ารู้ดีว่านั่นหมายความเช่นไร”

“ข้ารู้ แต่หากเอาชนะเจ้าได้ก็พอแล้ว” ซูเฉินตอบ

หวังโต้วซานหัวเราะ “ก็ได้ งั้นมาลองสักหน่อย ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ให้เจ้าตีข้า หากเจ้าล้มข้าได้ใน 10 กระบวนท่า ข้าจะยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง”

“แน่ใจหรือ ?” ซูเฉินจ้องหน้าอีกฝ่าย

“แน่ใจ !” หวังโต้วซานพยักหน้า

“ก็ดี เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าลดน้ำหนักลงเสียหน่อย” ซูเฉินตอบ

ซูเฉินบีบหมัดลั่นกร๊อบ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า

เดี๋ยวนี้คนที่เต็มใจยืนนิ่ง ๆ ให้โดนฟาดนั้นหายากนัก

ไม่นาน เสียงร้องเจ็บปวดก็ดังลั่นออกมาจากหอพลังต้นกำเนิด

————————————

ในที่สุดการประลองสิ้นปีก็มาถึง

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินมาลงทะเบียนเข้าประลอง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจคนได้บ้าง ด้วยหลังจากหดหัวมานานถึง 8 ปี ในที่สุดก็มีความกล้าโผล่หัวออกมาแล้ว อย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็น่าเอาไปพูดนินทานัก

เริ่มมีคนบางกลุ่มเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกัน หลายคนดูถูกซูเฉินว่าเพิ่งจะมีความกล้ามาเข้าประลองก็วันนี้

ไม่มีใครคิดว่าซูเฉินจะได้อันดับดี ต่างเชื่อว่าเขาเป็นดั่งดาวตก แค่โผล่หน้าออกมาลงทะเบียนก็นับว่ากล้าหาญมากแล้ว

แต่ละปีมีศิษย์ราว 2,500 คนมาเข้าร่วมการประลอง ดังนั้นจึงแบ่งการแข่งขันออกเป็น 10 สังเวียน สังเวียนละประมาณ 250 คน มีเพียง 20 อันดับแรกในแต่ละสังเวียนเท่านั้นที่จะสามารถไปต่อได้ คนเหล่านี้จะมีโอกาสติดอันดับการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน และเดินหน้าประลองเพื่อไต่อันดับต่อไป

ด้วยมีคนมากเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่อาจมีโอกาสเท่ากัน ดังนั้นการประลองคัดออกจึงจัดขึ้นอีกที่ ใครที่แพ้ย่อมถูกตัดโอกาส ผู้ที่ได้ร้อยอันดับแรกเมื่อปีก่อนจะแบ่งไปตาม 10 สังเวียน ได้เข้าการแข่งคัดออกในรอบที่ 4 และรอบสุดท้ายทันที

หลังจากการแข่ง 3 รอบจบลง คนที่เหลืออีก 240 คนจะถูกคัดเหลือเพียง 30 และเข้าร่วมการแข่งขันร่วมกัน 10 คนก่อนหน้า ใน 40 คนนี้จะมีเพียง 10 คนที่ได้ไปต่อ

ซูเฉินถูกจัดให้อยู่ในสังเวียนที่ 4

อวิ๋นเป้าอยู่ในสังเวียนเดียวกันกับเขา

อวิ๋นเป้าติดหนึ่งใน 100 อันดับเมื่อปีก่อน เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าแข่งขันในการแข่ง 3 รอบแรก หากแต่ซูเฉินต้องเริ่มตั้งแต่ต้น

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นคนที่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นที่คอยชี้แนะอวิ๋นเป้าที่ข้ามการแข่ง 3 รอบแรกไปได้

“อวิ๋นเป้า หวังว่าเจ้าจะสามารถติดหนึ่งใน 20 ของการแข่งในครั้งนี้ได้”

สังเวียนที่ 4 นั้นคึกคักยิ่งนัก

ที่นี่มี 8 สนาม มีศิษย์ขึ้นประลองอยู่เต็มทุกสนาม ด้านล่างเป็นศิษย์มากมายที่ชมการแข่งขันแล้วจดบันทึกเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ที่พึงระวัง

ซูเฉินที่ยังไม่ถูกเรียกชื่อขึ้นไปนั่งดูการประลองอยู่กับอวิ๋นเป้า

เมื่ออวิ๋นเป้าได้ยินซูเฉินว่าเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “บนสนามมีพื้นที่จำกัด ข้าไม่อาจใช้วิชาได้เต็มที่ อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์ยิบย่อยนัก ห้ามโจมตีตา เป้า หรือจุดสำคัญอื่น ๆ หากอีกฝ่ายบาดเจ็บห้ามลงมือต่อ หากเกราะอีกฝ่ายแตกห้ามใช้ท่าสังหาร หากบาดเจ็บมากหน่อยก็จะถูกคัดออก…… ข้อบังคับมากเช่นนี้ข้าจะสู้อย่างไร ? คัมภีร์โลหิตสังหาร (1) นั้นยิ่งบาดเจ็บยิ่งเพิ่มแรงโจมตี แต่ข้ากลับถูกคัดออกก่อนจะได้เริ่มสู้จริงด้วยซ้ำ ครั้งที่แล้วข้าได้อันดับที่ 41 ก็โชคดีมากแล้ว”

อวิ๋นเป้าไม่ค่อยพูดยืดยาวเช่นนี้ แต่เมื่ออ้าปากพูดทีไรมีแต่บ่นทุกครา

“เจ้าพูดถูก” ซูเฉินถอนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากนัก แต่ครั้งนี้อาจารย์สั่งให้ข้าแสดงความโดดเด่นเพื่อให้เข้าซากโบราณได้ ถึงที่นั่นแล้วจึงนับได้ว่าเป็นการต่อสู้แท้จริง ดังนั้นข้าจึงหวังให้เจ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีโอกาสไปด้วย”

“หากเป็นการต่อสู้จริงก็ควรใช้การต่อสู้จริงในการคัดเลือก เหตุใดต้องจัดประลองในสนามด้วย ?” อวิ๋นเป้าขมวดคิ้ว

“การต่อสู้จริงนั้นบาดเจ็บล้มตายง่ายเกินไป หากฆ่ากันตายตั้งแต่ยังไม่ถึงสนามประลองหลักคงไร้เหตุผลอยู่กระมัง” ซูเฉินเริ่มรู้สึกปวดหัว

นอกจากอวิ๋นเป้าแล้วยังมีจินหลิงเอ้อร์ที่แข็งแกร่งนักยามต่อสู้จริง หากแต่ปัญหานางหนักหน่วงกว่าอวิ๋นเป้ามาก อวิ๋นเป้ายังพอมีโอกาสอยู่เล็กน้อย แต่จินหลิงเอ้อร์นั้นสิ้นหวัง อันดับคราก่อนของนางคือ 98 และแม้จะสู้สุดฝีมือ ไต่ขึ้นถึงอันดับที่ 80 ก็นับว่าน่าประทับใจมากแล้ว ดังนั้นการพุ่งขึ้นเป็นหนึ่งใน 20 อันดับนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

ยิ่งอันดับสูงยิ่งต่อสู้ดุเดือด เพราะอย่างไรก็ต้องไต่จากอันดับต่ำไปจนสูงสุด

“หมายเลข 34 ซูเฉิน ขึ้นมาได้ !” มีคนบางคนตะโกนขึ้น

ในที่สุดการประลองครั้งแรกของซูเฉินก็มาถึง

ซูเฉินเดินขึ้นสนามไป คิ้วขมวดแน่น พยายามหาทางแก้ให้ปัญหาของอวิ๋นเป้า

คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายตัวเตี้ยดูมีฝีมือ เมื่อเห็นซูเฉินบนสนามก็อ้าปากหัวเราะ “โชคดีจริง ๆ ที่ได้ประลองกับเจ้าขี้ขลาดแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น หน้าตาเจ้าดูเคร่งเครียดไม่น้อย เจ้ากลัวหรือ ? หากกลัวก็เตรียมเรียกตนเองว่าไอ้ขยะด……”

ซู่ม !

ระเบิดเพลิงปักษาเผยขึ้นบนฝ่ามือซูเฉิน

อีกฝ่ายสัญชาตญาณว่องไว สร้างเกราะป้องกันขึ้นมาได้ทันเวลา

เหยี่ยวเพลิงปะทะเข้ากับเกราะจนแตกกระจายในพริบตา คลื่นพลังที่ตามมาซัดปะทะร่างอีกฝ่ายเต็มแรง นัยน์ตากลอกกลับ ล้มลงไปในพลัน

ซูเฉินตอบ “ข้าจะจำไว้ ไอ้ขยะ”

เขาผ่านการประลองรอบแรกไปได้ด้วยดี

เชิงอรรถ

คัมภีร์โลหิตสังหาร คือ วิชาที่อวิ๋นเป้าเรียนจากฉือไคฮวง