แต่ความสูญเสียเหล่านี้มิใช่เป็นมาแต่กำเนิด หากแต่ถูกคนเฉือนด้วยมีดอย่างโหดร้าย

 

 

ตอนท่านอาจารย์รักษาเป๋าเป่าเคยลงความเห็นว่า เป๋าเป่าเป็นผู้เหมาะกับการฝึกวิทยายุทธ์ แม้อายุยังน้อยแต่ก็มีฝีมือไม่เบา น่าจะมาจากสำนักใดสำนักหนึ่งในยุทธจักร และเห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือการผ่าตัดที่ยอดเยี่ยม จึงสามารถลอกเนื้อหนังได้โดยไม่กระทบถึงเส้นชีพจร

 

 

ต้องเป็นสำนักใดสำนักหนึ่งที่ต้องการบ่มเพาะยอดฝีมือการปลอมแปลงโฉม จึงได้ทำเอาศิษย์ในสำนักเป็นสภาพเช่นนั้น

 

 

เป๋าเป่าเสี่ยงตายหนีออกมา

 

 

สำนักอาจารย์นี้โหดเหี้ยมเพียงใดหนอ จึงกล้าทำเรื่องถึงขนาดทำลายอนาคตชีวิตของศิษย์เพียงเพื่อวิทยายุทธ์

 

 

ภายใต้การรักษาของท่านอาจารย์ ในที่สุดเป๋าเป่าก็ฟื้น ทว่าหลังฟื้นขึ้นมาแล้วเขาสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับสำนักอาจารย์ แต่พลังฝีมือและวิทยายุทธ์ยังอยู่ หลังเผชิญความเจ็บปวดสิ้นหวังได้เห็นใบหน้าของตนเองแล้ว เขานิ่งขรึมอยู่เนิ่นนาน และขณะที่แม้แต่นางก็คิดว่าเขาต้องกลายเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่งของสำนักหอซ่อนกระบี่ เขากลับบอกนางว่า เขาตัดสินใจจะเป็นยอดฝีมือการปลอมแปลงโฉมให้ได้ เขาจะไม่ยอมเป็นไอ้ทุเรศคนหนึ่ง

 

 

เดิมทีนางยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังนางดีดพิณหาความสำราญกับบรรดาสตรีผู้รู้ใจแล้ว หันไปเห็นแววตาลุ่มหลงและกริ่งเกรงของเขาที่มองนางอยู่

 

 

นางพลันเข้าใจจิตใจของเด็กคนนี้

 

 

นาทีนั้นจิตใจของนางสับสน นางเป็นคนพาเป๋าเป่ากลับมาเอง และเป็นคนดูแลเขาจนเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม นางมีฐานะแตกต่างจากคนอื่นในใจเขา

 

 

เทียบกับชิวซั่นหนิงแล้ว เป๋าเป่ากับนางสนิทกันมากกว่า

 

 

และไม่เพียงเจตนาของเขาที่นางมิอาจตอบสนองซึ่งเขาก็เข้าใจ ระหว่างเขาและนางไม่มีวันเป็นไปได้ตลอดกาล

 

 

“นี่มิใช่ความผิดของเจ้า” ชิวเยี่ยไป๋กอดเด็กหนุ่มที่ขดตัวร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง สีหน้าอ่อนโยน

 

 

เป๋าเป่าอดกลั้นแต่ไหนแต่ไร ความรู้สึกนึกคิดซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าร่าเริง แม้แต่ความในใจก็ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด หลังเขาอายุสิบสี่แล้วก็ไม่ค่อยเรียกนางเป็นพี่หญิงแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเสียกริยาต่อหน้านางถึงเพียงนี้ ชิวเยี่ยไป๋ทั้งสงสารทั้งสะทกสะท้อนและจนใจ

 

 

นางนึกไม่ถึงว่าการเดินเล่นบนถนนกับไป๋หลี่ชูครั้งหนึ่ง จะกระตุ้นจนทำให้เป๋าเป่าเสียกริยา ที่ผ่านมายามที่นางอยู่กับพวกเทียนซู ก็ไม่เคยเห็นเป๋าเป่ามีปฏิกิริยาแต่อย่างใด

 

 

ทั้งสองอิงแอบกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง เป๋าเป่าพลันกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “ท่านต้องระวัง ‘องค์หญิง’ เซ่อกั๋ว เขาเป็นถึงราชโอรสแต่กลับปลอมตัวเป็นสตรี แสดงว่าเขาจงใจละทิ้งสิทธิ์การสืบทอดบัลลังก์ แต่กลับมีอำนาจมากที่สุดในราชสำนัก อดกลั้นถึงเพียงนี้ จิตใจและนิสัยย่อมไม่ธรรมดา มิใช่คนที่จะอยู่ด้วยได้อย่างสงบสุขเด็ดขาด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ข้ารู้อยู่แก่ใจ เจ้าวางใจเถิด ข้าเพียงแต่ว่าไปตามเพลง และย่อมมีเหตุผลที่จำเป็นของข้าเอง”

 

 

นางสัมผัสมาแล้วกับ ‘จิตใจนิสัยที่ไม่ธรรมดา’ และ ‘อยู่กันได้ยาก’ ของไป๋หลี่ชู

 

 

“เหตุผลจำเป็น หรือว่า…หรือว่าเขารู้ฐานะแท้จริงของท่านแล้ว” พริบตานั้นเป๋าเป่าเงยหน้าจากอ้อมอกชิวเยี่ยไป๋ มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่เชื่อสายตา

 

 

หากเป็นเช่นนี้ คุณชายสี่ก็อันตรายแล้ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเด็กหนุ่มในอ้อมกอดที่ร่ำไห้จนตาแดงก่ำ ในใจทอดถอนถึงฝีมือสุดประณีตของเป๋าเป่า แม้แต่หนังเทียมนี้ก็ยังอุตส่าห์มีผลเหมือนร่ำไห้จนตาแดง พลางเย้ยหยันตนเองและพ่นลมอย่างจนใจว่า “ใช่ เขารู้แล้ว”

 

 

แถมยังเป็นการล่วงรู้ด้วยวิธีที่น่าอับอายด้วย

 

 

ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววอำมหิตเข้มข้น “ราชนิกุลหาดีไม่ได้แม้แต่คนเดียว พวกเราจะสั่งฆ่าไหม…”

 

 

เขาเอื้อมมือทำท่าปาดคออย่างดุร้าย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะ กล่าวเนือยๆ ว่า “เจ้าว่าข้าไม่ได้คิดหรือ แต่ประการแรกไป๋หลี่ชูพลังฝีมือสูงล้ำและประหลาด รอบตัวล้วนเป็นองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนยอดฝีมืออันดับหนึ่ง จะลงมือย่อมไม่ง่าย ประการที่สองข้ายังมีบางอย่างต้องใช้สอยเขา แม้สำนักหอซ่อนกระบี่ของข้าจะมีอิทธิพลในยุทธจักรไม่น้อย แต่ไร้รากฐานในราชสำนัก ประการที่สามในเมื่อพวกเรายังคิดได้ถึงการฆ่าปิดปาก แล้วเขาจะคิดไม่ได้หรือ เขาย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมป้องกันเหตุฉุกเฉินไว้แล้ว”

 

 

“แล้วคุณชายสี่จะยอมถูกเขาบังคับเช่นนี้หรือ และแม้แต่หอซ่อนกระบี่ทั้งสำนักก็ต้องถูกบังคับโดยราชสำนักหรือ” เป๋าเป่าหน้าเครียด แววอำมหิตในตามิเปลี่ยนแปลง

 

 

ไม่ว่าเขาจะคิดเผื่อคุณชายสี่ หรือเกิดจากความเกลียดชังข้าราชการซึ่งเป็นธรรมชาติของชาว

 

 

ยุทธจักร แต่เขาก็รู้สึกชิงชังไป๋หลี่ชูมากขึ้นทุกที และชิงชังไปถึงราชวงศ์ไป๋หลี่ทั้งตระกูลกับราชสำนัก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูใบหน้าที่ละม้ายไป๋หลี่ชูอยู่หกเจ็ดส่วน ฟังคำพูดประเภทจะกำจัด ‘ตัวเอง’ ความรู้สึกนี้ค่อนข้างพิสดาร

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ ปลอบเป๋าเป่าว่า “แม้จะอยู่ร่วมกัน ก็ยังรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้จับเค้าได้ยากจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องหงส์ร่อนมังกรรำหลอกๆ ก็มิใช่ของข้าแต่ผู้เดียว เขาเองก็มีความลับอยู่ในมือเราเช่นกัน นี่เป็นการถ่วงดุลอย่างหนึ่ง อีกอย่างถ้าจะพูดถึงการร่วมมือ เขานับว่าเป็นหุ้นส่วนที่ค่อนข้างมีคุณสมบัติและรักษาสัจจะได้ดี”

 

 

“หุ้นส่วน?”

 

 

เป๋าเป่ามองชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากเชื่อ คุณชายสี่รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรอยู่

 

 

ถึงกับถือว่าบุรุษอันตรายเช่นนั้นเป็น ‘หุ้นส่วน’

 

 

“ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นี่นับเป็นขีดสุดของสถานการณ์ที่ข้าสามารถควบคุมได้ในขณะนี้ หรือว่าเป๋าเป่าเจ้ายังมีวิธีที่ดีกว่านี้” ชิวเยี่ยไป๋แลดูสีหน้าท่าทางย้อนแย้งของเป๋าเป่าแล้วเลิกคิ้วกล่าว

 

 

เห็นชิวเยี่ยไป๋โยนลูกหนังให้ตน พริบตานั้นเป๋าเป่าพูดไม่ออก นั่นนะสิ ตนเองมิอาจโต้แย้งคำพูดของ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ และตนเองก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้

 

 

การละเล่นกับบุรุษผู้นั้นมิใช่เรื่องง่าย บุรุษคนหนึ่งสามารถใช้ฐานะเช่นนั้นกุมอำนาจใหญ่ของ

 

 

ราชสำนัก บีบบังคับตระกูลตู้ ข่มขวัญขุนนางน้อยใหญ่ ย่อมมิยอมให้ผู้ใดได้เปรียบเขาโดยเด็ดขาด และ

 

 

เป๋าเป่ายังคงรู้ด้วยว่าครั้งแรกที่ชิวเยี่ยไป๋ประมือกับไป๋หลี่ชูก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด

 

 

ถ้าคนฉลาดเจ้าปัญญาเยี่ยงคุณชายสี่ยังเพียงสามารถประคองตัวอย่างแข็งขืนภายใต้เงื้อมมือเขา แล้วคนเช่นพวกตนจะทำอะไรได้

 

 

จู่ๆ เป๋าเป่าก็เริ่มแค้นตนเองที่ไร้ความสามารถ

 

 

เห็นเป๋าเป่าสีหน้าอึมครึมชิวเยี่ยไป๋จึงตบบ่าเขาเบาๆ “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้ามีแผนของข้าเอง พวกเรากับฝ่าบาทเซ่อกั๋วบัดนี้ถือว่าร่วมมือกันแล้ว ดังนั้นฐานะที่แท้จริงของข้าจึงยังไม่ถึงกับต้องเสี่ยงกับการถูกเปิดโปงในขณะนี้ แต่หากคิดจะลดความเสี่ยงนี้ให้เหลือต่ำที่สุด ข้าก็จำเป็นต้องมีฐานะที่สูงกว่านี้ในราชสำนัก”

 

 

ต่อให้มีใครกุมความลับของนางไว้ได้อีก ผู้ทรงอำนาจก็ต้องคิดมากกว่านี้ ต้องพิเคราะห์ให้ดีว่าจะทิ้งนางเพราะเรื่องนี้หรือไม่

 

 

เป๋าเป่างงงัน ถอนตัวออกจากอ้อมอกของชิวเยี่ยไป๋ ชักสงสัยหูของตนเอง “คุณชายสี่ ท่านว่าอันใด”

 

 

คนที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบราชการเป็นที่สุด ชิงชังราชนิกุลมาตลอด ที่ต้องเข้าสู่ซือหลี่เจียนเดิมทีก็เป็นเพราะภาวะจำยอม บัดนี้ถึงกับจะเข้าแทรกแซงในราชสำนักอีกขั้นหนึ่ง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า หลังคลายอ้อมแขนจากเป๋าเป่าแล้วก็ยืนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ “เป๋าเป่าเจ้ารู้ไหม รัชกาลก่อนมีเก้าพันปีหลวงคนหนึ่ง”

 

 

เป๋าเป่าขมวดคิ้ว เขามิได้เจนจบตำรับตำราอย่างกว้างขวางเช่นคุณชายสี่ ดังนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกออก “ใช่ รัชกาลก่อนมีคนผู้นี้ ตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าโฉมหน้าอัปลักษณ์ รังแกบุรุษทิ่มแทงสตรี อำนาจเทียมฟ้าอาละวาดไปทั่วราชสำนักและแผ่นดิน เข่นฆ่าสังหารผู้ที่มิใช่พวกของคนนับมิถ้วน ฟังว่าองค์จักรพรรดิราชวงศ์ก่อนเพราะโปรดปรานขุนนางทรลักษณ์คนนี้จึงทำให้ราษฎรเดือดร้อนไปทั่ว ราษฎรแค้นเคืองอย่างยิ่ง และขณะนั้นภายใต้การยกทัพปราบปรามของจักรพรรดิเจินอู่ซึ่งยังดำรงฐานะอ๋องแห่งซีตี๋ แผ่นดินของรัชกาลก่อนลุกเป็นไฟ เหล่าผู้กล้าพากันสนับสนุนจักรพรรดิเจินอู่ แต่พอทัพใหญ่ของซีตี๋จะเข้าราชธานี เจ้าเก้าพันปีหลวงผู้นั้นกลับป่วยตายเสียก่อน”